ตั้งแต่เจียงอีกลับมาอยู่ที่จวนปั๋ว นางก็ประพฤติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด บวกกับประสบการณ์เลวร้ายที่นางพบเจอที่ร้านเจินเป่า ทำให้นางตีตัวออกหากจากบุรุษทุกผู้ทุกคน แม้ว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าจะเป็นน้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ แต่เท้าของนางก็พลันก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยอินโหลวหันไปมองเจียงอีอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะหันไปหาเจียงซื่อ
เจียงซื่อขยับเข้าไปทักทายเซี่ยอินโหลว “พี่เซี่ย”
เซี่ยอินโหลวนิ่งเงียบชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยปาก “พี่เจียงอี น้องเจียงซื่อ ข้าได้ข่าวของเจียงจั้นแล้ว…อีกหน่อยหากท่านลุงเจียงต้องการความช่วยเหลือก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ”
เจียงอีย่อเข่าลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณเซี่ยอินโหลว
เจียงซื่อกล่าว “ขอบคุณพี่เซี่ย ข้าออกเรือนไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาที่จวนปั๋วบ่อยๆ ช่วงนี้คงต้องรบกวนพี่เซี่ยช่วยเป็นหูเป็นตาให้ข้าด้วย”
“น้องเจียงซื่อวางใจได้ ข้าจะดูแลแทนเจ้าเอง”
เจียงซื่อกล่าวขอบคุณก่อนจะขึ้นไปบนรถม้า นางแง้มม่านมองไปที่ทั้งคู่เห็นว่า เซี่ยอินโหลวกำลังเดินเข้าไปในประตูจวนตงผิงปั๋ว ส่วนเจียงอีพี่ใหญ่ของนางก็เดินตามหลัง นางพยายามรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม
เจียงซื่อปล่อยม่านลง หลับตาใคร่ครวญเพียงลำพัง
เมื่อนึกถึงอวี้จิ่นที่ออกเดินทางไกล นึกถึงท่านพ่อที่ถูกท่านย่าบีบบังคับ ความรู้สึกของนางก็พลันหนักอึ้งเป็นเท่าตัว
เดิมทีนางหลงคิดว่าหากกำจัดคนที่ทำร้ายครอบครัวของนางเมื่อชาติที่แล้ว ครอบครัวของนางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าความสุขสงบมาเยือนได้ไม่ทันไร กระแสลมหนาวก็ถาโถมเข้ามาเสียแล้ว
สงครามนองเลือดโหดร้าย ความตายเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง เมื่อหาร่างของพี่รองไม่พบก็เป็นไปได้มากว่าร่างของเขาจะตกลงไปในแม่น้ำจี๋สุ่ย เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เจียงซื่อรู้สึกโศกเศร้าเท่านั้น มันยังพาความหวาดกลัวมาให้นางด้วย
เป็นความหวาดกลัวต่ออนาคตภายภาคหน้า
เรียกได้ว่าการเสียชีวิตของเจียงจั้นส่งผลกระทบต่อเจียงซื่ออย่างใหญ่หลวง
รถม้าหยุดนิ่งพร้อมกับเสียงของเหล่าฉิน “พระชายา ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงซื่อหลุดออกจากภวังค์ อาหมานช่วยพยุงนางลงจากรถม้าและเดินเข้าไปในจวนอ๋อง
เหล่าฉินเฝ้ามองแผ่นหลังของเจียงซื่อ ชายชราอยากจะพูดปลอบใจ แต่เพราะความเงอะงะ สุดท้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ
เจียงซื่อหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ นางเงยหน้ามองอักขระปิดทองที่เขียนว่า ‘จวนเยี่ยนอ๋อง’ แม้ความเศร้าโศกและความหวาดกลัวยังคงอยู่ ทว่าไม่อาจฉุดรั้งมิให้นางเข้มแข็ง
เพื่อบุตรสาวของนาง นางต้องเข้มแข็ง
แม้ความพยายามไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อันเลวร้าย แต่การไม่พยายามเลยย่อมไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งใดได้ หากสุดท้าย นางเปลี่ยนได้เพียงเศษเสี้ยวของผลลัพธ์ นางก็จะไม่มีทางปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดมือไป
เมื่อขาดนายท่าน จวนทั้งหลังแลดูว่างเปล่าขึ้นทันตา
การเดินทางของอวี้จิ่นครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อจวนเยี่ยนอ๋อง แต่ยังส่งผลกระทบต่อตำหนักอวี้เฉวียนด้วย
เสียนเฟยในขณะนี้กำลังเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟต่อหน้าสะใภ้อย่างพระชายาฉีอ๋อง
“ไอ้ลูกชายตัวดีถ่อไปเก็บศพพี่ชายภรรยาถึงแดนใต้!” เสียนเฟยขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “คนในตระกูลเขายังไม่คิดจะไป แล้วเหตุใดถึงต้องไปออกตัวแทนเยี่ยงนี้”
นางไม่รู้ว่านางคลอดบุตรคนนี้มาให้ใครกันแน่ ตั้งแต่เล็ก เขาก็ไม่ได้อยู่กับนาง กว่าจะได้กลับมาที่เมืองหลวง เขาเข้ามาน้อมทักนางแทบนับครั้งได้ แต่พอเป็นเรื่องของครอบครัวภรรยาล่ะใส่ใจจริงเชียว
เมื่อเห็นว่าเสียนเฟยกำลังปะทุหนัก ในตาของพระชายาฉีอ๋องก็มีรอยยิ้มแวบผ่าน นางกล่าวโน้มน้าว “เสด็จแม่อย่ากริ้วไปเลยเพคะ น้องเจ็ดให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ ไม่เห็นหรือเพคะว่าขนาดเสด็จพ่อยังตอบรับคำขอของเขา หากเสด็จแม่ไม่พอพระทัย และเรื่องไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อเกรงว่า…”
เสียนเฟยตบโต๊ะพร้อมเอ่ยวาจาเสียดเย้ย “ฝ่าบาทก็เลอะเลือนเต็มทีแล้ว ถึงได้เออออไปกับเขา!”
ในห้องนั้นไม่มีใครอื่นนอกจากแม่สามีและลูกสะใภ้ เสียนเฟนถึงได้พูดสิ่งที่ใจคิด
พระชายาฉีอ๋องกลอกตา นางรินชาร้อนส่งให้เสียนเฟย “เสด็จแม่จิบชาเสียหน่อยเถอะเพคะ การที่เสด็จพ่อทรงคล้อยตามไปกับน้องเจ็ดถือเป็นเรื่องดีเสียอีกเพคะ”
เสียนเฟยรับถ้วยชาไปถือพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าอธิบายให้ข้าฟังซิว่าเป็นเรื่องดีตรงไหน”
พระชายาฉีอ๋องคลี่ยิ้ม “ก็หมายความว่าเสด็จพ่อทรงให้ความสำคัญน้องเจ็ด และทรงเอ็นดูน้องเจ็ดมิใช่หรือเพคะ”
เสียนเฟยชะงักงัน แววตาคล้ำหม่นพร้อมพึมพำ “เหตุใดถึงไม่เห็นเขาเอ็นดูเจ้าสี่บ้าง…”
ฝ่าบาททรงรักใคร่เจ้าเจ็ดแล้วจะยกบัลลังก์ให้เจ้าเจ็ดอย่างนั้นหรือ
ในตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าเจ้าสี่เหมาะที่จะขึ้นครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมากที่สุด แต่ฝ่าบาทมิทรงส่งสัญญาณใดๆ ทำให้ไม่สามารถคาดเดาความคิดของพระองค์
เมื่อได้ยินเสียนเฟยกล่าวเช่นนั้น พระชายาฉีอ๋องก็ถอนหายใจ “ใครต่างก็พูดว่าบุพการีและบุตรเป็นเรื่องของพรหมลิขิต บางทีเสด็จพ่อและน้องเจ็ดอาจมีชะตาต้องกัน น้องเจ็ดเกิดมาก็ไม่ได้อยู่ในวังหลวง เสด็จพ่อเห็นแล้วอาจเกิดความรู้สึกสงสารก็เป็นได้เพคะ…”
“น่าขันสิ้นดี!” ปากพ่นลมเย็นชา ทว่าในใจกลับรู้สึกไหวหวั่น
สิ่งที่สะใภ้สี่พูดก็ดูมีเหตุผล ขนาดนางที่เป็นคนให้กำเนิดทั้งเจ้าสี่และเจ้าเจ็ด ทว่าความรู้สึกที่มีต่อบุตรทั้งสองกลับต่างกันคนละโลก
นางให้ประสูติโอรสคนแรกหลังจากเข้าวังมายังไม่ถึงสองปี ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานยศเสียนเฟยให้แก่นาง นั่นทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ในวังหลังได้อย่างมั่นคง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งฮองเฮาและไทเฮาต่างก็ให้เกียรตินาง
เจ้าสี่ทำให้นางมีทุกสิ่ง จึงไม่แปลกหากนางจะหวงแหนบุตรชายคนนี้ประหนึ่งแก้วตาดวงใจ
แตกต่างจากเจ้าเจ็ด เดิมทีการให้ประสูติโอรสถึงสองพระองค์ควรนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ แต่กลายเป็นว่าเจ้าเจ็ดกลับเป็นตัวขัดลาภของฝ่าบาท หลังจากคลอดออกมาเพียงไม่กี่วันก็ถูกส่งออกไปอยู่นอกวัง นางจึงต้องทนทุกข์อยู่กับคำนินทาเยาะเย้ย ไทเฮาที่เคยอ่อนโยนต่อนางก็ไม่แม้แต่จะมองหน้านางเสียด้วยซ้ำ
ในสภาวการณ์เช่นนี้ จะให้นางรู้สึกรักเจ้าเจ็ดได้อย่างไร
โลกแห่งความจริงก็เป็นเช่นนี้ แม้บุตรทั้งสองจะเกิดจากครรภ์มารดาเดียวกัน แต่ในสายตาพ่อแม่ก็มีทั้งรักทั้งชังเป็นธรรมดา
พระชายาฉีอ๋องนวดขาให้เสียนเฟย “เสด็จแม่ ท่านควรจะมีความสุขต่างหากเพคะ ท่านอ๋องเป็นพี่น้องแท้ๆ กับน้องเจ็ด หากเสด็จพ่อเอ็นดูน้องเจ็ด พี่น้องคงจะช่วยส่งเสริมกันและกัน…”
“เหอะๆ” เสียงหัวเราะเย้ยหยันของเสียนเฟยดังแทรกประโยคของพระชายาฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องหน้าแดงระเรื่อ นางเอ่ยแผ่วเบา “เสด็จแม่ ลูกพูดผิดไปหรือเพคะ”
“ที่เจ้าพูดว่าพี่น้องคงจะช่วยส่งเสริมกันและกันก็ไม่ผิดนักหรอก เพียงแต่ทั้งคู่ไม่แม้แต่จะสนทนากันด้วยซ้ำ แล้วจะช่วยส่งเสริมกันได้อย่างไร”
พระชายาฉีอ๋องถอนหายใจแผ่วเบา “หม่อมฉันและท่านอ๋องปฏิบัติต่อน้องเจ็ดด้วยใจจริง เพียงแต่…”
นางไม่ได้พูดต่อให้จบ แต่เสียนเฟยก็พอจะเดาได้
ความสัมพันธ์ของเจ้าเจ็ดและเจ้าสี่ห่างเหิน สาเหตุแรกคงเป็นเพราะไม่ได้โตมาด้วยกัน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งเกรงว่าจะเป็นเพราะพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ไม่สิ จากที่เห็นเจ้าเจ็ดพินอบพิเทาพระชายาเยี่ยนอ๋องออกปานนั้น คงต้องบอกว่าสาเหตุหลักมาจากตัวพระชายาเยี่ยนอ๋องเสียมากกว่า
เสียนเฟยหวนนึกถึงสิ่งที่พระชายาฉีอ๋องเคยกล่าวแล้วปมคิ้วของนางก็ขมวดลึกขึ้น “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องมีท่าทีไม่พอใจยามที่เห็นหน้าเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องที่ซีดขาวในตอนแรกเรื่อสีแดงขึ้นทันใด นางกล่าวอย่างกระดากอาย “เพคะ ลูกตั้งใจว่าจะผูกมิตรกับน้องสะใภ้เจ็ด แต่ไม่คิดว่าจะถูกตอกกลับเช่นนั้น…”
นางเปรยตาขึ้นสำรวจอาการของเสียนเฟยก่อนจะเผยสีหน้าลำบากใจ “สัมพันธ์พี่น้องเป็นสายใยที่ตัดกันไม่ขาด หากมิใช่เพราะน้องสะใภ้เจ็ด บางทีท่านอ๋องและน้องเจ็ดคงไม่ห่างเหินกันถึงเพียงนี้…”
แววตาของเสียนเฟยเย็นยะเยือกขึ้นทันใด
ใครก็ตามที่ขวางทางเจ้าสี่ นางไม่มีทางปล่อยไปเป็นอันขาด
เจ้าเจ็ดเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เดิมทีควรจะส่งผลดีต่อเจ้าสี่ แต่เป็นเพราะสะใภ้เจ็ดมองข้ามความหวังดีของคนอื่น เป็นเหตุให้สองพี่น้องต้องเหินห่าง นางไม่ได้หวังให้เจ้าเจ็ดช่วยส่งเสริมเกื้อกูล ขอแค่ไม่ถ่วงความเจริญของเจ้าสี่ก็พอ
ไม่ได้ นางจะไม่ยอมปล่อยให้หญิงชั่วนางนั้นครองตำแหน่งพระชายาเยี่ยนอ๋องอีกแล้ว!