ตอนที่ 616 ยังไงซะจุดยืนของข้าก็ไม่เคยเปลี่ยน

My Disciples Are All Villains

ผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาคนสุดท้ายพยายามสงบสติลง ตัวเขารู้สึกได้ว่าชายผู้ใช้ดาบจากดินแดนหยานคนนี้เป็นคนมีเหตุมีผล ถ้าหากสามารถเจรจาได้อย่างตรงจุด บางทีตัวเขาก็อาจจะมีโอกาสรอดมาได้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องคร่ําครวญและร้องขอชีวิต

“บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ ชายคนนั้นมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนจะยกมือขึ้น ท้ายที่สุด เขาก็ได้แสดงลวดลายบนฝ่ามือให้กับยู่ฉางตงได้ดู “ข้ามีนามว่าเซียนแห่งตระกูลโบนาร์ ราชวงศ์แห่งนครหลวงลัวหลาน ถ้าหากเจ้ากล้าลงมือกับข้า ตระกูลของข้าจะต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่ ทําไมเจ้าถึงยังต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเองด้วยล่ะ?”

ยู่ฉางตงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “ก็จริงอยู่ที่ข้าไม่ชอบสร้างปัญหา”

“ชาวลั่วหลานยังมีความสัมพันธ์อันดีกับดินแดนหยานมาโดยตลอด แม้จะมีเหตุการณ์ความขัดแย้งในยุคของการตัดดอกบัวอยู่บ้าง แต่นั่นมันก็ไม่ได้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนของเรา…ว่ากันว่าสํานักอเวจกําลังยึดอํานาจดินแดนหยานอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะล่มสลายไปแล้ว ข้าน่ะรู้สึกเสียใจสําหรับเรื่องนั้นจริงๆ” เซียนพูดเกลี้ยกล่อม

“น่าเสียดาย…แต่พวกเจ้าน่ะตายกันไปหมดแล้ว” ยู่ฉางตงเหลือบมองไปที่ซากศพที่นอนเกลื่อนกลาด

เซียนส่ายหัวก่อนจะตอบกลับไป “พวกเรามาพูดถึงเหตุการณ์ในตอนนี้จะดีกว่า…ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วแหละว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร”

ยู่ฉางตงพยักหน้าอีกครั้ง ตัวเขาเดินหน้าต่อไป ในตอนนั้นเองแสงจันทร์ก็ได้สาดส่องใบหน้าของยู่ฉางตง ใบหน้าของเขามีแต่ความเย็นชา “ยังไงซะจุดยืนของข้าก็ไม่เคยเปลี่ยน…”

“เยี่ยม ข้าน่ะชื่นชอบคนที่ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้…เอาไว้พวกเราค่อยพบกันใหม่” เซียนหันกลับไป ทันทีที่เขาหันกลับไป ในตอนนั้นสีหน้าที่มืดมนและดูชั่วร้ายก็ได้ปรากฏขึ้น

พรึบ! พรึบ! พรึบ!

เสียงของดาบพลังงานจํานวนมากดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ดังมาจากด้านหลังเซียน

หืม?” ดวงตาของเซียนเบิกกว้างไปด้วยความโกรธ เจ้านั่น…ลอบโจมตี!?

ดาบพลังงานนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ดาบทั้งหมดได้ก่อตัวกันเป็นรูปมังกรก่อนที่จะพุ่งหาเซียน

เซียนที่เห็นแบบนั้นร้องลั่นก่อนที่จะผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกมา ทันใดนั้นเองม่านพลังสีม่วงก็ปรากฏขึ้น มันได้ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้แล้ว

ยู่ฉางตงไม่แม้แต่จะมองไปที่เป้าหมาย ตัวเขาหันกลับมาอย่างเฉยเมย ในขณะที่ดาบพลังงานยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงต่อไป

นิ้วะ!

ดาบพลังงานแทงทะลุหน้าอกของเซียน

ดาบยืนยาวบินวนอยู่ในอากาศก่อนที่จะกลับคืนสู่ฝักดาบด้านหลังของยู่ฉางตง

เซียนที่ถูกดาบแทงทะลุหน้าอกตกลงสู่ป่าเบื้องล่าง

การเคลื่อนไหวของยู่ฉางตงลื่นไหลราวกับสายน้ํา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตัวเขาก็ยังคงมีท่าทีที่ดูสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ

ในทางกลับกันดวงตาของเซียนเบิกตากว้าง เขาได้แต่เหลือบมองป่าที่อันเงียบสงบ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังบังโคลน…และซากศพของเหล่าสหายที่ได้จากไป เซียนก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กําลังไหลออกจากร่างกาย ในไม่ช้าเซียนก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป

ยู่ฉางตงกลับมายิ่งกิ่งไม้กิ่งเดิมก่อนจะล้มตัวนอน ยู่ฉางตงได้แต่คิดถึงสิ่งที่จะต้องทําต่อไป

เหล่าผู้ใช้เวทมนตร์คาถาได้ปรากฏตัวอยู่ทั่วแดนเถ้ากระดูก เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีภารกิจที่จะต้องทํา ตอนนี้ทุกคนถูกจัดการหมด เพราะแบบนั้นแล้วจึงไม่มีใครกลับไปรายงานอะไรแน่ เรื่องนี้จะต้องดึงดูดความสนใจของชาวลัวหลานได้แน่นอน ชาวลัวหลานจะต้องส่งคนตามหาอีกครั้ง การจะตามหาผู้ใช้เวทมนตร์คาถาที่หายสาบสูญไปไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ข้าควรจะทํายังไงต่อไป?

ยู่ฉางตงเกลียดที่จะเข้าไปพัวพันกับปัญหามากที่สุด…ตัวเขาลืมตาก่อนจะเหลือบมองบึงโคลน “ถ้าหากเป็นข้าในอดีต ข้าจะไม่ยอมพัวพันกับปัญหาแบบนี้แน่” เมื่อพูดเสร็จตัวเขาก็หลับตา

ลู่โจวที่ทําสมาธิอยู่ได้รับการแจ้งเตือน ตัวเขาที่ได้รับการแจ้งเตือนก็ได้แต่คาดการณ์ว่ามณฑลเหลียงเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว มันเป็นการแจ้งเตือนที่ไม่ได้มีแต้มบุญมากมายอะไร

ลู่โจวที่ได้รับการแจ้งเตือนก็ได้สั่งการให้คนส่งจดหมายไปยังเมืองมณฑลเหลียง

ในไม่ช้าสีคู่หยาก็ได้ตอบกลับมา สีว์หยาได้บอกเอาไว้ว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงบดี สีปูหยามในใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่มณฑลเหลียงแน่

“หรือว่าจะเป็นฝีมือของยู่ฉางตง…” หลังจากที่ครุ่นคิดพักหนึ่ง ลู่โจวก็คิดที่จะสั่งการให้ซู่ฮ่องกงติดต่อกับสีว่หยา ส่วหยาเป็นคนเดียวที่มีแหล่งข่าวอยู่ในลั่วหลาน เขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเหลือยู่ฉางตงได้

ไม่ช้าก็เร็วลู่โจวก็ต้องไปเยี่ยมเยียนลั่วหลานอยู่ดี จากที่หลิวเก้อได้พูดเอาไว้ คริสตัลแห่งความทรงจําที่จีเทียนเดิมน่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของชาวลั่วหลาน

ในช่วงบ่ายของวันนั้น ต้วนมู่เฉิงรีบเข้าไปยังตําหนักต้าเฉิง “ท่านอาจารย์มีอะไรให้ข้ารับใช้?”

ลู่โจวเหลือบมองตัวนมู่เฉิงก่อนจะถามออกมา “เจ้าแปดอยู่ที่ไหนกัน?”

ตัวนมู่เฉิงรีบตอบกลับไป “ศิษย์น้องแปดได้ฝึกฝนอย่างหนักมากว่าหลายวันแล้ว ในตอนนี้เขาเก็บตัวอยู่ในห้องก็เพื่อที่จะฝึกฝนการหายใจ ท่านอาจารย์ให้ข้าทําแทนศิษย์น้องแปดเถอะ”

ลู่โจวพยักหน้า “ดี…ส่งข้อความไปหาสีว์หยา บอกให้เขาคิดหาทางช่วยยู่ฉางตงซะ”

“ครับ ท่านอาจารย์” ตัวนมู่เฉิงหันจากไปในทันที

ในขณะเดียวกันที่ห้องแห่งหนึ่งภายในต่าหนักจึงเหอ

“โอ๊ย! เบากว่านี้จะได้ไหม?” ซ่ฮ่องกงกรีดร้องออกมาในขณะที่นอนอยู่บนเตียง

“ลูกข้า จีเทียนเด่ลงโทษเจ้าอีกแล้วสินะ? เจ้าน่ะควรไปอยู่กับข้า การที่เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะต้องทุกข์ทรมาน!” นับตั้งแต่ที่ซู่เทียนหยวนเข้ามาในพระราชวัง เขาก็ได้ติดตามซูฮ่องกงราวกับเป็นเงาตามตัว

“อย่าให้ร้ายท่านอาจารย์ข้า…ที่ข้าเป็นแบบนี้ก็เพราะศิษย์พี่สาม”

“ถ้าหากเป็นแบบนั้นเจ้านั่นก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทํา! ข้าน่ะจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าหากผู้ลงโทษเจ้าเป็นอาจารย์ของเจ้า…ผู้เป็นศิษย์พี่จะลงโทษศิษย์น้องตามอ่าเภอใจได้ยังไงกัน?”

ในตอนนั้นเองเสียงเปิดประตูก็ได้ดังขึ้น ต้วนมู่เฉิงเป็นผู้ที่เดินเข้ามา ต่วนมู่เฉิงได้มาพร้อมกับหอกราชันย์อันสง่างาม “ศิษย์น้องแปด ข้ามีงานที่จะให้เจ้าท่า”

ซู่เทียนหยวนหันไปมองร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของตัวนมู่เฉิง การเคลื่อนไหวของต้วนมู่เฉิงดูทรงพลังจนน่าสะพรึงกลัว เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญซู่เทียนหยวนก็ได้ถามออกมาด้วยความสับสน “แล้วเจ้าคือใครกัน?”

“ข้าต้วนมู่เฉิง…ศิษย์พี่สามของซูฮ่องกง” ต้วนมู่เฉิงตอบ

ซู่เทียนหยวนตกตะลึง “โอ้ เป็นท่านนี่เอง ท่านสามแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ลูกข้าอาจจะเป็นเด็กที่ดื้อรั้นไปบ้าง แต่ข้าหวังว่าท่านจะดูแลเขาในฐานะศิษย์พี่ต่อไป ถ้าหากลูกของข้าทําอะไรผิดไปอีกก็เชิญลงโทษเขาให้เต็มที่อย่าได้เห็นแก่ข้าเลย!”

“…” ซูฮ่องกงที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก

ตัวนมู่เฉิงเคยได้ฟังเรื่องของผู้เป็นพ่อมาจากซู่ฮ่องกงมาก่อนแล้ว ตัวเขาไม่รู้สึกแปลกใจอะไร “ท่านลุง ไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง ข้าไม่ได้ถือสาอะไรกับสิ่งที่ศิษย์น้องแปดทําหรอก”

“การที่มีศิษย์พี่มีเหตุผลและยังจิตใจดีแบบนี้ถือเป็นรางวัลชีวิตของซูฮ่องกงแล้วล่ะ! หลังจากนี้เจ้าก็พยายามให้มากขึ้นล่ะซ่ฮ่องกง”

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลย…แค่ทายาวันละสามครั้ง ซ่ฮ่องกงจะต้องหายดีในสามวันแน่ ข้ามีงานที่จะต้องสะสางต่อ ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน”

“ลาก่อนท่านสาม”

“…” ซู่ฮ่องกงได้แต่นั่งนิ่งเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างรวดเร็ว

เจ็ดวันต่อมา

ช่วงเช้า

ยู่ฉางตงได้ข้ามบึงโคลนก่อนที่จะบินออกจากป่าเหมือนกับทุกที่ ตัวเขากําลังสังเกตการเปลี่ยนแปลงของฟองอากาศและสถานการณ์ที่ใต้ผิวน้ําอยู่ เมื่อเทียบกับเจ็ดวันก่อน ในตอนนี้ตัวเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตได้อย่างชัดเจน มันหมายความว่ายู่เฉิงไห่ใกล้ที่จะฟื้นคืนชีพเต็มที่

หลังจากที่สังเกตได้แบบนั้น ยู่ฉางตงก็ได้ชักดาบยืนยาวออกมาจากฝัก

ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้เห็นขี้เหลียงที่กําลังหาอาหารอยู่ที่หุบเขาใกล้เคียง

ไม่นานนักยู่ฉางตงก็เห็นผู้ฝึกยุทธชุดม่วงสามคนที่กําลังบินมาหาอี้เหลียง

จี้เหลียงรู้ตัวดี เมื่อมันรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้มันก็เลือกที่จะซ่อนตัวภายในป่าด้านหลังยู่ฉางตงอย่างรวดเร็ว

ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงบินตามจี้เหลียงมา ทุกคนที่บินตามกันมามองเห็นยู่ฉางตงได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นยู่ฉางตงทุกคนก็โค้งคํานับให้กับเขา

“มีคนอยู่ที่นี่! สหาย เจ้าเห็นพรรคพวกของเราบ้างรึเปล่า? พวกเขาสวมเสื้อผ้าคล้ายกับพวกเราน่ะ” ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านหน้าเป็นผู้เอ่ยถาม

ยู่ฉางตงเป็นคนที่ซื่อตรง เขาชี้ไปทางซากศพในบึงโคลนก่อนจะตอบกลับไป “เจ้าหมายถึงพวกเขารึเปล่าล่ะ?”

ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงสามคนเหลือบมองตามไป ทันทีที่กัมต่ทุกคนก็ได้เห็นซากศพจํานวนมาก เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนก็รีบลอยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนบินไปรอบๆ ก่อนที่จะเก็บรวบรวม ซากศพทั้งหมดโดยใช้เวทมนตร์คาถา ใบหน้าของทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

หัวหน้าของทั้งสามคนถามต่อ “สหาย เจ้าพอจะเห็นฆาตกรบ้างไหม?”

ยู่ฉางตงยิ้ม “ข้ารู้ว่าพวกนั้นเป็นสหายของพวกเจ้า ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ กับการตายของพวกเขา…ส่วนฆาตกร เขาได้ไปที่นครหลวงแล้วล่ะ”

“ขอบคุณสหายที่ให้ความช่วยเหลือ!” ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงต่างก็ใช้เวทมนตร์คาถา เพียงแค่ครู่เดียวตาข่ายสีม่วงก็ได้ยกซากศพทั้งหมดขึ้น “พวกเรากลับไปรายงานเร็วเข้า!”

“ครับ!”

ผู้ฝึกยุทธชุดม่วงทั้งสามคนออกจากแดนเถ้ากระดูกพร้อมกับซากศพทั้งหลายไป

ยู่ฉางตงมองไปยังทิศทางที่ทุกคนได้จากไป “ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่าน…ข้าก็คงจะไม่มีวันยอมโกหกแน่” ยู่ฉางตงยิ้มก่อนจะพูดเสริม “แต่ยังไงซะคนเราก็มักจะทําเรื่องโง่ๆกันทั้งชั่วชีวิตนั่นแหละ”

เมื่อพูดจบยู่ฉางตงก็กลับเข้าป่าไป

ตกดึก

ฟองอากาศในบึงโคลนเริ่มขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น เสียงของฟองอากาศที่กําลังผุดเองก็ดังขึ้นเช่นกัน ยิ่งดึกมากเท่าไหร่ เสียงที่มีก็ยิ่งดังมากยิ่งขึ้น

ยู่ฉางตงบินออกจากป่า ตัวเขากําลังสํารวจบึงโคลนเช่นเคย “แม้ว่าท่านจะตายไปแล้วแต่ความรู้สึกของท่านก็ยังเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงอยู่ดี”

ยู่ฉางตงกลับไปที่ป่าอีกครั้ง

โชคดีที่ไม่มีใครเข้าใกล้บังโคลนอีกเลย ในช่วงเวลาห้าวันที่ผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปได้อย่างราบรื่น

“อีก 22 วันเท่านั้น” ฉางตงได้ขีดเครื่องหมายบนต้นไม้ด้วยดาบยืนยาว มันเป็นสัญลักษณ์ของวันเวลาที่ผ่านไป

จนถึงตอนนี้มีเสียงฟองน้ําที่ดังกว่าแต่ก่อนมาก

ยู่ฉางตงมองดูท้องฟ้า มองดูบึงโคลน และยังมองดูฟองน้ําที่ยังคงเดือดพล่าน ถ้าหากมีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้นอีก มันคงจะมีปัญหามากแน่

ยู่ฉางตงใช้เวลาสิบวันอย่างสงบสุขก่อนที่ฟองอากาศที่เคยเดือดพล่านจะเริ่มเงียบหายไป