บทที่ 601 เทพมารมหามรรคหลบเร้น

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 601 เทพมารมหามรรคหลบเร้น

หานเจวี๋ยเฝ้ารอด้วยความวิตก ถึงขั้นที่ทำให้อริยะเสรีคนหนึ่งตกใจจนกลายเป็นเช่นนี้ได้ อีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน

อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นตัวตนระดับมหามรรค!

ในส่วนลึกของความมืดมิดมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยักษ์กำลังเคลื่อนไหวอยู่รางๆ ใหญ่โตมโหฬารจนทำให้หวาดผวา ราวกับสามารถเขมือบกลืนทุกสิ่งได้

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับดูอีกครั้ง

[เทพบุพกาล: ดวงจิตมหามรรค ผู้พิทักษ์ควบคุมเขตฟ้าบุพกาล]

ดวงจิตมหามรรค!

เวลานี้เอง

ลี่จื้อไจ้หลบหนีไปทันที หายลับไปไม่เห็นแม้เงา

กลิ่นอายสุดแสนอันตรายนั้นก็เลือนหายไปด้วย คาดว่าคงตามไปไล่ล่าลี่จื้อไจ้

สายตาของหานเจวี๋ยหันเหกลับมาที่มหามรรคต้นกำเนิดอีกครั้ง นับตั้งแต่เขามาถึง มหามรรคต้นกำเนิดส่องแสงกะพริบเดี๋ยวมืดเสียงสว่าง ราวกับกำลังขานรับเขา

พุ่งเข้าไปหาเลยดีหรือไม่นะ

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามหามรรคต้นกำเนิดไม่มีวันต่อต้านเขา ตอนนี้ในละแวกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว นี่เป็นโอกาสดีหากทำไม่สำเร็จ ก็ยังล่าถอยออกมาได้

พอคิดได้ดังนั้น หานเจวี๋ยก็ควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นพุ่งตรงเข้าสู่มหามรรคต้นกำเนิดทันที

แทบจะในทันที มหามรรคต้นกำเนิดเก็บงำประกายแสงอันเจิดจ้าไปทันที ทั่วทั้งห้วงอวกาศตกอยู่ในความมืดมิด

แต่ภายในมหามรรคต้นกำเนิด เกาะสำนักซ่อนเร้นอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงอันเจิดจ้า

[ตรวจพบการมีอยู่ของมหามรรคต้นกำเนิด]

ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย เขาทดลองดูดซับมหามรรคต้นกำเนิดทันที

มหามรรคต้นกำเนิดใหญ่โตเหลือเกิน หานเจวี๋ยไม่สามารถดูดซับเข้ามาโดยตรงได้ เห็นทีว่าเขาคงทำได้เพียงผสานรวมเข้ากับมหามรรคต้นกำเนิด

หานเจวี๋ยเริ่มผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ

ผ่านไปอีกสักพัก มหามรรคต้นกำเนิดพลันแผ่แสงเจิดจ้าออกมา เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ส่องสว่างไปทั่วห้วงอวกาศมืดมิดแห่งนี้

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ลี่จื้อไจ้และเทพบุพกาลไม่ได้ย้อนกลับมา

ความสงบสุขคงอยู่ต่อไปถึงแปดร้อยหกสิบปี

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รับรู้ถึงบางอย่างได้ เขาลืมตาขึ้นมาทันที เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกมหามรรคต้นกำเนิด ร่างกายของคนผู้นี้เกิดจากการรวมตัวของไอดำ สวมหน้ากากสีขาวพิสุทธิ์ บนหน้ากากมีเพียงช่องดวงตาแนวตั้งข้างหนึ่ง นัยน์ตากลอกกลิ้งหมุนซ้ายหมุนขวา

เมื่อเห็นคนผู้นี้ หัวใจหานเจวี๋ยเต้นแรงจนเด้งขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบอีกฝ่าย

[เทพมารมหามรรคหลบเร้น: นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น เทพมารฟ้าบุพกาล]

เทพมารมหามรรคหลบเร้นอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ในบรรดาร่างจำลองเทพมารที่เขาฝึกฝนก็มีเทพมารมหามรรคหลบเร้นอยู่เช่นกัน

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

หรือว่าเทพมารทั้งสามพันล้วนเป็นไปได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น?

หานเจวี๋ยคิดๆ ไปก็รู้สึกหวาดผวาสุดขีด เป็นผู้ใดกันแน่ที่สรรค์สร้างร่างจำลองเสรีสุญญตานี้ขึ้นมา

ถ้าหากว่าเป็นระบบ แล้วระบบสร้างขึ้นมาแบบไหนกัน?

เทพมารมหามรรคหลบเร้นคล้ายจะมองไม่เห็นหานเจวี๋ย มองสำรวจอยู่ที่เดิมสักพักก็จากไป

หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดต่อ

‘มหามรรคต้นกำเนิดสามารถปิดกั้นการสอดส่องจากภายนอกได้หรือไม่’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ได้]

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

หานเจวี๋ยเบาใจในทันที ตั้งใจผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดต่อไป

ห้าร้อยปีต่อมา

ลี่จื้อไจ้ย้อนกลับมาอีกครั้ง กลิ่นอายของเขาอ่อนแอลงไปมาก คาดว่าคงถูกเทพบุพกาลตามไล่ล่า

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้ก็ยังกล้าย้อนกลับมา ไม่ยอมล้มเลิกเจตนาชั่วร้ายจริงๆ

ลี่จื้อไจ้เฝ้าอยู่หลายเดือนถึงได้จากไป

หานเจวี๋ยเริ่มเข้าสู่สภาวะปิดด่านอย่างสมบูรณ์ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง จึงไม่กลัวถูกโจมตี

….

แดนเซียนพิภพ ณ มิติวัฏจักร

ภายในตำหนักใหญ่เหลืองอร่ามแวววาว หยางตู๋และผู้กลับชาติมาเกิดอีกเก้าคนยืนเรียงแถวกันอยู่ในห้องโถง ด้านหน้าพวกเขา มีเงาร่างหนึ่งที่อยู่ในอาภรณ์สีทอง บนศีรษะสวมกวานทองคำเอาไว้

หยางตู๋เอ่ยถาม “จอมเทพ ท่านเรียกหาพวกเราด้วยเรื่องใด”

จอมเทพชุดทองเปิดปากเอ่ย “มิติวัฏจักรก้าวหน้ามาถึงปัจจุบันนี้ จนทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เผชิญกับการสอดส่องจากห้วงมิติอื่น ข้าท้าดวลกับเจ้าแห่งห้วงมิติอื่นๆ เอาไว้แล้ว พวกเจ้าจะได้พบพวกเขาในโลกภารกิจครั้งต่อไป เป้าหมายคือกวาดล้างพวกเขาซะ”

ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งสิบล้วนตกตะลึง อดมองหน้ากันไม่ได้

เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับภารกิจเช่นนี้

“ผู้กลับชาติมาเกิดของอีกมิติแข็งแกร่งหรือไม่”

“ยอดเยี่ยม ภารกิจในช่วงนี้ไม่ท้าทายเลยจริงๆ”

“มิติวัฏจักรมิได้มีเพียงหนึ่งเดียวหรอกหรือ”

“ฮึ่ม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ละวางบุญคุณความแค้นส่วนตัวลงก่อนเถอะ”

เหล่าผู้กลับชาติมาเกิดเริ่มพูดคุยกัน ระหว่างนั้นหยางตู๋มิได้สอดปากขึ้นมาเลย

หยางตู๋นึกถึงหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยจะใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมิติอื่นหรือไม่

ไม่ได้

จะคิดแบบนี้ไม่ได้

ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเคยกำชับเขาไว้ เขาจะต้องทุ่มเทกายใจเพื่อมิติวัฏจักร แสดงความสามารถของตนออกมา

ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเลือกเขาแล้ว ย่อมคาดหวังให้เขาได้ครองตำแหน่งสูงๆ รวมถึงอำนาจในการออกสิทธิ์ออกเสียงในมิติวัฏจักร

จอมเทพชุดทองเอ่ยว่า “มิใช่แค่พวกเจ้าเท่านั้น จอมเทพคนอื่นๆ ก็คัดเลือกผู้กลับชาติมาเกิดไว้สิบรายเช่นกัน รวมกันเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบคน ข้าคาดหวังให้หนึ่งในบรรดาพวกเจ้าได้ครองอันดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลาข้าจะตกรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม”

ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหมดตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งหมดต่างเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าอริยะรวมตัวกันในตำหนักเอกภพ

จอมอริยะเสวียนตูถามขึ้นว่า “เหตุใดระยะนี้สหายเต๋าหานเจวี๋ยไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิดเลยเล่า”

เมื่อไม่นานมานี้ เขาเข้าฝันหานเจวี๋ย ไม่น่าเชื่อว่าจะติดต่อหานเจวี๋ยไม่ได้ การเข้าฝันล้มเหลว

ฉิวซีไหลเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสมีเจตนาใดหรือ”

เหล่าอริยะต่างมองไปที่จอมอริยะเสวียนตู จอมอริยะเสวียนตูเรียกพวกเขามารวมตัวกัน คงมิใช่แค่จะถามถึงหานเจวี๋ยกระมัง

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยไปว่า “จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการส่งสารท้ารบมาหาข้า บอกว่าจะกลืนกินมรรคาสวรรค์ให้ได้ภายในหมื่นล้านปี เขาเริ่มล่อลวงสิ่งมีชีวิตในแดนเซียนแล้ว เตรียมก่อภัยพิบัติระลอกแรก เขากระทำการโจ่งแจ้งอุกอาจเช่นนี้ ทุกท่านคิดว่าเขามีเจตนาใด”

เทพสูงสุดหนานจี๋แค่นเสียง “บางที เขาคงทราบแล้วว่าพวกเราเตรียมจะคัดเลือกอริยะรายใหม่ คิดจะใช้แผนยุแยงให้แตกคอ”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย

มหาจักรพรรดิเซียวกล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการคงร้อนใจแล้ว”

“ขอเพียงพวกเรายังอยู่ในมรรคาสวรรค์ แผนการของเขาก็ไม่เป็นผล”

“แดนลับหวนกำเนิดตกอยู่ในการควบคุมของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการแล้วจริงๆ พวกเราต้องระวังกันหน่อย”

“มีพวกเราประจำการอยู่ในมรรคาสวรรค์ ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ”

เหล่าอริยะต่างส่งเสียงขึ้นมา

แววตาของจอมอริยะเสวียนตูเฉยเมย เขาเอ่ยว่า “ระยะนี้แดนเทพหวนปัจฉิมก็กำลังทำศึกครั้งใหญ่กับมารมรรคาอยู่ ผู้อาวุโสอริยะเจ็ดวิถีพ่ายแพ้ในศึกครานี้ ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังมารมรรคา”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเหล่าอริยะพลันแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

พวกเขาต่างก็มีที่พึ่งเป็นของตัวเอง ทว่าล้วนแต่อยู่ที่แดนเทพหวนปัจฉิมเหมือนกันหมด

อริยะเจ็ดวิถีเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพหวนปัจฉิม หากเขาพ่ายแพ้ ที่พึ่งของพวกเขาไหนเลยจะปลอดภัยได้

“ทุกท่าน หากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมาโจมตี พวกเราก็จำเป็นต้องป้องกัน ข้าวางแผนให้พวกเราร่วมมือกันออกจากมรรคาสวรรค์ ต่อสู้กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการสักยกก่อน หยั่งวัดพลังของเขาให้ชัดเจน แล้วค่อยวางแผนกันต่อ”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง ไม่ยอมให้คนโต้แย้งง่ายๆ

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเหล่าอริยะต่างนึกถึงแผนการของหลี่มู่อีและฉิวซีไหลขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จอมอริยะเสวียนตูคิดจะใช้แผนการแบบเดียวกันหรือไม่

ยิ่งมีชีวิตอยู่มานานเท่าไร ก็ยิ่งกลัวตายมากเท่านั้น คำนี้เหมาะสมกับเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ที่สุด

พอคิดได้เช่นนี้ เหล่าอริยะต่างก็รู้สึกหวาดระแวงอยู่ในใจ

จอมอริยะเสวียนตูมองความคิดของพวกเขาออก เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อใจหลี่มู่อี จึงไม่เชื่อข้าด้วยหรือ หากข้าต้องการเล่นงานพวกเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอ้อมค้อมเช่นนี้เลย อย่าลืมเสียล่ะ ข้ามิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ตัวจริง พิสูจน์มหามรรคไปนานแล้ว แค่กลับมาดูแลควบคุมนิกายเหรินชั่วคราวเท่านั้น ช่วยเสริมดวงชะตามรรคาสวรรค์”

ฝูซีเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว สหายเต๋าเสวียนตูไม่มีทางประพฤติตัวเช่นนั้นแน่ พวกเราคิดหาทางกันเถอะว่าจะรับมือกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการย่างไร ข้าได้ยินว่าหลังจากพลังของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเข้ากลืนกินดวงชะตามรรคาสวรรค์เข้าไปเล็กน้อยก็สามารถทำร้ายมรรคจิตมรรคาสวรรค์ของพวกเราได้แล้ว”

………………………………………………………………