บทที่ 602 กองกำลังฟ้าบุพกาล หนึ่งหมื่นปี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 602 กองกำลังฟ้าบุพกาล หนึ่งหมื่นปี

ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาล เมื่ออยู่ที่นี่กาลเวลานั้นไร้ความหมาย

โรคย้ำคิดย้ำทำของหานเจวี๋ยทำให้เขาตื่นขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งพันปี

เขาจมอยู่กับการผสานรวมมหามรรคต้นกำเนิด ยากจะถอนตัวได้

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้สร้างมหามรรคต้นกำเนิดขึ้น อีกทั้งเขาก็ทำความเข้าใจมหามรรคนี้มาโดยตลอด ทว่าเมื่อผสานรวมเข้าด้วยกันจริงๆ เขาถึงได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของมหามรรคต้นกำเนิด

นั่นคือพลังอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือกว่าอริยะมรรคาสวรรค์!

ไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ใดๆ มาผูกมัด แม้แต่มรรคาสวรรค์หรือมหามรรคก็ไม่สามารถผูกมัดได้ นี่ก็คืออริยะเสรี!

หานเจวี๋ยจับทางได้แล้ว เข้าสู่กระบวนการผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิด

แต่เขาก็ไม่อาจคาดการณ์ได้เช่นกันว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะพิสูจน์มรรคกลายเป็นอริยะเสรีได้

ขั้นตอนนี้อาจจะยาวนานยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็มิใช่ระดับขั้นเล็กๆ

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองไปยังเขตเซียนร้อยคีรี เดินวนใต้ต้นฝูซังรอบหนึ่ง จากนั้นก็สอดส่องดูลูกหลานและเหล่าศิษย์ของตน

ผ่านไปครึ่งวัน เขากลับมาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองอีกครั้ง เริ่มผสานรวมต่อ

เขาทำเช่นนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้เหล่าศิษย์รู้ว่าเขาจากมา ทำให้อริยะรายอื่นสบโอกาสยุยงสร้างปัญหา

อาณาเขตเต๋าป้องกันอริยะได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเข้าฝันของอริยะ

หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะผสานมรรคต่ออย่างรวดเร็ว ลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัว

….

ท่ามกลางความมืดมิด เศษอุกกาบาตมากมายนับไม่ถ้วนรายล้อมรวมกัน มีเกาะศิลาแห่งหนึ่งลอยอยู่ตรงกลาง บนเกาะมีลำแสงสีดำสายหนึ่งที่ไม่ทราบขนาดความสูง เชื่อมกลืนไปกับความมืด

ลี่จื้อไจ้คุกเข่าอยู่บนพื้น ด้านหน้าลำแสงสีดำ

เมื่อเพ่งมองให้ดี ภายในลำแสงมีเงาร่างสูงใหญ่องอาจร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลา รังสีกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างเขา ทำให้คนใจสั่น

เมื่อคุกเข่าอยู่ตรงหน้าร่างนี้ ลี่จื้อไจ้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย

“มหามรรคนี้ลึกลับ เจ้าอย่าได้หมายตามันอีก ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลยังมีตาเฒ่าอีกมากมายที่จับจ้องอยู่ เจ้าไม่มีโอกาสแน่”

น้ำเสียงแหบพร่าแว่วดังขึ้น

ลี่จื้อไจ้ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึม “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง “เกิดความวุ่นวายขึ้นในแดนเทพหวนปัจฉิม มารมรรคาอาละวาด เจ้ากลับไปตรวจสอบดูหน่อย ข้าสงสัยว่าจะมีแผนร้ายอยู่เบื้องหลัง”

“นับตั้งแต่ผานกู่เบิกฟ้าแยกปฐพี เกิดยุคสมัยขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นมรรคาสวรรค์ หรือว่ามหามรรค ล้วนไม่สามารถยึดครองฟ้าบุพกาลอย่างสมบูรณ์ได้ นี่มิใช่เรื่องดีเลย”

ลี่จื้อไจ้เงยหน้าขึ้นพลางถาม “ท่านคิดอย่างไรกับแดนเทพหวนปัจฉิมหรือขอรับ”

“แดนเทพหวนปัจฉิมไม่อาจล่มสลายได้”

“เพราะเหตุใด”

“โลกมรรคาสวรรค์หดตัวลงเรื่อยๆ หากแดนเทพหวนปัจฉิมดับสูญ ไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะถูกกองกำลังฟ้าบุพกาลกลืนกิน ทุกอย่างที่ผานกู่แลกมาจะกลายเป็นภาพมายา ฟ้าบุพกาลอันมืดมิดในวันวานจะย้อนกลับมาอีกครั้ง พวกเราทั้งหมดจะสูญสลาย”

“กองกำลังฟ้าบุพกาลมีผู้ใดบ้าง ข้ารู้จักแค่เทพบุพกาลเท่านั้น”

“เมื่อเจ้าหลุดพ้นจากอนิจจัง ก็จะได้รู้เอง”

ท่ามกลางแสงสีดำ เงาร่างองอาจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ลี่จื้อไจ้เงยหน้าขึ้นมอง

เงาร่างองอาจเปิดปากเอ่ย “หาเทพมารอนธการให้พบ กองกำลังฟ้าบุพกาลกำลังตามหาเขาอยู่ พวกเราต้องหาให้เจอก่อน”

ทันทีที่สิ้นเสียง ลำแสงสีดำพลันหดถอยขึ้นสู่ด้านบน เลือนหายไป

ลี่จื้อไจ้หันหลังจากไป เลือนหายไปเช่นกัน

….

กาลเวลาไร้ซึ่งร่องรอย

เวลาผ่านพ้นไปปีแล้วปีเล่า

หนึ่งหมื่นปีผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา ตอนที่หานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นปีกลับไม่ได้รับตัวเลือกจากระบบ คาดว่าคงต้องรอให้ครบอีกหนึ่งแสนปีถึงจะได้เจออีกครั้ง นึกย้อนถึงอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว ทุกสิบปีจะได้รับตัวเลือกจากระบบหนึ่งครั้ง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา

รอบกายเขายังคงเต็มไปด้วยแสงเทพ เพียงแต่มิใช่แสงจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราอีกต่อไป เป็นแสงแห่งมหามรรค

ขั้นตอนการผสานรวมผ่านมาครึ่งทางแล้ว มองจากภายนอกมหามรรคต้นกำเนิดดูปกติดี แต่ความจริงใกล้จะถูกหานเจวี๋ยเข้าแทนที่แล้ว

อย่างมากใช้เวลาอีกหมื่นปี หานเจวี๋ยก็คงสามารถพิสูจน์อริยะเสรีได้ ลอยตัวเหนือมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยใช้เวลาว่างตรวจดูจดหมาย

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมรรคาสวรรค์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หยางตู๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าพันธุ์ลึกลับ] x76229201

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากระดับเทพแห่งสำนักพุทธ]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านได้รับดวงชะตามรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มรรคจิตเสียหาย]

[มหาจักรพรรดิเซียวสหายของท่าน…]

….

เหตุใดหลี่เต้าคงถึงเผชิญกับการโจมตีจากมรรคาสวรรค์

จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ยึดครองร่างสิ่งมีชีวิตในแดนเซียนได้แล้วหรือ

หยางตู๋เผชิญกับการโจมตีมากมายเหลือเกินจริงๆ หลังจากสิ้นสุดการเข้าฝันในครานั้น หยางตู๋เกิดความประทับใจในตัวเขา เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ระดับความประทับใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่มสูงถึง 5.5 ดาวแล้ว

คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่เขาได้รับ

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าอริยะเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ เมื่ออ่านไล่ลงไป อริยะทั้งหมดล้วนเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือว่าทั้งหมดจะถูกโจมตีจากคนๆ เดียวกัน

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ!

หานเจวี๋ยนึกออกแค่คนผู้นี้

สรุปคือ แวดวงสหายยังอยู่ดี ไม่มีใครล้มหายตายจาก

หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง นอกจากเหล่าศิษย์นับล้านของเขตเซียนร้อยคีรีแล้ว สรรพสิ่งในปวงสวรรค์หมื่นโลกาล้วนไม่เคยพบเจอหานเจวี๋ยเลย ดังนั้นแวดวงสหายของหานเจวี๋ยยังคงแข็งแกร่งยิ่ง แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือในด้านใดด้านหนึ่ง ตายยากยิ่ง

หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา เลือกเข้าฝันจักรพรรดิเซียนวันฏจักร

แดนความฝันเริ่มต้นขึ้น

เมื่อจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเห็นหานเจวี๋ย ก็ตื้นตันยิ่ง คุกเข่าคารวะทันที

“นายท่าน ในที่สุดท่านก็มาหาข้า!”

“ระยะนี้เผชิญกับปัญหาใช่หรือไม่”

“ใช่ขอรับ มิติวัฏจักรตกเป็นเป้าของมิติไร้ขอบเขต เบื้องหลังของมิติไร้ขอบเขตก็มีอริยะหนุนหลังอยู่เช่นกัน อริยะนิกายเหรินให้พวกเราหลีกเลี่ยงการปะทะ อย่าไปต่อสู้แย่งชิง จนปัญญาที่มิติไร้ขอบเขตพุ่งเป้ามาที่พวกเราตลอด”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

มิติไร้ขอบเขต…

รูปแบบของมิติวัฏจักรเลียนแบบมาจากกลยุทธ์ของผู้ทรงพลังบางส่วนในแดนเทพหวนปัจฉิม ดังนั้นเกิดการปะทะกันเข้าก็ไม่น่าประหลาดใจ

แต่มิติไร้ขอบเขตมาขวางทาง จำเป็นต้องคิดหาทางจัดการ

หานเจวี๋ยถาม “อริยะที่อยู่เบื้องหลังมิติไร้ขอบเขตคือผู้ใด”

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยด้วยความจนปัญญา “ข้าไม่ทราบขอรับ”

เขาเป็นตัวตนระดับสูงสุดของมิติวัฏจักร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอริยะ สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่เบี้ยหมากตัวหนึ่งอยู่ดี

ตัวเบี้ยมองไม่เห็นรูปการณ์นอกกระดานหมาก

หานเจวี๋ยถามต่อ “แล้วภายในมิติวัฏจักรเล่า พัฒนาไปถึงไหนแล้ว”

“มีผู้กลับชาติมาเกิดบรรลุระดับเซียนเกินหลักล้านแล้ว นับว่าไม่เลวเลย ดาวโลกช่างสมกับเป็นแหล่งสืบทอดอารยธรรมของแดนเซียน พวกเราคัดเลือกผู้กลับชาติมาเกิดที่โดดเด่นจากสายธารแห่งกาลเวลามาได้ไม่น้อยเลย ผู้กลับชาติมาเกิดบางส่วนถือกำเนิดมาพร้อมดวงชะตาจักรพรรดิมนุษย์ด้วยขอรับ หลังจากเข้าสู่วิถีบำเพ็ญ ก็พุ่งทะยานไปอย่างไม่อาจฉุดรั้งได้ อาทิตี้ซิน อิ๋งเจิ้ง ฮั่นอู่ตี้ หลี่ซื่อหมินและเจ้าควงอิ้นเป็นต้น”

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเริ่มสาธยายถึงแนวทางการพัฒนาของมิติวัฏจักรออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว

สำหรับเรื่องที่จักรพรรดิอย่างพวกอิ๋งเจิ้งและฮั่นอู่ตี้มีดวงชะตาจักรพรรดิมนุษย์อยู่ หานเจวี๋ยไม่รู้สึกแปลกใจเลย

ดวงชะตาจักรพรรดิมนุษย์ไม่มีค่าพอ สิงหงเสวียนก็มีดวงชะตาจักรพรรดิมนุษย์เช่นกัน

สุดท้ายก็เป็นเพียงดวงชะตาของเผ่าพันธุ์หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเผ่ามนุษย์มิใช่เผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์แล้ว

จากคำบอกเล่าของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร หานเจวี๋ยได้รู้ว่าหยางตู๋กลายเป็นตัวตนระดับแนวหน้าในมิติวัฏจักรแล้ว เป็นผู้กลับชาติมาเกิดที่สิบสองจอมเทพใต้สังกัดของจักรพรรดิเซียนวัฏจักรโปรดปรานเป็นที่สุด

เหตุผลที่มิใช่อันดับหนึ่ง เป็นเพราะนิกายเหรินก็ชุบเลี้ยงผู้กลับชาติมาเกิดสุดแข็งแกร่งคนหนึ่งไว้ ปะทะกับหยางตู๋มาหลายครั้งแล้ว ทั้งสองผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สรุปคือยากจะตัดสินได้

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ถามขึ้นมาว่า “มิติวัฏจักรจะเข้าควบคุมแดนเซียนพิภพเมื่อไร”

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรตอบ “ในแดนเซียนพิภพไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่สามารถคุกคามพวกเราได้แล้ว ทว่าอริยะแห่งนิกายเหรินต้องการให้พวกเราค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเกรงว่าจะทำให้เทพมารลึกลับที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์รู้ตัว ที่หวั่นเกรงยิ่งกว่าคือเจิ้นหยวนจือปฐมบรรพชนแห่งแดนเซียนพิภพจะรู้ตัวเข้า”

………………………………………………………………