ความคิดแรกของเสียนเฟยคือทำอย่างไรก็ได้ให้อวี้จิ่นทิ้งเจียงซื่อ
แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวเพียงชั่วครู่ แต่แล้วก็ถูกปัดตกไป
เพราะจากความกระตือรือร้นที่เจ้าเจ็ดปฏิบัติต่อครอบครัวพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้ว เกรงว่าเขาคงเลือกตัดสัมพันธ์แม่ลูกมากกว่าจะทอดทิ้งเจียงซื่อไปเสีย
ฉะนั้นการจะให้เขาละทิ้งผู้เป็นภรรยาคงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหลือแค่ทางเดียว… แสงวาบผ่านแวบเข้ามาในแววตาของเสียนเฟย
หากทำให้สะใภ้เจียงตาย?
เจ้าเจ็ดเพิ่งจะยี่สิบ เขาคงไม่คิดจะครองตัวสันโดษเพื่อสตรีเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต
พวกบุรุษ หนำซ้ำยังหนุ่มยังแน่นจะทนได้สักกี่น้ำกัน ต่อให้เจ้าเจ็ดจะรักจะหลงสะใภ้เจียงเพียงใด แค่ปล่อยให้เขาทำใจสักปีครึ่งแล้วค่อยเสนอเรื่องแต่งงานใหม่ เขาก็คงไม่คัดค้าน
คราวนี้นางจะไม่ปล่อยให้เจ้าเจ็ดเลือกคู่ครองตามอำเภอใจอีกแล้ว นางจะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด เจ้าเจ็ดและเจ้าสี่จะได้สนิทสนมกลมเกลียวกันให้สมกับเป็นพี่น้อง
เสียนเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างสว่างไสว มุมปากของนางยกยิ้มโดยที่นางไม่รู้ตัว
พระชายาฉีอ๋องเฝ้ามองสายตาเย็นชาของเสียนเฟยด้วยความยินดี
นางอยู่ในสถานะสะใภ้ของเสียนเฟยมานานหลายปี นางรู้จักสตรีผู้นี้เป็นอย่างดี หากแม่สามีของนางคิดจะทำสิ่งชั่วร้าย นางก็ไม่เคยลังเลเลยสักครั้ง
แม่สามีคงกำลังมีความคิดจะกำจัดพระชายาเยี่ยนอ๋องสินะ
เป็นไปตามที่นางคาด ไม่นานเสียนเฟยก็เอ่ยออกมา “เรื่องอื่นข้าไม่สน แต่ใครก็ตามที่ขวางเจ้าสี่ ข้ายอมไม่ได้”
“เสด็จแม่ ความหมายของท่านคือ…” พระชายาฉีถามลองเชิง
เสียนเฟยดึงมุมปากพลางเอ่ยเย็นชา “ความหมายของข้าก็คือทำให้สะใภ้เจียงหลุดออกจากตำแหน่งชายาเยี่ยนอ๋องอย่างไรล่ะ”
พระชายาฉีอ๋องเผยทีท่าตกใจ “เสด็จแม่ ท่าน ท่านกำลังจะบอกว่า…”
เสียนเฟยมองลึกลงไปในตาพระชายาฉีอ๋อง
เมื่อถูกมองเช่นนั้น ความรู้สึกตื่นตระหนกรอบนี้จึงเป็นของจริง เสียงที่เปล่งเริ่มติดขัด “เสด็จแม่…”
เสียนเฟยผุดยิ้มกว้าง “สะใภ้สี่ เจ้าควรจะทำตัวให้ฉลาดเฉลียวเสียหน่อย เพราะหากไม่แล้ว เจ้าก็ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องดุจกัน”
หึๆ มารยาสาไถย ต่อหน้านางยังแสร้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์
ในเมื่อนางตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดสะใภ้เจียง นางไม่มีทางปล่อยให้มือของนางแปดเปื้อนคนเดียวหรอก
พระชายาฉีหน้าแดง “เสด็จแม่…”
เสียนเฟยหมดความอดทน นางกวาดตาไปทางพระชายาฉีอ๋องพลางกล่าวเนิบนาบ “เรื่องนี้เป็นอันว่าข้าเห็นชอบด้วย แต่จะใช้วิธีการเช่นไร เจ้าไปคิดมา”
พระชายาฉีอ๋องชะงักไปในทันใด ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย “เสด็จแม่ หม่อมฉัน…”
สีหน้าของเสียนเฟยเคร่งขรึมกว่าเก่า “สะใภ้สี่ มาถึงบัดนี้แล้ว หากเจ้ายังแสร้งโง่ ข้าก็ไม่สนแล้วว่าความสัมพันธ์ของเจ้าสี่และเจ้าเจ็ดจะเป็นเช่นไร เพราะสุดท้ายการที่ฝ่าบาทโปรดปรานคนใดคนหนึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุตรของข้าทั้งนั้น…”
พระชายาฉีอ๋องยิ้มจืดเจื่อน “หม่อมฉันจะฟังที่เสด็จแม่ตรัสสั่งเพคะ”
เสียนเฟยเลิกคิ้ว “ให้ได้อย่างนี้สิ เจ้าลองไปคิดดูก็แล้วกัน”
พระชายาฉีอ๋องอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนกว่าครึ่งค่อนวันกว่าจะกลับไปที่จวนของตนเอง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำหนักอวี้เฉวียนก็ออกประกาศว่าเสียนเฟยกำลังประชวร
ฉีอ๋องพาพระชายาเข้าวังมาเยี่ยมเป็นคนแรก
ข่าวลือส่งไปถึงเจียงซื่อเช่นกัน แม้นางจะไม่ถูกชะตากับเสียนเฟย แต่จำต้องเข้าไปเยี่ยม
ต้าโจวยึดหลักความกตัญญูเป็นคุณธรรมในการปกครองแผ่นดิน แม้ในยามปกตินางจะใช้ข้ออ้างสารพัดบอกปัดไม่มาที่ตำหนักอวี้เฉวียน แต่เมื่อเสียนเฟยล้มป่วย การที่นางไม่ไปเยี่ยมเยียนเลยสักครั้งคงไม่เหมาะนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่อวี้จิ่นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง นางยิ่งไม่ควรเอาตัวเองและบุตรสาวเข้าไปเอี่ยวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เจียงซื่อสวมชุดใหม่เอี่ยมอ่อง ขึ้นรถม้าเข้าไปในวังหลวง
“เหนียงเหนียง พระชายาเยี่ยนอ๋องมาถึงแล้วเพคะ” นางในเข้าไปรายงานเสียนเฟย
เสียนเฟยที่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งขยับเปลือกตาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิดโรย “เชิญพระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามาได้”
ไม่ช้าไม่นาน ม่านแพรก็แหวกออก พร้อมกับเจียงซื่อที่ก้าวเท้าเข้ามา
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาผสมปนเปไปกับกลิ่นธูป กลิ่นแปลกนี้รบกวนฆานประสาทของเจียงซื่อยิ่งนัก
นางเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะแสดงความเคารพเสียนเฟนที่ยังเอนกายอยู่บนตั่ง “ถวายบังคมเหนียงเหนียง”
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
เจียงซื่อยืดตัวขึ้น นางหลุบตามองพื้นมิได้เกริ่นกล่าว
นางไม่ได้ตั้งใจจะมาเล่นละครแสดงความรักระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้อยู่แล้ว จึงเห็นว่าพูดให้น้อยเข้าไว้จะเป็นการดี นางเองก็มิใช่คนชอบพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ท่าทีของเจียงซื่อทำให้เสียนเฟยหงุดหงิดจนอยากจะกลอกตาใส่
นางไม่เคยพบเคยเห็นสะใภ้ที่ไหนเอื่อยเฉื่อยถึงเพียงนี้ แม่สามีล้มป่วย ต่อให้ไม่ถามเรื่องการรักษา แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรถามไถ่อาการเพื่อแสดงความห่วงใยบ้างสิ!
สะใภ้ประเภทนี้ ฆ่าให้ตายยังไม่รู้สึกเสียดาย
เสียนเฟยหันไปส่งสายตาให้พระชายาฉีอ๋อง ให้นางช่วยทำลายบรรยากาศอักอ่วนนี้
นางกำลัง ‘ป่วย’ มิควรให้คนป่วยหาเรื่องชวนคุยจริงไหม
พระชายาฉีหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้เจียงซื่อ “ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะชวนน้องสะใภ้เจ็ดเข้ามาเยี่ยมเสด็จแม่พร้อมกัน…จากที่ข้าเห็น น้องสะใภ้เจ็ดซูบผอมลงไปมากทีเดียวเชียว โธ่ถัง ข้าได้ยินเรื่องพี่ชายของเจ้ามาบ้างแล้ว โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย… น้องสะใภ้เจ็ดก็ปล่อยวางเสียเถิด มิฉะนั้นสุขภาพของเจ้าจะแย่เอา”
“ขอบพระทัยพี่สะใภ้สี่ที่ทรงห่วงใยเพคะ” เจียงซื่อตอบรับราบเรียบเพียงประโยคเดียว ทว่าสมองกำลังประมวลผลอย่างหนัก
ตั้งแต่นางแสดงท่าทีไม่แยแสพระชายาฉีอ๋องเมื่อคราวก่อน พระนางก็เลิกตอแยนางไปแล้ว แต่เหตุไฉนจู่ๆ วันนี้ถึงได้ดูใส่ใจจนออกนอกหน้า
ทำดีหวังผล คำกล่าวนี้อธิบายตัวตนของพระชายาฉีอ๋องได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
คำตอบเย็นชาของเจียงซื่อทำให้พระชายาฉีอ๋องรู้สึกอึดอัดใจ
จะมีใครเข้าสังคมไม่เก่งเท่านี้อีกบ้าง คนเขาอุตส่าห์ชวนคุย ทำตัวเป็นเสาไม้อยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่าไปทำอิท่าไหนเยี่ยนอ๋องถึงได้ถูกใจนักถูกใจหนา หรือว่าแค่เพราะหน้าตาสะสวย
พระชายาฉีอ๋องว้าวุ่นใจ ทว่ามิได้แสดงออกทางสีหน้า นางถอนหายใจ “หมู่นี้ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ เสด็จแม่ทรงมีพลานมัยสมบูรณ์แข็งแรงมาโดยตลอด ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะประชวร น่าเป็นห่วงยิ่งนัก…”
เสียนเฟยเอ่ยปาก “เป็นห่วงอะไรกัน ข้าอายุปูนนี้แล้ว จะมีอาการปวดเศียรเวียนเกล้าก็เป็นเรื่องธรรมดา”
เจียงซื่อพิศมองไปที่เสียนเฟยและรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
แม้นางจะไม่เข้าใจศาสตร์ทางแพทย์ ไม่มีความสามารถในการวินิจฉัยโรค แต่หนอนพิษกู่ที่นางเลี้ยงไว้สามารถรับรู้ถึงลมหายใจของผู้อื่นได้
นางสัมผัสได้ว่า ลมปราณของเสียนเฟยมีพลังเหลือล้น ไม่มีอาการเช่นคนป่วย หรืออย่างน้อยก็มิได้มีอาการอ่อนแรงอย่างที่เสียนเฟยแสดงให้เห็น
เสียนเฟยแกล้งป่วยอย่างนั้นรึ
ความคิดผุดขึ้นในหัวทำให้เจียงซื่อระมัดระวังมากกว่าเดิม
เสียนเฟยแกล้งป่วย ส่วนพระชายาฉีอ๋องก็แสร้งทำดีกับนาง เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่กำลังวางแผนบางอย่าง
เมื่อคิดตกเช่นนี้ เจียงซื่อก็ยิ่งปิดปากสนิทกว่าเก่า
ไม่ว่าทั้งคู่จะมีเป้าประสงค์อันใด พวกนางก็ได้เรียกนางเข้ามาถึงในวังหลวง หากนางไม่ตกปากรับคำ นางก็อยากจะรู้ว่าทั้งคู่จะแสดงละครได้ถึงขนาดไหนกันเชียว
เมื่อเจียงซื่อได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว ท่าทีของนางก็สงบขึ้นมาก นางเฝ้ามองตัวตลกทั้งสองรับส่งบทด้วยสายตาเย็นชา
ท่าทีทึ่มทื่อไม่ตอบโต้ของเจียงซื่อทำให้พระชายาฉีอ๋องเริ่มคิดหนัก นางกลั้นใจเสนอแนะ “น้องสะใภ้เจ็ด ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเสนอ”
เจียงซื่อนึกขันในใจ ทว่าใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ นางเอ่ยถาม “ท่านพี่สะใภ้สี่มีใคร่เสนอสิ่งใดหรือเพคะ”
“พวกเราไปถวายธูป สวดภาวนาขอพรให้เสด็จแม่หายดีที่วัดไป๋อวิ๋นกันดีไหม” นางกลัวว่าเจียงซื่อจะปฏิเสธจึงรีบกล่าวเสริม “ส่วนน้องสะใภ้ก็ไปสวดภาวนาเพื่อน้องเจ็ด การเดินทางไปทำภารกิจคราวนี้จะได้ราบรื่น น้องเจ็ดจะได้กลับเมืองหลวงมาในเร็ววัน”
เมื่อได้ยินพระชายาฉีอ๋องเอ่ยชวนไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋น สีหน้าของเจียงซื่อก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ใคร่ดีนัก
ไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋น...
เป็นอีกครั้งที่ได้รับคำเชิญจากปากพระชายาฉีอ๋อง ชวนให้คนฟังรู้สึก ‘สนิทสนม’ จริงเชียว