เมื่อชาติที่แล้ว เจียงซื่อเสียชีวิตขณะที่กำลังเดินทางไปวัดไป๋อวิ๋นพร้อมกับพระชายาฉีอ๋อง ฉะนั้นนางไม่มีทางลืมเรื่องรถม้าที่เสียการควบคุมกะทันหัน สายลมกระโชกแรงย้ำเตือนนางถึงรอยยิ้มเย้ยหยันของหญิงเบื้องหน้า หญิงที่จงใจปล่อยมือนางให้ตกลงไปในหน้าผา ดำดิ่งสู่หุบเหวลึก
จุดต่ำสุดของมนุษย์และความต่ำตมของจิตใจล้วนแล้วแต่สุมรวมอยู่ในตัวพระชายาฉีอ๋องทั้งสิ้น
ในตอนแรกนางไม่อาจฟันธงว่าเสียนเฟยมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่
เจียงซื่อครุ่นคิดพลางมองไปทางเสียนเฟย
บัดนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางเฝ้าตรึกตรองมานานกำลังจะได้รับคำตอบ
เสียนเฟยเห็นว่าเจียงซื่อกำลังมองมาทางตัวเอง นางจึงกระแอมไอเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “เจ้าไปกับสะใภ้สี่เถิด สถานการณ์ทางใต้ชุลมุนวุ่นวาย คิดเสียว่าไปสวดภาวนาให้เจ้าเจ็ดก็แล้วกัน…”
เมื่อเสียนเฟยเอ่ยออกมาเช่นนั้น เจียงซื่อก็ลอบยิ้มเยาะทันที
ดีจริง ตอนนี้นางก็มั่นใจได้แล้วว่า นอกจากพระชายาฉีอ๋องที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้นางเสียชีวิตยังมีเสียนเฟยด้วยอีกคน
จากคำพูดของเสียนเฟยที่พยายามดึงอาจิ่นเข้ามาโน้มน้าว คงกลัวว่านางจะปฏิเสธพระชายาฉีอ๋องสินะ
เจียงซื่อมองไปที่เสียนเฟยด้วยสายตาราบเรียบและเม้มปากเล็กน้อย
ไม่แน่ว่าเสียนเฟยอาจเป็นตัวการหลักก็เป็นได้
แน่นอนว่า ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวการหลักก็คงไม่สำคัญ แต่อย่าได้คิดว่าจะหนีรอดไปได้ เพราะอย่างไรนางก็จะจัดการให้สิ้นซากทั้งแม่สามีและลูกสะใภ้
เมื่อเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเจียงซื่อ เสียนเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิดโรย “สะใภ้เจ็ด หากเจ้าไม่อยากไปก็ช่างเถิด การถวายธูปเป็นเรื่องของจิตใจ มิควรมาบังคับกัน”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ลูกเต็มใจที่จะสวดภาวนาขอพรเพื่อเสด็จแม่เพคะ”
นางพิศดูอาการของอีกฝ่ายและเห็นรอยยิ้มส่งผ่านออกมาจากนัยน์ตาของเสียนเฟย เป็นรอยยิ้มของความผ่อนคลาย ในใจของนางอดคิดไม่ได้ว่า แม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้คงกลัวว่านางไม่กินเบ็ดสินะ
“ไม่ทราบว่าท่านพี่สะใภ้สี่จะเสด็จไปเมื่อใดหรือเพคะ” เจียงซื่อหันไปทางพระชายาฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องถูกจ้องมองด้วยแววตาเป็นประกายสุกใสของเจียงซื่อ จู่ๆ คล้ายกับมีความรู้สึกบางอย่างพองฟูขึ้นในร่าง ทำให้หัวใจของนางเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
แต่หลังจากนั้นกลับเป็นความรู้สึกว้าวุ่นใจ
เหตุใดนางต้องรู้สึกผิดด้วยเล่า ในเมื่อคนตัดสินใจจะฆ่าพระชายาเยี่ยนอ๋องคือแม่สามีของนาง มิใช่นางเสียหน่อย อีกอย่าง สะใภ้เจียงก็ไม่เหมาะจะอยู่ในตำแหน่งพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีแผนการของเสด็จแม่ สุดท้ายนางก็จะหลุดจากตำแหน่งอยู่ดี ตอนนี้ก็แค่ชิงลงมือไปก่อนเท่านั้น
เมื่อคิดตกแล้ว ความรู้สึกผิดอันบางเบาของพระชายาฉีอ๋องก็มลายหายสิ้น นางหันไปยิ้มอ่อนโยนให้เจียงซื่อ “วันมะรืนดีไหม เอาที่น้องสะใภ้เจ็ดสะดวกก็แล้วกัน”
เจียงซื่อแย้มยิ้ม “หม่อมฉันสะดวกทุกเมื่อ ไปสวดภาวนาเผื่อเสด็จแม่ยิ่งเร็วยิ่งดี วันมะรืนก็ได้เพคะ”
พระชายาฉีอ๋องผงกศีรษะรับด้วยความตื่นเต้น “น้องสะใภ้เจ็ด ถ้าอย่างนั้นเป็นอันตกลงกันแล้วนะ อีกสองวันข้าจะไปรอเจ้าที่หน้าจวนเยี่ยนอ๋อง”
เดิมทีนางคิดว่าการโน้มน้าวสะใภ้เจียงจะต้องใช้ความอุตสาหะมากกว่านี้ ไม่คิดว่านางจะตกลงปากอย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้ นางก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าแผนการในอีกสองวันข้างหน้าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
เริ่มมาก็ราบรื่นออกปานนี้ เป็นสัญญาณดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นเจียงซื่อตอบรับคำชวน เสียนเฟยก็โล่งใจไม่ต่างกัน นางยกมือนวดหว่างคิ้ว “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถิด”
พระชายาฉีอ๋องถวายความเคารพเสียนเฟย “หม่อมฉันทูลลาเพคะ ขอเสด็จแม่ทรงถนอมพระวรกายด้วยเพคะ”
เสียนเฟยพยักหน้าแช่มช้าพลางกวาดตามองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อคุกเข่าลงเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้น เดินตามหลังพระชายาฉีอ๋องไป นางเดินเกือบจะถึงประตู แต่แล้วก็หันหลังกลับมา ทำเอาเสียนเฟยตะลึงงัน
“มีอะไรงั้นรึ”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “หม่อมฉันสะเพร่าจนลืมถามเสด็จแม่ไปเลยว่าพระองค์ประชวรด้วยโรคใดหรือเพคะ”
สีหน้าของเสียนเฟยคล้ำขึ้นเล็กน้อย นางพยายามควบคุมไม่ให้มุมปากของตัวเองยกสูง และตอบเอ่ยเสียงเรียบ “มิใช่โรคอะไรร้ายแรง หมอหลวงแจ้งว่าเป็นเพราะหวัดธรรมดาเท่านั้น”
“เอ๋ ไม่ทราบว่าเสด็จแม่มีพระอาการใดบ้างเพคะ”
เสียนเฟยเริ่มลนลานเพราะถูกถามต้อน นางคิดว่าตัวเองจะถูกจับได้เสียแล้ว แต่เมื่อพิจารณาสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างดีแล้วก็พบว่า อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีผิดปกติแต่อย่างใด นางถึงได้โล่งใจ “ก็แค่ปวดศีรษะและเป็นไข้ แค่กๆ…”
“อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นเสด็จแม่พักผ่อนเถิดเพคะ วันพรุ่งหม่อมฉันจะเข้าวังมาเยี่ยมพระองค์อีกเพคะ” เจียงซื่อกล่าวพลางส่งยิ้ม
เสียนเฟยแกล้งไอพร้อมกล่าวเสริมทันควัน “มิต้องหรอก รอเจ้ากลับมาจากถวายธูปกับสะใภ้สี่แล้วค่อยมาหาข้าก็ยังไม่สาย”
เป้าหมายในการแกล้งป่วยของนางถือเป็นอันบรรลุผลแล้ว นางไม่ต้องการให้สะใภ้เจียงเข้ามาที่วังหลวงอีกแล้ว เพราะสะใภ้ของนางคนนี้หูตาว่องไวยิ่งกว่าอะไร หากจับได้ว่านางแกล้งป่วย แผนที่วางเอาไว้คงพังกันพอดี
อีกอย่าง การต้องแกล้งป่วยต่อหน้าคนจำนวนมากต้องใช้พลังมากทีเดียว… เสียนเฟยคิดหลังจากที่ไล่สะใภ้ทั้งสองคนกลับไป
อันที่จริงนางมิได้เป็นไข้หรือปวดศีรษะ ส่วนแพทย์หลวงผู้วินิจฉัยอาการของนางก็เป็นแพทย์หลวงที่มาตำหนักอวี้เฉวียนเป็นประจำ จะเรียกว่าเป็นคนของนางก็ย่อมได้
ในเรื่องของผลประโยชน์ หากคำโป้ปดนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายใหญ่โต เหล่าแพทย์หลวงก็มักจะไม่ปฏิเสธรางวัลตอบแทนอันโอชะ
“หงเยี่ย รินชามาให้ข้าที” เสียนเฟยที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งหันไปสั่งนางในข้างกาย
หงเยี่ยรีบรินน้ำชามาถวาย
เสียนเฟยรับถ้วยชาไปถือ และค่อยๆ จรดปากถ้วยลงบนริมฝีปาก แต่แล้วจู่ๆ ร่างของนางก็แข็งทื่อประหนึ่งว่ามีท่อนเหล็กกวัดแกว่งอยู่ในหัวของนาง
อาการปวดอย่างฉับพลันทำให้ถ้วยชาหลุดร่วงจากมือ น้ำชาหกเลอะผ้าห่มและอาภรณ์ของนาง
หงเยี่ยยกมืออุดปากกลั้นเสียงตกใจของตัวเอง ก่อนจะรีบถาม “เหนียงเหนียง เป็นอะไรไปหรือเพคะ”
ใบหน้าของเสียนเฟยซีดเผือด “ปวด ปวดหัว…”
หงเยี่ยตะลึงงัน นางเฝ้าพิจารณาอาการของเสียนเฟย
เหนียงเหนียงแกล้งป่วย นางในคนสนิทต่างก็ทราบดี หากคนนอกถามก็บอกว่าเป็นหวัด มีอาการตัวร้อน และเวียนศีรษะ เมื่อครู่ที่พระชายาเยี่ยนอ๋องตรัสถาม เหนียงเหนียงก็ทรงตอบเช่นนี้ นางเองก็ยืนฟังอยู่ข้างๆ
“เหนียงเหนียง พระชายาเยี่ยนอ๋องเสด็จไปไกลแล้วเพคะ…” หงเยี่ยเอ่ยเตือนแผ่วเบา
เสียนเฟยปวดศีรษะเจียนจะตายอยู่รอมร่อ ครั้นได้ยินนางในกล่าวเช่นนั้นก็กริ้วโกรธเป็นการใหญ่ นางฟาดมือลงที่แก้มของสาวรับใช้ พร้อมแผดเสียงเดือดดาล “นางบ่าวโง่ ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
นางปวดหัวจะตายอยู่แล้ว นางบ่าวโง่ยังคิดว่านางแสร้งทำ ช่างไร้หัวคิดซะไม่มี
หงเยี่ยถึงได้รู้ว่าเสียนเฟยปวดศีรษะจริงๆ นางกุลีกุจอสั่งคนให้ไปตามแพทย์
ไม่นาน แพทย์หลวงก็รี่เข้ามาพร้อมกับกล่องยาและพบเสียนเฟยกำลังนอนหน้าซีดเซียวอยู่ที่ตั่ง
เนื่องจากความเจ็บปวดรุมเร้าอย่างหนักหน่วง ร่างของเสียนเฟยในตอนนี้จึงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ แค่การจะกล่าวเอ่ยยังไร้เรี่ยวแรง
“หมอหลวง รีบมาดูอาการข้าที ข้าปวดหัวเหลือเกิน…”
แพทย์หลวงเผยสีหน้าประหลาดใจ ลงความเห็นในใจว่า เสียนเฟยแสดงได้สมจริงยิ่งนัก เห็นชัดๆ ว่าแกล้งทำ แต่ไม่คิดว่าจะแสดงได้ไร้ที่ติเช่นนี้…อะแฮ่มๆ สตรีเพศนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
แพทย์หลวงมัวแต่คิดถึงได้พิรี้พิไร
“หมอหลวง มัวอ้อยอิ่งอะไรอยู่เล่า เหนียงเหนียงปวดพระเศียรจะแย่อยู่แล้ว!” หงเยี่ยเร่งเร้า
แพทย์หลวงชะงักงันและหันไปมองหงเยี่ยอย่างอดไม่ได้
หงเยี่ยพยักหน้าสุดแรง ส่งสัญญาณให้แพทย์หลวงว่าเสียนเฟยมิได้แกล้งทำ
แพทย์หลวงจึงรีบเข้าไปดูอาการของเสียนเฟย เพียงชั่วครู่สีหน้าของหมอหลวงก็ผิดแผกไปจากปกติ “แลดูเหมือนว่าพระอาการประชวรจะหนักกว่าก่อน ทำให้มีไข้สูงพ่ะย่ะค่ะ”
เพี้ยนแล้วหมอหลวง คราวนี้เสียนเฟยประชวรจริงๆ!
เมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยจากแพทย์ เสียนเฟยก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง
หน้าผากของนางร้อนผ่าว
เสียนเฟยชะงักงันนิ่งอึ้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
อาการป่วยทั้งปวดหัวและเป็นไข้เป็นเรื่องที่นางสร้างขึ้นทั้งหมด แต่เหตุไฉนคราวนี้ถึงได้ป่วยจริงเล่า
ขณะที่คิด ความเจ็บปวดรวดร้าวก็แผ่ซ่านไปทั่วศีรษะจนนางแทบทนไม่ไหว