ณ ตำหนักอวี้เฉวียน เสียนเฟยปวดศีรษะอย่างรุนแรงเกินจะทนทาน ฝ่ายเจียงซื่อเดินออกจากรั้ววังหลวง นานๆ ทีจะมีโอกาสระบายความหดหู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางจึงพ่นลมขุ่นมัวใส่ฟ้าสีคราม
ก็เสียนเฟยแกล้งป่วยมิใช่หรือ ก็ช่วยสนองนางเสียหน่อย
เดิมทีเจียงซื่อไม่อยากใช้ศาสตร์วิชามนต์ดำสุ่มสี่สุ่มห้า เนื่องจากนางเคยแสดงอภินิหารมากมายต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา หากนางใช้คาถาอาคมกับคนในวังก็อาจสาวมาถึงตัวนางได้ง่าย มีได้ก็ย่อมมีเสียเป็นธรรมดา นางเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี
แค่ไม่คิดเลยว่าเสียนเฟยจะแกล้งป่วย อีกทั้งยังติดสินบนหมอหลวง ฉะนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องออมมือ ในเมื่อเสียนเฟยบอกเองว่าตนมีอาการปวดศีรษะและเป็นไข้ นางก็แค่ช่วยทำให้สมจริงยิ่งขึ้น ให้เสียนเฟยได้ลิ้มรสชาติผลกรรมที่ก่อไว้เสียบ้าง
ความประจวบเหมาะยิ่งกว่านั้นคือ นางไม่ต้องกังวลเลยว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะสงสัยว่าเป็นฝีมือนาง เพราะเสียนเฟยประชวรก่อนที่นางจะเข้าวังมาเยี่ยม
เมื่อคิดได้ดังนั้น มุมปากของเจียงซื่อก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับสายตาที่ขับประกายเย็นชา
อาการเวียนศีรษะและเป็นไข้ถือเป็นบทเรียนเล็กๆ แก่เสียนเฟยเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เสียนเฟยเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเสียชีวิตยังไม่เริ่ม!
พระชายาฉีอ๋องที่เดินนำหน้าหันหลังกลับมาพลางถามด้วยความสงสัย “น้องสะใภ้เจ็ด เหตุใดจึงไม่เดินมาเล่า”
เจียงซื่อปรับสีหน้าให้ราบเรียบเป็นปกติ พลางมองไปที่พระชายาฉีอ๋องด้วยสายตาไร้อารมณ์
พระชายาฉีอ๋องที่ถูกมองเช่นนั้นเริ่มรู้สึกประหม่า นางเอ่ยกลบเกลื่อน “น้องสะใภ้เจ็ดเป็นอะไรไปหรือ”
เจียงซื่อผุดยิ้ม “หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าพี่สะใภ้สี่เป็นคนดีเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันพูดอะไร พี่สะใภ้สี่ก็มิได้ถือสา”
อาการของพระชายาฉีอ๋องกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด
พระชายาเยี่ยนอ๋องนี่เหลือเกินจริงๆ นางอุตส่าห์แสดงความโอบอ้อมอารี แต่นางกลับไม่เคยรักษาน้ำใจ
เมื่อคิดถึงแผนการวันมะรืน พระชายาฉีอ๋องก็พยายามข่มกลั้นความอัดอั้นเอาไว้ นางหัวเราะแห้ง “น้องสะใภ้สี่ยังเด็ก ข้าจึงไม่ถือสาเป็นธรรมดา”
เจียงซื่อพยักหน้ารับพลางถอนหายใจ “พี่สะใภ้สี่ช่างใจกว้างเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพี่สี่มีอนุภรรยาตั้งหลายสิบคน ถึงขนาดที่จวนฉีอ๋องแทบจะรองรับไม่ไหว ทั้งหมดทั้งมวลคงจะเป็นคุณูปการของท่านพี่สะใภ้สี่สินะเพคะ”
ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องแข็งทื่อ นางกำมือแน่นเพื่อระงับความโกรธมิให้ปากของตนพ่นถ้อยคำสาปส่งออกไป
นางคนชั่ว ตั้งใจพูดจาแทงใจดำกันชัดๆ
มีภรรยาที่ไหนไม่อยากใช้ชีวิตกับสามีแบบผัวเดียวเมียเดียว เจียงซื่อคงเห็นว่าเยี่ยนอ๋องคอยถือหางถึงได้ทำตัวเหิมเกริม จึงกล้าเยาะเย้ยจุดด้อยของนางเช่นนี้ น่าหงุดหงิดเสียจริง
เจียงซื่อมิได้สนใจว่าพระชายาฉีอ๋องจะโกรธแค้นเพียงใด เพราะวันมะรืนก็คือวันมะรืน วันนี้นางขอมีความสุขก่อนก็แล้วกัน
การได้เห็นคู่ปรับของนางมีท่าทีทุกข์ใจทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งยวด
รอยยิ้มไม่ยี่หระของเจียงซื่อสื่อชัดเจนว่านางตั้งใจพูดจาแทงใจดำ พระชายาฉีอ๋องจึงทำได้เพียงกัดฟันโต้ตอบ “พวกบุรุษแตกต่างจากสตรีอย่างเราๆ ตอนเพิ่งออกเรือนใหม่ๆ ก็รักเดียวใจเดียว ไม่ต้องการให้บุคคลที่สามมาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ แต่เมื่อความสดใหม่เหล่านั้นจางหายไปแล้ว ต่อให้ภรรยาในบ้านจะงามกว่านางสวรรค์ แต่สายตาของบุรุษก็อดมองสาวสะพรั่งตามท้องถนนมิได้…หึๆ น้องสะใภ้สี่ยังเด็กนัก รออีกสักสองสามปีก็จะเข้าใจเอง…”
อาหมานที่ยืนอยู่ข้างหลังเจียงซื่อแอบกลอกตา
ข้าล่ะเกลียดพระชายาฉีอ๋องจริงๆ ทำมาเป็นพูดว่าต่อให้ภรรยางามกว่านางสวรรค์ก็ยังสู้หญิงสามัญข้างถนนไม่ได้ นี่คงกำลังพูดถึงนายหญิงอยู่ล่ะสิ
เหอะ บุรุษของตัวเองเจ้าชู้มักมาก ถึงได้มองไม่เห็นความรักของนายหญิงและท่านอ๋อง ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
ในวินาทีนั้น หญิงรับใช้ก็ออกตัวแทนเจ้านายของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย
อะไรกัน นายหญิงของนางเป็นคนเริ่มก่อนแล้วอย่างไร
ถุ้ย แล้วนายหญิงของนางเป็นคนดีปานนี้จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนได้อย่างไร ในเมื่อพฤติการณ์ของอีกฝ่ายชั่วช้าเกินกว่าที่ใครจะรับไหว คนประเภทนี้ไม่ตอกกลับจะให้กล้ำกลืนฝืนทนฟังไปเรื่อยๆ งั้นหรือ
สาวรับใช้กลอกตาอย่างไม่กลัวเกรง หากมิใช่เพราะเพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูวังหลวง มีคนจับตาดูอยู่รอบทิศ นางคงไปยืนกลอกตาใส่หน้าพระชายาฉีอ๋องแล้ว
เมื่อกล่าวจบ พระชายาฉีอ๋องก็เฝ้ารอให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยในใจ
นางไม่เชื่อว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้วจะไม่หวั่นไหว ความรักใคร่เสน่หาที่ลดน้อยถอยลงเป็นวิสัยของพวกบุรุษ สตรีส่วนใหญ่ล้วนต้องพบเจอเรื่องทุกข์ใจเดียวๆ กัน
แต่ใครจะคิดว่าแม้เจียงซื่อจะได้ยินเช่นนั้น ทว่าเปลือกตาของนางยังคงนิ่ง แต่นางกลับถามด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ หม่อมฉันได้ยินมาว่าการดูแลอนุภรรยามากมายถึงเพียงนั้น ลำพังแค่เงินเบี้ยหวัดรายปีของท่านพี่สี่คงไม่พอ เห็นว่าต้องพึ่งพาสินเดิมของพี่สะใภ้สี่ด้วยอีกแรงมิใช่หรือเพคะ”
หัวใจหลักของการจะโจมตีคู่ต่อสู้คือต้องไม่ออมมือ พระชายาฉีอ๋องช่างไร้เดียงสา คิดว่าเบี่ยงเบนประเด็นแล้วนางจะหลงกลอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง วันนี้นางจะเร้าโทสะให้นางอกแตกตายไปเลย
ส่วนเรื่องเงินเบี้ยหวัดของฉีอ๋องไม่พอเลี้ยงดูอนุภรรยาจนต้องหยิบยืมสินเดิมของพระชายาฉีอ๋องเป็นเรื่องที่เจียงซื่อคาดเดาเอาเองเท่านั้น
ขนาดอาจิ่นที่มีนางเพียงคนเดียว ปัจจุบันยังต้องใช้เบี้ยรายปีของเอ้อร์หนิวและอาฮวน ฉีอ๋องเลี้ยงดูอนุภรรยาเป็นโขยง เงินเบี้ยหวัดรายปีจะไปพอได้อย่างไร
ธิดาของฉีอ๋องมิได้มียศเป็นจวิ้นจู่ ฉะนั้นเงินเบี้ยเลี้ยงรายปีก็คงไม่มีทางมากไปกว่าของอาฮวน อีกทั้งยังไม่มีเจ้าสุนัขที่ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยง หากไม่ใช่สินเดิมของพระชายาฉีอ๋องแล้ว จะเอาเงินที่ไหนใช้
การคาดเดาตามสมมติฐานของเจียงซื่อเป็นประหนึ่งศรแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของพระชายาฉีอ๋อง
สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เล็บมือของนางฝังตัวเข้าไปในฝ่ามือจนเกิดรอยเลือด
ในจวนค่าใช้จ่ายมากมายปานนั้น ลำพังแค่เงินเบี้ยหวัดรายปีของท่านอ๋องบวกกับผลผลิตที่ทำกำไรยังไม่เพียงพอใช้จ่าย ฉะนั้นเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจึงมาจากสินเดิมของนาง แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
หากคนได้ยินว่าภรรยาใช้เงินสินเดิมของตัวเองเลี้ยงดูอนุภรรยาของสามีคงชื่นชมว่านางเป็นสตรีผู้มีจิตใจกว้างขวางสูงส่ง แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าความรู้สึกอัปยศเป็นเช่นไร
หากมิใช่เพราะต้องการให้ท่านอ๋องมีโอรสโดยเร็ว เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ นางคงไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องรู้สึกเช่นนั้น
ครั้นเห็นท่าทีของพระชายาฉีอ๋อง เจียงซื่อก็เลิกคิ้วสูง
เดาถูกจริงด้วย!
ในเมื่อนางเดาถูก งั้นนางก็ใส่เต็มที่เลยแล้วกัน!
เจียงซื่อกะพริบตาปริบๆ พร้อมแสดงทีท่าเห็นใจ นางกล่าวร้องด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงหรือนี่ พี่สะใภ้สี่ใช้สินเดิมของตัวเองเลี้ยงดูผู้หญิงของท่านพี่สี่จริงหรือเพคะ”
“น้องสะใภ้เจ็ดไปได้ยินมาจากที่ใด” พระชายาฉีอ๋องถามด้วยความสงสัย
เจียงซื่อยกยิ้ม “ได้ยินมาจากที่ใดคงไม่สำคัญ ท่านพี่สะใภ้สี่ช่างใจจิตกว้างขวางเสียเหลือเกิน เพียงแต่หม่อมฉันจะบอกอะไรอย่างนะเพคะ การทุ่มเทลงแรงเพื่อผู้ใดจำต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าคุ้มค่าหรือไม่ คนบางคนจดจำความดีของเราไว้ในใจ อย่างเช่นท่านอ๋อง แต่ก็มีคนบางคนเคยชินกับการที่คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วย โดยมิได้เห็นว่าคนที่ช่วยต้องเสียสละสิ่งใดบาง แต่เขากลับถือว่าเป็นผลประโยชน์สำหรับตน วันหนึ่งหากไม่เหลือผลประโยชน์อีกแล้ว นอกจากเขาจะไม่ซาบซึ้งในความพยายามของเรา เขาอาจจะโทษที่เราไม่ช่วยเขาให้ถึงที่สุดนะเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องได้ยินถึงกับชะงักงันนิ่งอึ้ง
เจียงซื่อผุดยิ้มลุ่มลึก “ความเคยชินของมนุษย์น่ากลัวเป็นที่สุด พี่สะใภ้สี่ว่าจริงไหมเพคะ”
เจียงซื่อคลี่ยิ้มและเดินผ่านไปโดยไม่รอคำตอบจากพระชายาฉีอ๋อง
อาหมานเดินตามไปติดๆ หลังจากเดินห่างออกไปประมาณหนึ่งแล้ว นางก็หันหลังกลับไปมองพระชายาฉีอ๋องที่กำลังยังงงอยู่ที่เก่าด้วยใบหน้าสับสนเต็มประดา
“อาหมาน ชักช้าอยู่ไย” เจียงซื่อเอ่ยราบเรียบ
อาหมานรีบวิ่งตามไป รอจนขึ้นไปบนรถม้าแล้วนางถึงเผยรอยยิ้มพลางออกปากชม “นายหญิงช่างเก่งกาจเหลือเกินเพคะ ตอกกลับพระชายาฉีอ๋องจนพระนางพูดไม่ออกเลยทีเดียว”
เสียแรงที่นางอุตส่าห์เป็นห่วงว่านายหญิงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงรีบตามมาสมทบ ที่ไหนได้ นางลืมไปว่านายหญิงของนางเป็นหญิงแกร่งที่กล้าแม้แต่ปลิดชีพชายหนุ่ม
“ข้าก็แค่พูดความจริง” เจียงซื่อตอบเสียงเรียบ
“…”