บทที่ 483 สำเร็จ
ตกบ่าย ทั้งกู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงเข้าไปในจวนผู้ว่า ทว่าจนถึงพลบค่ำก็ไม่เห็นวี่แววของผู้ว่าแต่อย่างใด
กุนซือหูให้ครัวทำมื้อค่ำไว้ และยกอาหารมาให้พวกเขาด้วยตัวเอง
กู้เฉิงเฟิงอยู่ด้วยกันกับกู้เจียว กุนซือหูจึงยกอาการมาไว้ที่ห้องเดียว
เวลานี้ ทั้งสองถอดหน้ากากออกเรียบร้อย เมื่อกุนซือเห็นใบหน้าของกู้เฉิงเฟิง ก็ได้แต่คิดว่า ท่านผู้นี้ช่างเกิดมาด้วยใบหน้าอันไร้ที่ติยิ่งนัก ติดแค่ว่าอายุยังน้อยนัก เหตุใดจวงไทเฮาถึงได้ส่งบุรุษน้อยผู้นี้มายังชายแดนแห่งนี้ด้วย
จากนั้น เขาชำเลืองไปทางกู้เจียว
และต้องตกใจกับรอยปานแดงบนหน้าของนาง พลางนึกในใจ ราชสำนักไม่คัดคนบ้างเลยหรือ
สายตาของกุนซือถูกกู้เฉิงเฟิงเห็นเข้าพอดี ตอนแรกที่กุนซือหูชำเลืองเขา เขาไม่คิดอะไร แต่พอได้เห็นแววตาที่ผิดแปลกไปของกุนซือหูที่มีต่อกู้เจียว ความรู้สึกเดือดดาลก็พลันปะทุขึ้น
“กุนซือหูมีธุระอันใดอีกหรือ” เขาจ้องด้วยสายตาเย็นชา
“เอ่อ! ไม่มี ไม่มีขอรับ!” กุนซือหูสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของอีกฝ่าย ยิ้มเจื่อนก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับถาดในมือพลางเอ่ย “นี่คืออาหารเย็นของท่านทั้งสอง ข้าน้อยวางไว้ให้ตรงนี้นะขอรับ”
ขณะที่พูดก็วางถาดบนโต๊ะต่อหน้าทั้งสองคนด้วยท่าทีอ่อนน้อม
ระหว่างทางที่มา การกินและนอนของพวกเขาส่วนใหญ่มักเป็นในที่แจ้ง ทั้งได้สัมผัสกับเมืองที่ร่ำรวยและเมืองที่ยากแค้น ยิ่งขึ้นเหนืออากาศยิ่งหนาวเย็นและชีวิตของผู้คนก็ยิ่งน่าสังเวชมากขึ้นเท่านั้น
และที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือพวกเขาไม่คิดว่าอาหารของจวนผู้ว่าจะแย่ขนาดนี้!
ขนาดเป็นระดับสำนักที่ใหญ่ที่สุดของท้องที่แล้วนะ!
กู้เฉิงเฟิงถลึงตาอ้าปากก้มลงดูหมั่นโถวธัญพืช ไข่ต้ม และผักดองที่อยู่ในถาด
กุนซือหูแย้มยิ้มราวกับรู้ทันก่อนจะเอ่ย “ชายแดนเป็นสถานที่แร้นแค้น เทียบไม่ได้กับเมืองหลวงหรอก หวังว่าท่านทั้งสองจะเข้าใจขอรับ”
“ขนาดระดับจวนผู้ว่าก็เป็นไปด้วยรึ”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
ชาวบ้านมักเล่าขานกันว่า ต่อให้คนที่จนที่สุดหากได้ทำงานให้หลวงก็สามารถมีชีวิตอู้ฟู่ได้มิใช่รึ
บนโลกนี้ มีแต่ชาวบ้านที่จน ไม่เห็นมีพวกข้าหลวงคนไหนจนสักคน
กุนซือหูก้มหน้าลงก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านทั้งสองอาจยังไม่รู้อะไรนะขอรับ แต่ที่เมืองเย่ว์กู่แห่งนี้เต็มไปด้วยความยากจน ผู้คนกินไม่อิ่ม ท่านผู้ว่าเติบโตจากครอบครัวที่ยากจน กระนั้นก็ยังมอบความรักให้แก่ราษฎรราวพ่อปกครองลูก อีกทั้งเงินเดือนของเขานำไปใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เขากินทุกอย่างที่คนทั่วไปกิน และในวันนี้ เพื่อเลี้ยงต้อนรับท่านทั้งสอง พวกเราจึงได้เตรียมไข่ต้มและผักดองที่ปกติจะกินในช่วงตรุษจีนเท่านั้น มีเนื้อสัตว์ในผักดองด้วยนะขอรับ”
ประโยคสุดท้ายเรียกได้ว่าสร้างความสะพรึงให้ทั้งคู่
กู้เฉิงเฟิงถึงกับยกมุมปากขึ้น พลางนึก ในนี้มีเนื้อสัตว์ด้วยรึ
เนื้อที่ว่าคือเศษเนื้อสินะ
กู้เฉิงเฟิงนึกไปนึกมาก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “ราชสำนักจัดสรรเงินให้ชายแดนทุกปี เงินพวกนั้นหายไปไหนหมดล่ะ”
กุนซือหูถอนหายใจอีกครั้ง “เมืองเย่ว์กู่ของเราเป็นเพียงเมืองเล็กๆ และเงินที่จัดสรรมีไม่มากนัก และทั้งหมดก็ถูกนำไปใช้หมดแล้ว ท่านผู้ว่าแทบไม่รับเงินสักตำลึงจากราษฎร รวมถึงจากราชสำนักด้วยขอรับ”
กู้เฉิงเฟิงไม่พูดอะไรต่อ
ช่างเถอะ ในเมื่อเขาเป็นโจร ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจอะไรเรื่องพวกนี้
เป้าหมายการเดินทางของเขาครั้งนี้คือเพื่อช่วยเหลือท่านปู่เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยว
กุนซือหูชำเลืองท่าทางของเขา ก่อนเอ่ยลา “ท่านทั้งสองเชิญรับประทานได้เลยขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“อืม” กู้เฉิงเฟิงตอบรับพลางโบกมือเบาๆ
หลังจากกุนซือหูเดินออกไป กู้เฉิงเฟิงหยิบหมั่นโถวขึ้นมาอย่างตั้งใจ จากที่ตอนแรกมันควรจะร้อน แต่ตอนนี้กลับแข็งราวกับก้อนหิน
พอกู้เฉิงเฟิงกัดเข้าไปคำแรกก็ถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกู้เจียว “ถ้าองค์หญิงหนิงอันทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องมาพำนักอยู่ในสถานที่เช่นนี้ คงไม่คิดจะมาตั้งแต่แรกแล้วเจ้าว่าไหม”
“ไม่รู้สิ” กู้เจียวเอ่ยตอบ
กู้เฉิงเฟิงเบ้ปาก พลางนึกในใจว่าเหตุใดนางต้องทำให้บทสนทนากร่อยทุกครั้งไป
แม้สีหน้าของเขาจะแสดงออกเช่นนั้น แต่การกระทำของเขากลับต่างกันลิบลับ
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ ลอกผิวของหมั่วโถวที่โดนลมออกแล้วใส่ลงในชามของตัวเอง และยกส่วนที่อุ่นและนุ่มของหมั่นโถวลงในชามของกู้เจียว นอกจากนี้เขายังพยายามคีบส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์ที่อยู่ในผักดองอย่างละเมียดละไม จากนั้นก็ใส่ไว้ในชามของกู้เจียวอีกด้วย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำมันโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาแวะจุดพักม้าที่แรก ตอนนั้นอาหารการกินยังพอใช้ได้ พวกเขาได้กินกุ้งจานใหญ่ และในตอนนั้นเองเขาก็แกะกุ้งให้กู้เจียวด้วยความเคยชินแบบที่เขาเคยแกะให้น้องชายตัวเอง
ขณะที่วางเนื้อกุ้งลงบนชามของกู้เจียว เขาก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่า
กู้เจียวไม่ได้เป็นน้องชายของเขาเสียหน่อย น้องสาวก็ไม่ใช่ ทำไมเขาต้องทำให้ด้วยล่ะ!
สิ่งที่น่าอายที่สุดไม่ใช่การที่เขาแกะกุ้งให้กู้เจียวอย่างหลับหูหลับตา แต่คือการที่กู้เจียวอาจถามเขาว่า ‘เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้าจัง’
แต่กลายเป็นว่า นอกจากนางจะไม่ถามอะไรเขาสักคำแล้ว แม้แต่หางตายังไม่แลมองเสียด้วยซ้ำ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นั่นทำให้กู้เฉิงเฟิงรู้สึกโล่งอก
หลังจากนั้น เขาทำแบบนี้โดยไม่รู้ตัวอีกสองสามครั้ง ส่วนนางก็มีท่าทีเช่นเดิม ต่อให้เขาไม่ได้ทำ นางก็ไม่ได้มีท่าทีเรียกร้องแต่อย่างใด
กู้เฉิงเฟิงเลยมองว่าเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ได้เข้าถึงยากเสียทีเดียว
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นางเป็นคนที่เข้าถึงง่าย
ถ้าเทียบกับกู้จิ่นอวี้ รายนั้นเรียกได้ว่าเข้าถึงยาก เพราะกู้จิ่นอวี้เป็นเด็กอ่อนไหวง่าย ต้องการให้คนปลอบตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นนางจะเสียใจและร้องไห้
กู้เจียวไม่ใช่แบบนั้น เพราะนางเป็นฝ่ายทำคนอื่นร้องไห้แทน
หลังทานเสร็จ กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามกู้เจียว “วันรุ่งขึ้นข้าจะไปช่วยท่านปู่ที่เมืองเย่ เจ้ามีแผนอะไร”
พวกข้าราชบริพารที่เคยทำงานให้ราชวงศ์เก่ามาประจำการกันอยู่ที่เมืองเย่ ทั้งท่านปู่และองค์หญิงหนิงอันก็ถูกจับไปที่นั่นเช่นกัน
เมืองเย่เป็นเมืองที่ได้รับการคุ้มกันแน่นหนาที่สุดในบรรดาเมืองทั้งสาม ไม่เพียงแต่มีกบฏที่หลงเหลือจากราชวงศ์ก่อนหน้าเท่านั้น แต่ยังมีกองทัพของแคว้นเฉินประจำอยู่ที่นั่นด้วย
กู้เฉิงเฟิงต้องทำสิ่งนี้ เขาต้องช่วยท่านปู่ให้ได้ แม้จะรู้ดีว่าเมืองเย่นั้นเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เขาต้องยอมเสี่ยง
จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงก็นึกถึงที่กู้เจียวเคยบอกไว้เรื่องจุดประสงค์ในการมาที่ชายแดนครั้งนี้ “เจ้าบอกว่าพี่น้องของเจ้าถูกจับตัวมาด้วย คงไม่ได้อยู่ที่เมืองเย่เหมือนกันหรอกใช่ไหม”
“เขาไม่อยู่ที่นั่น” กู้เจียวตอบ
กู้เฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ทำท่าโล่งอก “ไม่ได้อยู่ที่นั่นก็ดี สภาพเมืองนั้นซับซ้อนมาก เจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว รอให้ข้าไปช่วยท่านปู่ออกมาก่อน แล้วข้าจะไปช่วยพี่น้องของเจ้า”
กู้เจียวดื่มน้ำที่ในแก้วมีเม็ดทราย ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเนิบ “ได้สิ”
ทั้งองค์หญิงหนิงอันและท่านเหล่าโหวถูกย้ายเมืองอย่างลับๆ ตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองเย่ และอาจกลายเป็นเมืองที่หากกู้เฉิงเฟิงไปแล้วจะไม่มีทางกลับมาอีกเลย
หลังจากกู้เฉิงเฟิงกลับไปที่ห้อง ก็ได้เวลาพักผ่อนของกู้เจียว
ในช่วงกลางดึก กู้เจียวได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากหลังคา หูของนางขยับ ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
ในฝันครั้งนั้น นางฝันว่ากู้เฉิงเฟิงนอนที่โรงเตี๊ยม จากนั้นเขาถูกวางยาในคืนแรก ทำให้วันถัดมาเขาไม่สามารถใช้แรงได้อย่างเต็มกำลัง และตกหลุมพรางของอีกฝ่ายระหว่างที่กำลังไปช่วยท่านเหล่าโหว
ดูเหมือนมาตรการคุ้มกันความปลอดภัยของที่นี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เจ้าพวกนั้นมาถึงที่นี่กันแล้ว
มีด้วยกันทั้งหมดสามคน
กู้เจียวเงยหน้ามองหลังคา ยกผ้านวมขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง ได้ยินเสียงพวกมันกำลังย่องไปที่ประตูถัดไป ระหว่างที่กู้เจียวกำลังเตรียมตัวรอพวกมันปรากฏตัวและจะจัดการส่งพวกนั้นไปลงนรก จู่ๆ พวกมันก็เดินผ่านห้องของนางไป!
เดี๋ยวก่อนนะ
ก็มาด้วยกันนี่นา แล้วทำไมพวกมันถึงไม่คิดจะวางยานางด้วยล่ะ
หรือว่า พวกมันจงใจจะเล่นงานกู้เฉิงเฟิงแค่คนเดียวรึ
ไม่ใช่สิ
ภาพที่เห็นในฝัน กู้เฉิงเฟิงและท่านเหล่าโหวถูกตัดหัว ส่วนกู้ฉางชิงถูกตัดขาด้วย ส่วนกองทัพตระกูลกู้ถูกวางเพลิง…เพราะฉะนั้น พวกมันไม่ได้เจาะจงเล่นงานแค่กู้เฉิงเฟิงคนเดียว แต่พวกมันกะเล่นทั้งตระกูลรวมถึงกองทัพ
ด้วยความที่กู้เจียวปกปิดตัวตนอย่างดี ไม่ประกาศให้ใครรู้ว่าตนเป็นบุตรสาวตระกูลกู้ พวกนั้นจึงไม่พุ่งเป้ามาที่นาง
แววตาของกู้เจียวเริ่มนิ่งลง ก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วมาหยุดที่หน้าประตูห้องของกู้เฉิงเฟิง จากนั้นใช้ฝ่าเท้าเตะพังประตูและรีบเข้าไปดับเทียนยาพิษ
กู้เฉิงเฟิงที่ถูกปลุกกะทันหันก็รีบลุกขึ้นคว้ากริช “ใครกัน!”
เขาหันไปทางกู้เจียวแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าเองรึ”
“ไปแล้ว” กู้เจียวเอ่ยเสียงเบา
“ทำอะไรน่ะ” กู้เฉิงเฟิงถาม
“ไหนว่าจะไปช่วยคนไง” กู้เจียวเอ่ยพลางโยนเทียนยาพิษออกนอกหน้าต่าง
“แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าโยนอะไรออกไป” กู้เฉิงเฟิงมองตามมือกู้เจียว
“เทียนยาพิษ” กู้เจียวตอบพลางหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือ
“เจ้าวางยาข้ารึ” กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว
“ใช่สิ ก็ข้าอยากฆ่าเจ้า” กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
กู้เฉิงเฟิงเริ่มออกอาการเครียด
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่ากู้เจียวจะทำแบบนั้น เทียนนั่นไม่ใช่ของนาง เขามองกู้เจียว สลับไปมองบานประตูที่ถูกเปิดออกด้วยแรงถีบก่อนจะเอ่ย “เมื่อครู่นี้ มีคนมาที่นี่”
“ก็ไม่โง่นี่” กู้เจียวเอ่ยพลางเก็บผ้า
กู้เฉิงเฟิงนึกในใจ นี่เขาเป็นถึงจอมโจรซวงเฟย มีเพียงตัวเขาเองที่ดีว่าความตื่นตัวของเขาอยู่ระดับไหน กู้เจียวเคยบอกไว้ว่าว่าพวกเขาถูกคนสะกดรอยตามตั้งแต่ออกนอกเมืองหลวง ตอนนั้นเขาคิดไปเองว่าคนพวกนั้นคงอยู่ไกล ไม่เข้ามาประชิดตัว
ที่ไหนได้ เมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายอยู่ห่างเขาเพียงแค่ใต้จมูกเท่านั้น แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิด…
“ถ้าไม่ไปตอนนี้เดี๋ยวตามไม่ทันนะ” กู้เจียวเอ่ยขณะที่กำลังเตรียมก้าวเท้าออกไป
ณ จุดนี้ มันคงจะดูค่อนข้างเสแสร้งเล็กน้อยถ้าจะบอกให้นางถอยไป
กู้เฉิงเฟิงแสดงสีหน้าเคร่งเครียด ยกผ้าห่มแล้วลุกจากเตียง
ด้วยความที่ตลอดทางพวกเขาสวมเสื้อผ้าเต็มยศเข้านอนตลอด
พอลงจากเตียงปุ๊บ กู้เฉิงเฟิงก็คว้าดาบและเดินทางออกจากจวนผู้ว่าอย่างไร้สุ้มเสียง
พวกเขาสะกดรอยตามอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน
ขณะที่สะกดรอยตามมาได้พักหนึ่ง กู้เฉิงเฟิงเห็นว่าพวกมันกำลังแวะพักถ่ายหนักกันอยู่ จึงรีบยกมือปิดตาให้กู้เจียว
กู้เจียว “…”
ขอบใจนะ ข้าไม่ได้อยากดูเลยสักนิด
กู้เฉิงเฟิงกระซิบถาม “เจ้าว่า พวกมันเป็นคนของราชวงศ์ก่อนหรือคนของแคว้นเฉิน”
“คนของราชวงศ์ก่อน” กู้เจียวตอบทันที
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียว” กู้เฉิงเฟิงทำหน้าประหลาดใจ
กู้เจียวพยักหน้า
กู้เจียวคิดไว้อยู่แล้วว่าทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวดองกัน แม้ท่าทีของพวกเขาจะดูเป็นหนึ่งเดียว แต่แท้จริงเป้าหมายลึกๆ ของพวกมันนั้นต่างกัน
เช่น แผนการที่ให้กองทหารของตระกูลกู้ไปแล้วไม่กลับดูเหมือนเป็นความคิดของทหารแคว้นเฉิน แต่การแก้แค้นรุ่นลูกรุ่นหลานแบบนี้มีแนวโน้มว่าเป็นฝีมือของคนจากราชวงศ์ก่อน
กู้เจียวไม่รู้ว่าคนของตระกูลกู้เคยไปก่อเรื่องอะไรไว้ อีกฝ่ายถึงได้ตามล้างตามเช็ดขนาดนี้
ที่จริงกู้เฉิงเฟิงเองก็คิดว่าเป็นฝีมือของพวกราชวงศ์ก่อนๆ เพราะท่านปู่ของเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกนั้น
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยต่อ “ลูกเขยขององค์หญิงหนิงอันก็เป็นคนของราชวงศ์ก่อนหน้า และตามข้อมูลที่ข้าสอบถามจากตำหนักเชียนจี เขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ก่อนหน้าด้วยเช่นกัน”
กู้เจียวไม่รู้รายละเอียดตรงนี้
หลังจากสามคนนั้นถ่ายหนักเสร็จ กู้เฉิงเฟิงก็คลายมือที่บังตากู้เจียวอยู่ลง แล้วสะกดรอยตามกันต่อ
จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เดี๋ยวนะ นั่นไม่ใช่ทางไปเมืองเย่นี่” ก่อนเข้านอน กู้เฉิงเฟิงได้ศึกษาแผนที่ถึงวิธีการเดินทางไปเมืองเย่ ฝั่งตะวันออกคือทางไปเมืองเย่ ส่วนฝั่งตะวันตกคือเมืองหลิงกวาน
“พวกมันไปทางเมืองหลิงกวานนี่!” กู้เฉิงเฟิงสูดปาก “พวกมันไปทำอะไรที่นั่น เหตุใดไม่ไปที่เมืองเย่ หรือว่า…พวกมันแอบเคลื่อนย้ายพวกเขาอย่างนั้นรึ”
กู้เฉิงเฟิงไม่ใช่คนเขลา เขาจับต้นชนปลายได้ในทันที
หากท่านปู่ของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองเย่ ตัวเขาที่ตั้งใจดั้นด้นไปเมืองเย่คงได้คว้าน้ำเหลวกลับมา
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ คนพวกนั้นวางยาเขา บางทีพวกมันอาจวางกับดักในเมืองเย่ไว้แล้วด้วยซ้ำ
“เกือบได้ประเคนกะโหลกให้พวกมันแล้วสิเรา…” กู้เฉิงเฟิงออกอาการผวา
กู้เจียวเหลือบไปมองเขา พลางตบมือในใจ
เก่งมาก มาถูกทางจนได้
ทั้งคู่สะกดรอยตามเป็นเวลานาน และเมื่อใกล้ถึงเวลารุ่งสาง ในที่สุดพวกนั้นก็ได้เดินทางมาหยุดที่หน้าจวนแห่งหนึ่ง ก่อนจะแสดงตราแล้วเดินเข้าไปด้านใน
“นั่นคือจวนผู้ว่าของเมืองหลิงกวาน” กู้เฉิงเฟิงหันไปพูดกับกู้เจียวขณะที่พวกเขาแนบตัวอยู่บนหลังคา
เมืองหลิงกวานถูกยึดทำให้จวนผู้ว่าตกเป็นของราชวงศ์ก่อนหน้าและกองทัพของแคว้นเฉิน
ที่แห่งนี้มีทหารคอยคุ้มกันแน่นหนา ดูจากชุดเกราะ มีทั้งทหารของแคว้นเฉินและกองทัพของราชวงศ์ก่อนหน้าที่เหลืออยู่
“ท่านปู่จะถูกขังอยู่ที่นี่หรือไม่นะ” กู้เฉิงเฟิงพึมพำ
กู้เจียวนึกว่ากำลังโดนถาม จึงตอบไป “ไม่แน่ใจ”
ตอนนั้นกู้เจียวเองก็ไม่ได้ฝันถึงรายละเอียดนี้ แต่รู้เพียงว่ากู้เฉิงเฟิงและท่านเหล่าโหวถูกตัดศีรษะที่เมืองหลิงกวานแห่งนี้ และศีรษะของพวกเขาถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมือง