บทที่ 482 พ่อที่ไม่เอาไหนต้องโดนฟาด

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 482 พ่อที่ไม่เอาไหนต้องโดนฟาด

วันนี้สำหรับเซียวเหิงแล้วเป็นวันมงคลที่ได้เลื่อนตำแหน่ง และสำหรับหยวนถังที่ในที่สุดก็หนีออกจากเมืองหลวงได้ ก็เป็นวันมหามงคลเช่นกัน

แต่ท่านโหวกู้ที่อยู่ในเมืองหลวงกลับไม่ได้โชคดีเพียงนั้น จู่ๆ กลางดึกเขาก็หนาวยะเยือกตรงสันหลัง รู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาด เช้าตรู่มายังไม่ทันตื่นเต็มตาก็ถูกจับตัวไปแล้ว

เขามึนงงไปหมด

เกิดอะไรขึ้นน่ะ เหตุใดจู่ๆ เขาจึงถูกจับโดยไร้สาเหตุเช่นนี้

พ่อเขาถูกจับอยู่ที่ชายแดน ส่วนเขาถูกจับที่เมืองหลวง นี่มันเรื่องอะไรกัน!

“ท่านโหวกู้”

คนที่มาจับเขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นเจ้ากรมยุติธรรมเจ้านายคนใหม่ของเซียวเหิงนั่นเอง

เจ้ากรมยุติธรรมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยในความผิดฐานหลอกลวงกษัตริย์ ข้าต้องให้เจ้าไปกรมยุติธรรมด้วยกันหน่อย”

ท่านโหวกู้งงเป็นไก่ตาแตก “ช้าก่อน เจ้าพูดให้มันชัดๆ นะ ใครหลอกลวงกษัตริย์กัน!”

เจ้ากรมยุติธรรมคิดไว้แล้วว่าเขาจะพูดเช่นนี้ จึงพาตัวองครักษ์ที่เฝ้าเวรประตูฝั่งเหนือเมื่อคืนมาด้วย ถามคนที่เป็นหัวหน้า “เมื่อคืนตอนเจ้าเฝ้ายามเกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้ละเอียด”

หัวหน้าองครักษ์เอ่ย “เมื่อวานท่านโหวกู้แอบอ้างราชโองการฝ่าบาท และใช้ทางลับของประตูฝั่งเหนือออกจากเมืองหลวงขอรับ”

ท่านโหวกู้เอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าอยู่ในจวนทั้งคืน ออกจากเมืองไปเมื่อใดกัน แล้วข้าไปแอบอ้างราชโองการฝ่าบาทตอนไหน”

เจ้ากรมยุติธรรมมององครักษ์คนนั้น “เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้มองผิด เป็นท่านโหวกู้จริงๆ รึ”

องครักษ์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คนผู้นั้นถือป้ายของติ้งอันโหว น้ำเสียงก็เหมือนกับท่านโหวกู้ในตอนนี้ทุกประการขอรับ!”

ท่านโหวกู้แววตาเย็นเยียบ “เจ้าอย่ามาสาดโคลนใส่ผู้อื่นเชียวนะ”

“ลักษณะท่าทางเล่า” เจ้ากรมยุติธรรมถาม

องครักษ์ตื่นตระหนกกับมาดของท่านโหวกู้ เขามองเจ้ากรมยุติธรรมแวบหนึ่ง แล้วเอ่ย “เขาสวมหมวกสาน ข้าน้อยจึงเห็นไม่ชัดขอรับ”

ท่านโหวกู้โมโหจนเลือดขึ้นหน้า “พวกเจ้าไปตรวจในจวนได้เลย! ข้าไม่ได้ออกจากจวนโหวเลยด้วยซ้ำ! ต้องมีคนสวมรอยเป็นข้าแน่! ป้ายนั่นก็เป็นของปลอมด้วย! ป้ายของข้าอยู่ที่…” ท่านโหวกู้เอ่ยพลางควานหาป้ายคำสั่งในแขนเสื้อกว้าง กลับพบความว่างเปล่าอย่างผิดคาด

เอ๋

ป้ายประจำตัวเขาล่ะ!!!

“ท่านโหว! ท่านโหว! แย่แล้วขอรับ! ท่านชายรองหายตัวไปแล้ว!”

เป็นเสียงของหวงจง

กู้เฉิงเฟิงหายตัวไป

ป้ายของท่านโหวกู้ก็ติดปีกบินหายไปแล้ว

หากท่านโหวกู้ยังเดาไม่ออกอีกว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว

“ท่านโหว! ม้าของท่านก็หายไปด้วย!”

ท่านโหวกู้กำหมัดแน่นจนดังกรอบแกรบ

ไอ้ลูกทรพี!

ไอ้ลูกทรพีคนนี้นี่!

เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่รู้ว่าเจ้ารองจะใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้กันนะ!

นึกไม่ถึงว่าไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ขโมยม้ากับป้ายคำสั่งเขา แอบอ้างราชโองการฝ่าบาทออกจากเมืองหลวงไปแล้ว!

เขาจะออกจากเมืองไปทำอะไรกัน

ขึ้นสวรรค์รึ!

จากการไต่สวนของเจ้ากรมยุติธรรม ยืนยันได้ว่าเมื่อคืนส่วนสูงของ ‘ท่านโหวกู้’ ตรงกันกับกู้เฉิงเฟิง ลักษณะเด่นของม้าตัวนั้นก็ตรงกันกับม้าของท่านโหวกู้ทั้งหมด

กู้เฉิงเฟิงเป็นผู้กระทำความผิดเต็มๆ

แม้ว่าจะไม่ใช่ท่านโหวกู้ที่หลอกลวงกษัตริย์ แต่บุตรชายเขาทำ เขาที่เป็นบิดาก็ไม่ได้รอดตัวเท่าใดนัก เจ้ากรมยุติธรรมทูลผลการตรวจสอบแก่ฝ่าบาท

เป็นไปตามที่กู้เฉิงเฟิงคิด บิดาเขาถูกฮ่องเต้ลงโทษโดยการโบยหนึ่งร้อยไม้อย่างหนัก หนี้บิดาบุตรชดใช้ หนี้บุตรบิดาชดใช้ ฮ่องเต้ทรงลงมืออย่างไร้ปรานี ท่านโหวกู้ประสบกับหายนะโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ถูกโบยจนร้องโอดโอย อเนจอนาถจนดูไม่ได้

หวงจงชินชาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ท่านโหวของตนอยู่บนเส้นทางการโดนทุบโดนตีเช่นนี้โดยไม่อาจหวนคืนกลับได้แล้ว

เขาหามท่านโหวขึ้นรถม้าอย่างคนชำนาญการอีกครั้ง

ณ ชายแดนอันไกลโพ้นนับพันลี้ กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงแทบจะเร่งรุดเดินทางกันไม่หยุดหย่อน เพื่อให้ไปถึงชายแดนให้เร็วที่สุด พวกเขาแทบจะเปลี่ยนม้าพันธุ์ดีในทุกๆ หอพักม้า

ทั้งคู่เร่งรุดเดินทางตลอดทั้งคืน แม้จะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศและถนนหนทาง พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาเกือบยี่สิบวันจึงจะถึงชายแดน

ชายแดนในปลายเดือนสิบ ลมหนาวโกรกสะบัด น้ำแข็งปกคลุมทุกพื้นที่

เมืองเป่ยหยาง เมืองด่านหลิงกวนและเมืองเยี่ยต่างแตกพ่ายไปแล้ว เมืองที่กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงอยู่คือเมืองเย่ว์กู่ ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ เมืองเย่ว์กู่จะเป็นเป้าหมายต่อไปของกองทัพแคว้นเฉินและกบฏราชวงศ์เก่า

อาจเพราะสงครามกำลังจะมาถึง สถานการณ์เมืองเย่ว์กู่จึงวุ่นวายมาก ชาวเมืองต่างอกสั่นขวัญหาย ปวงชนบนท้องถนนมีน้อยมาก ร้านรวงก็ปิดไปไม่น้อยแล้ว

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงสวมเสื้อขนจิ้งจอกผืนหนา จูงม้าพันธุ์ดีเดินอยู่บนถนนโล่งไร้ผู้คน พวกเขาสังเกตแต่แรกแล้วว่ายิ่งขึ้นเหนือเท่าใด เมืองก็ยิ่งอ้างว้างวังเวง ถึงขนาดที่ว่าชาวบ้านไม่น้อยทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไป ลี้ภัยลงใต้ไปเอง บ้างก็พาครอบครัวไปด้วย

“อ๊ะ!”

เด็กผู้หญิงวัยเจ็ดขวบคนหนึ่งถูกคนที่บ้านพาวิ่งอย่างรีบร้อน แต่ไม่ทันระวังจึงสะดุดล้ม บังเอิญล้มอยู่ข้างขากู้เจียวพอดี

กู้เจียวเอื้อมมือไปพยุงตัวเด็กน้อยขึ้นมา

คนที่บ้านของเด็กน้อยไม่ทันจะได้แม้แต่ขอบคุณ ก็จูงเด็กจากไปด้วยความหวาดกลัวเต็มสีหน้า

พวกเขากลัวว่าหากช้าอีกนิด ประตูเมืองจะปิดเสียก่อน แล้วคืนนี้จะออกไปไม่ได้แล้ว

เมืองเย่ว์กู่จะเกิดสงครามขึ้นแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าวันไหน แต่จากไปไวหน่อยก็ไม่ได้แย่

“นี่! พวกเจ้าทำของตกแหน่ะ!” กู้เฉิงเฟิงหยิบกลองป๋องแป๋งเก่าๆ ขึ้นมาจากพื้น

แม่นางน้อยหันกลับมามองกลองป๋องแป๋งอันนั้น แววตามีความปรารถนาและอาลัยอาวรณ์

คนที่บ้านนางกลับลากนางเดินโดยไม่หันกลับมามอง

“เห้อ จริงๆ เลย” กู้เฉิงเฟิงอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก กลองป๋องแป๋งนี้เขาเก็บไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อคนเขาไม่เอาแล้ว เขาก็คงต้องทิ้งอย่างเดียว

สถานการณ์เมืองเย่ว์กู่ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้

เขาถอนใจเอ่ย “ยังไม่ทันจะเกิดสงครามก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร”

แต่กู้เจียวรู้ เหตุการณ์ในฝันนางนั้นเลือดนองเป็นสายน้ำ ผู้คนอดอยากทั่วทุกหนแห่ง ชาวบ้านพลัดถิ่น บุรุษถูกเข่นฆ่า สตรีและเด็กโดนข่มเหง ชายแดนเสื่อมโทรมดั่งนรกบนดิน

“คืนนี้จะพักที่โรงเตี๊ยมหรือหอพักม้า” กู้เฉิงเฟิงถาม

“ไม่พักทั้งคู่” กู้เจียวบอก

“เช่นนั้นจะนอนที่ไหน จะเอาแต่นอนริมทางไม่ได้หรอกนะ!” กู้เฉิงเฟิงทอดมองสีฟากฟ้ามืดมิดเหนือศีรษะ “ข้าเห็นอากาศมันแปลกๆ คืนนี้อาจจะมีหิมะกระหน่ำก็ได้ หากนอนริมทางจริงๆ ได้แข็งตายแน่”

กู้เจียวไม่ได้คิดจะนอนริมทาง นางหยุดฝีเท้ายืนอยู่บนถนนขาวโพลนมีแต่หิมะ

นางรู้สึกเหมือนตัวเองเคยมาที่นี่มาก่อน

ในฝันไม่ได้มีถนนสายนี้ปรากฏขึ้นแท้ๆ

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจูงม้าเลี้ยวไปทางขวา

“นี่ เจ้าจะไปไหนน่ะ” กู้เฉิงเฟิงถาม

“จวนผู้ว่า” กู้เจียวบอก

“ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ” กู้เฉิงเฟิงถามอย่างฉงน

“นอน” กู้เจียวเอ่ยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง

กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว “นอน…จวนผู้ว่าน่ะรึ เหตุใดต้องไปนอนที่นั่นด้วย”

กู้เจียวจูงม้าเดินไปข้างหน้า “ไม่ต้องจ่ายเงินน่ะสิ”

กู้เฉิงเฟิง “…”

กู้เฉิงเฟิงไม่ได้ถามกู้เจียวว่านางรู้ได้อย่างไรว่าจวนผู้ว่าอยู่ทางไหน ระหว่างทางมานี้ นางเหมือนแผนที่เดินได้ รู้ไปเสียหมดทุกที่!

ทว่าเมื่อคิดว่ามีสิ่งที่เรียกว่าแผนที่มีอยู่บนโลกนี้ กู้เฉิงเฟิงก็โล่งใจขึ้นมา

ทั้งคู่มาถึงจวนผู้ว่า

บนถนนหนทางไม่เห็นทหารองครักษ์เดินลาดตระเวนเท่าใดนัก แต่นอกจวนผู้ว่ากลับมีทหารเฝ้าอยู่แน่นหนา

“เจ้าเป็นใคร” องครักษ์คนหนึ่งเดินมาหาพวกกู้เจียว

กู้เจียวไม่ได้พูดอะไร โยนป้ายคำสั่งไปให้เขาแบบส่งๆ ในทันที

องครักษ์เป็นเพียงทหารเล็กๆ ในชายแดน ไม่รู้จักสิ่งของจากเมืองหลวง แต่กู้เจียวมีมาดบีบคั้นคน ผนวกกับนางและกู้เฉิงเฟิงต่างสวมเสื้อขนจิ้งจอก แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา

องครักษ์ถือป้ายคำสั่งเข้าไปในจวนผู้ว่า

ราวๆ เวลาครึ่งเค่อถัดมา ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางคนหนึ่งจับประคองหมวกขุนนางบนศีรษะ ยกชายชุดคลุมวิ่งเหยาะๆ มาหา

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงต่างแต่งตัวเป็นบุรุษ ใบหน้าก็สวมหน้ากาก

ชายวัยกลางคนมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าแปลกใจ ข่มความสงสัยในใจไว้ไม่ไหว จึงคำนับแล้วเอ่ย “ข้าน้อยแซ่หู นามว่าหูไห่ เป็นกุนซือของจวนผู้ว่า ใต้เท้าผู้ว่าออกไปทำธุระข้างนอก ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งสองจะมา เสียมารยาทไม่ได้มาต้อนรับ ขอใต้เท้าทั้งสองโปรดอภัยด้วย!”

กู้เฉิงเฟิงรอกู้เจียวเปิดบทสนทนา

กู้เจียวกลับไม่เอ่ยขึ้น

กู้เฉิงเฟิงจำได้ว่าเด็กคนนี้ดัดเสียงไม่เป็น เขาจึงกระแอมในลำคอ เอ่ย “ไม่เป็นไร”

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ” อาจารย์หูถามอย่างเคารพนบนอบ

กู้เฉิงเฟิงวางมาดขุนนางน่าเกรงขาม “ตัวตนของพวกเราไม่สะดวกเปิดเผย เจ้าไม่ต้องถามหรอก”

“อ๊ะ ขอรับ!” อาจารย์หูส่งป้ายคำสั่งคืนกู้เฉิงเฟิง

กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิด ก่อนจะรับมันแทนกู้เจียว

อาจารย์หูเชิญทั้งคู่เข้าไปในจวนผู้ว่า

กู้เฉิงเฟิงดัดเสียงเอ่ย “หาเรือนสะอาดสะอ้านสักเรือน พวกเราอาจจะต้องพักที่เมืองเย่ว์กู่สองสามวัน”

“ขอรับ! ขอรับ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” อาจารย์หูรีบขานรับ แล้วพาทั้งสองไปยังเรือนสะอาดหลังหนึ่ง

ภายในเรือนมีทั้งหมดสามห้อง กู้เฉิงเฟิงให้กู้เจียวนอนในห้องด้านในสุด ส่วนเขานอนห้องข้างๆ

“ข้าน้อยจะไปเลือกคนรับใช้ที่คล่องแคล่วมาให้สองสามคนนะขอรับ” อาจารย์หูยิ้มบอก

กู้เฉิงเฟิงมองกู้เจียวแวบหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทีปฏิเสธ จึงพยักหน้าเอ่ยกับอาจารย์หู “รบกวนด้วย”

อาจารย์หูออกจากเรือนอย่างเคารพนบนอบ

ผู้ดูแลเดินตามมาอย่างสนใจใคร่รู้พลางเอ่ย “อาจารย์ สองคนนั้นเป็นใครกันรึ เหตุใดเจ้าจึงได้เกรงอกเกรงใจพวกเขาปานนั้น ซ้ำยังให้พวกเขาเข้ามาพักในเรือนหลิวเซียวอีก เรือนนั้นเดิมเป็นของ…”

เขาเอ่ยได้ครึ่งเดียวก็ถูกอาจารย์หูขัดขึ้น อาจารย์หูเอ่ยเสียงเบา “เจ้าจะไปรู้อะไร พวกเขาถือป้ายคำสั่งของจวงไทเฮาอยู่ เป็นคนที่มาจากเมืองหลวงเชียวนะ!”

ผู้ดูแลปากอ้าตาค้าง

กู้เจียวไม่ได้สนใจตัวตนของนางว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างไรในจวนผู้ว่า นางเข้ามาในห้อง ถอดหน้ากากออก ปลดหอกพู่แดงกับตะกร้าใบน้อยวางลง

ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บ แต่ภายในห้องกลับอบอุ่นมากเพราะเตียงเตาที่กำลังลุกโชนอยู่

กู้เฉิงเฟิงเดินเข้ามา เขาถอดหน้ากากออกพลางเอ่ยกับนาง “แปลกจริง ระหว่างทางมานี้เจ้าปิดบังตัวตนของตัวเองเอาไว้อย่างดีมาตลอดมิใช่รึ เหตุใดมาถึงที่นี่แล้วจึงไม่ปิดบังต่อเล่า”

กู้เจียวถอดถุงมือหนังกวางออก “ไม่ต้องปิดบังแล้ว ร่องรอยของพวกเรามันเปิดเผยแล้ว”

กู้เฉิงเฟิงถลึงตาโต “เปิดเผยตอนไหนกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”

กู้เจียวบอก “เข้าเมืองเย่ว์กู่มาก็เปิดเผยแล้ว”

ในฝันนั้นกู้เฉิงเฟิงถูกคนจับตามองที่เมืองเย่ว์กู่

หากไม่ผิดคาดละก็ คืนนี้จะมีคนมาวางยากู้เฉิงเฟิง