บทที่ 481 ช่วยเขา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 481 ช่วยเขา

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงออกเดินทางขึ้นเหนือด้วยกัน แต่หยวนถังที่ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้โชคดีปานนั้น เขาทั้งไม่ได้ราชโองการจากฮ่องเต้แคว้นเจา และใช้ทางลับของประตูเมืองฝั่งเหนือไม่ได้ด้วย ลองคิดจะปะปนไปกับคาราวานพ่อค้าออกจากเมืองหลายครั้ง ก็ล้มเหลวทั้งหมด

สงครามชายแดนรุนแรงยิ่งขึ้น ข่าวร้ายก็ถูกส่งกลับมาที่ราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ ความขุ่นเคืองในพระทัยฮ่องเต้ที่มีต่อหยวนถังก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อน แม้แต่ยอดฝีมือของวังหลวงยังถูกฮ่องเต้รับสั่งให้ไปจับตัวหยวนถังมา

เมื่อคืนหยวนถังเจอยอดฝีมือติดๆ กันสามกลุ่มไปเต็มๆ ทำให้เขาขาดการติดต่อกันกับคนรับใช้ ในขณะที่ฟ้าใกล้จะสางนั้น ในที่สุดเขาก็ฝ่าการปิดล้อมออกมาได้ ทว่าเขาก็แลกมาด้วยราคาที่น่าอนาถพอดู

แขนขวาของเขาถูกฟันขาด หากเจอยอดฝีมืออีก เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะสามารถรอดชีวิตมาได้หรือไม่

“เขาบาดเจ็บแล้ว ไปได้ไม่ไกลหรอก พวกเจ้าไปทางนั้น ที่เหลือตามข้ามา!”

หยวนถังกุมแขนขวาไว้แน่น หลบอยู่ในคอกม้าของบ้านหลังหนึ่ง พลางฟังเสียงยอดฝีมือนอกกำแพง หว่างคิ้วมีความใจร้อนอยู่ไม่สุขและสิ้นหวังเผยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขาเป็นองค์ชายหกแห่งแคว้นเฉิน ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว เสด็จแม่ของเขาจึงมีตำแหน่งสุงสุดในวังหลัง เสด็จแม่เขามีตำแหน่งเทียบเท่ามเหสีรอง ซ้ำตระกูลท่านตาอย่างตระกูลหรงก็กุมอำนาจทหารไว้ในมือ เขาเป็นองค์ชายที่สูงส่งที่สุดในแคว้นเฉิน เกิดมาจนป่านนี้แทบจะไม่เคยลำบากมาก่อนเลย

ตอนแรกมาเป็นเชลยที่แคว้นเจา ก็แค่เพื่อเอาคุณูปการเท่านั้น และจะได้ขึ้นเป็นไท่จื่อตามสถานการณ์ที่เป็นไป

ต้องขอบคุณเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องของเขาจริงๆ หลายวันมานี้เขาลำบากเสียยิ่งกว่ายี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาอีก

“ซี๊ด…”

เจ็บแผลขึ้นมาอีกแล้ว

หยวนถังขมวดคิ้ว

บังเอิญในขณะนั้น คนรับใช้ในเรือนเดินมาพอดี เหลือบไปเห็นชายแปลกหน้าสภาพอเนจอนาถในคอกม้า ซ้ำแขนก็มีเลือดไหล คนรับใช้จึงหวีดร้องขึ้นตามสัญชาตญาณ “อ้ากกก”

หยวนถังใช้สันดาบฟาดเขาสลบ

ทว่าอย่างไรเสียเสียงนั้นก็ดังขึ้นแล้ว ทหารองครักษ์จึงเร่งรุดมาทางคอกม้า

หยวนถังจำต้องหนีอีกครั้ง หาที่ซ่อนต่อไป

ด้านหลังมีแต่องครักษ์ ทางขวาก็เป็นทางตัน เหลือแค่ทางซ้ายที่มีรถม้าจอดอยู่ หยวนถังไม่มีทางเลือกจึงเข้าไปซ่อนในนั้น!

รถม้าดูเหมือนจะไม่ใหญ่ แต่ด้านในกลับกว้างพอดู และค่อนข้างพิถีพิถันด้วย บนม้านั่งปูด้วยผ้า เขาเลิกผ้าขึ้นแล้วขดตัวสูงใหญ่ของตัวเองลงไปใต้ม้านั่งยาว

ที่แคบเช่นนี้ ทำเอาคนตัวใหญ่อย่างเขาอึดอัดไม่น้อย

“ใต้เท้าเซียว กลับดีๆ ขอรับ!”

เถ้าแก่ออกมาส่งเซียวเหิงจากในร้านหนังสือข้างรถม้าด้วยตัวเอง

“ช้าก่อน” เซียวเหิงผงกหัว เอ่ยกับเถ้าแก่จบก็หันไปขึ้นรถม้าที่จอดเทียบอยู่ข้างทาง

คนขับรถหอบพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกออกมาจากร้านหนังสือกองโต

เซียวเหิงเพิ่งจะได้รับคำสั่งย้ายจากกรมขุนนาง แต่งตั้งเขาเป็นอาลักษณ์กรมยุติธรรมขั้นห้า

หน้าที่หลักๆ ของอาลักษณ์คือจัดระเบียบเอกสาร ดูแลตราราชการ ร่างเอกสาร

เขายังเป็นขุนนางในสำนักฮั่นหลินคงเดิม เพียงแต่รับหน้าที่อาลักษณ์พ่วงมาด้วย

นี่เป็นความคิดของเจ้ากรมยุติธรรม เมื่อเดือนก่อนก็ยื่นเสนอไปที่กรมขุนนางแล้ว การรับตำแหน่งของกรมทั้งหกแตกต่างกันกับสำนักฮั่นหลิน และไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของคณะเสนาบดี หลังจากที่กรมขุนนางได้รับเอกสารจากเจ้ากรมยุติธรรมแล้ว ภายในก็ตรวจสอบหนึ่งรอบ ก่อนจะส่งไปถึงมือฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงพิจารณา

ขุนนางที่ควบสองตำแหน่งหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะควบตำแหน่งข้ามกรมเช่นนี้ ข้อกำหนดสำหรับตัวขุนนางเองนั้นสูงมาก ไม่ว่าจะด้านศักยภาพ สติปัญญา หรือด้านความรู้ความสามารถ ต่างต้องยอดเยี่ยมกว่าเพื่อนร่วมงานไม่น้อย

ฮ่องเต้ประการแรกกลัวว่าเซียวลิ่วหลังร่างกายจะรับไม่ไหว ประการที่สองกลัวว่าเขามีชื่อเสียงมากเกินไปจะถูกคนกีดกัน

ฮ่องเต้จึงเรียกตัวจี้จิ่วอาวุโสเข้าวัง เพื่อสอบถามความเห็นเขา จี้จิ่วอาวุโสเดิมทีไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย ยามนี้มีคนเบิกทางมาแล้ว เขาแทบจะจับเซียวเหิงใส่พานขึ้นไปตำแหน่งสูงๆ

“ยามนี้เป็นช่วงที่กำลังต้องการคนพอดี ฝ่าบาทลองให้เซียวลิ่วหลังลองดูก่อนก็ได้ หากดูแลไม่ไหวค่อยว่ากันใหม่”

ฮ่องเต้รู้สึกว่าจี้จิ่วอาวุโสพูดมามีเหตุผล จึงเห็นชอบให้เซียวลิ่วหลังรับตำแหน่งนี้

เซียวเหิงเพิ่งจะไปรายงานตัวที่กรมยุติธรรมเสร็จ กำลังจะกลับไปสำนักฮั่นหลิน พอผ่านร้านหนังสือก็นึกขึ้นได้ว่าพู่กันกับหมึกที่บ้านจะหมดแล้ว จึงจอดรถม้าลงไปซื้อ

เขาเพิ่งจะขึ้นรถม้ามาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ

ผ้าม่านในตู้โดยสารเปิดอยู่ ภายในรถอากาศถ่ายเทมาก ทว่าเขายังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ อยู่เลย

“ใต้เท้าเซียว ข้าวางของไว้ตรงนี้นะขอรับ” คนขับรถวางเครื่องเขียนกล่องใหญ่ไว้บนกระดานพื้นรถ เขาไม่ได้ประสาทสัมผัสไวเหมือนเซียวเหิง จึงไม่พบความผิดปกติใด “จะกลับสำนักฮั่นหลินตอนนี้เลยหรือไม่ หรือว่าจะไปซื้อของอย่างอื่นก่อน”

“ไม่ต้อง” เซียวเหิงบอก

“ขอรับ เช่นนั้นข้าออกไปแล้วนะ” คนขับรถปล่อยม่านลง กลับไปนั่งบนม้านั่งยาวด้านนอก

เซียวเหิงไม่ได้รีบร้อนนั่งลง แต่มองม้านั่งยาวคลุมผ้าไหมอย่างระแวดระวัง

ใต้ม้านั่งนั้น หยวนถังกุมแผลตัวเองแน่น หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาน้อยๆ เพราะความเจ็บปวด

เขาไม่รู้ว่ารถม้าคันนี้เป็นของใคร แต่ว่าเขาได้ยินคนขับรถเรียกอีกฝ่ายว่าใต้เท้าเซียว ซ้ำยังถามอีกฝ่ายอีกว่าจะไปสำนักฮั่นหลินหรือไม่ ขุนนางสำนักฮั่นหลินแซ่เซียวมีแค่คนเดียว นั่นคือสามีหมอกู้อย่างเซียวลิ่วหลัง

หยวนถังกับเซียวลิ่วหลังไม่เคยได้พบหน้ากันอย่างเป็นทางการ เพียงแค่เคยเห็นกันไกลๆ อยู่หลายครั้ง รู้ว่าเขาคือสามีของหมอกู้ เป็นจอหงวนคนใหม่ และดำรงตำแหน่งในสำนักฮั่นหลินในยามนี้

ส่วนเซียวเหิงจะจำเขาได้หรือไม่นั้น หยวนถังไม่แน่ใจ

แต่หากเห็นสภาพเช่นนี้ของเขาเข้าจริงๆ ต่อให้เซียวลิ่วหลังไม่รู้จักก็น่าจะพอเดาได้แล้วล่ะว่าเขาเป็นใคร

เซียวลิ่วหลังจะเป็นมิตรหรือศัตรู หยวนถังไม่กล้าลงข้อสรุปง่ายๆ แม้ว่าเขาจะเป็นสามีของกู้เจียว แต่เขาก็เป็นขุนนางในราชสำนักด้วยเช่นกัน ในเมื่อเป็นขุนนางในราชสำนักก็ต้องจับตนกลับไปดำเนินคดีอยู่ดี

หยวนถังกัดริมฝีปากแน่นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงออกไป

เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายคนในครอบครัวกู้เจียว แต่ถ้า…เขาสมมตินะ หากอีกฝ่ายจะจับเขาจริง เขาก็จำต้องล่วงเกินอีกฝ่ายแล้วล่ะ!

“รถม้าคันหน้าเป็นของใครน่ะ”

ทหารองครักษ์กองหนึ่งหยุดลงตรงหน้ารถม้า คนที่ถามขึ้นคือผู้บัญชาการ

พวกเขาไล่ตามมาตลอดทั้งทางเมื่อครู่นี้ ล้อมรอบด้านไว้หมดแล้ว แต่ไอ้หยวนถังผู้นี้กลับเหมือนติดปีกบินได้อย่างไรอย่างนั้น

พวกเขาเดาว่าหยวนถังต้องหลบซ่อนอยู่ใต้จมูกพวกเขาแน่ หากไม่ได้อยู่ในร้านละแวกนี้ก็ต้องเป็นในรถม้าที่ผ่านไปมา

เซียวเหิงมองคราบเลือดที่ไหลออกมาจากใต้ม้านั่งอย่างช้าๆ แววตาสั่นไหวเล็กน้อย เขาหันกลับ เลื่อนตัวขึ้นหน้า เลิกชายอาภรณ์ขึ้นก่อนจะนั่งลง เท้าขวาเหยียบบนคราบเลือดที่ไหลออกมานั่นพอดี

คนขับรถเจรจากับองครักษ์สักพักก็เลิกม่านขึ้นเป็นช่องเล็กๆ เอ่ยกับเซียวเหิง “ใต้เท้าเซียว องครักษ์บอกว่าพวกเขากำลังตามจับเชลยแคว้นเฉินอยู่ อยากจะขอค้นรถม้าของพวกเราขอรับ”

เซียวเหิงยกมือขึ้น ทำมือให้เขาเลิกม่านขึ้น

คนขับรถค้อมกายลง เลิกม่านขึ้นให้กว้างที่สุด ให้องครักษ์สามารถมองเห็นภายในรถม้าได้

เซียวเหิงนั่งตัวตรงอยู่ในรถอย่างสำรวมกิริยา ใบหน้าของเขาอ่อนเยาว์และหล่อเหลา แต่กลิ่นอายกลับแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แววตาเจือความน่าเกรงขามแม้ไม่ได้โกรธกริ้ว “ใต้เท้าทั้งหลายต้องการจะขึ้นมาตรวจดูให้ละเอียดหรือไม่”

ผู้บัญชาการตื่นตะลึงกับใบหน้าและกลิ่นอายของเซียวลิ่วหลัง นิ่งอึ้งอยู่นานจึงได้สติขึ้น คงจะรู้ตัวว่าตัวเองเสียกิริยา จึงได้ลนลานก้มหน้าลง ประสานมือคำนับเอ่ย “ไม่ต้องขอรับ! พวกข้าน้อยดูชัดแล้ว รบกวนใต้เท้าเซียวเสียแล้ว ขอใต้เท้าเซียวโปรดอภัยด้วย!”

เซียวเหิงเป็นคนที่ฮ่องเต้และไทเฮาทรงให้ความสำคัญ ต่อให้ผู้บัญชาการใจกล้าก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินเขา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่ตนก็จ้องอีกฝ่ายเสียขนาดนั้น เสียมารยาทไม่น้อย

“ไม่เป็นไร” เซียวเหิงบอก

ผู้บัญชาการเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “เช่นนั้นพวกข้าน้อยขอตัวไปหาคนต่อ ขอตัวนะใต้เท้าเซียว”

เซียวเหิงผงกหัวให้ “ขอตัว”

ผู้บัญชาการกะว่าจะพาองครักษ์ที่เหลือไปค้นที่ร้านค้าละแวกนี้ เพิ่งจะหันหลังกลับ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างหยดลงพื้น เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่ยามนี้คนบนท้องถนนมีไม่มาก และรอบด้านเงียบสงัด

หยวนถังสีหน้าพลันเปลี่ยน!

เลือดของเขาไหลตามร่องกระดานหยดลงพื้นแล้ว!

จบเห่แล้ว!

เขาโดนเจอตัวแน่!

“มัวเหม่ออะไรอยู่!” เซียวเหิงตวาดใส่คนขับรถ “เจ้าจะให้ข้าเลือดไหลอีกนานหรือไม่ ยังไม่รีบไปโรงหมออีก!”

คนขับรถชะงักไป

ใต้เท้าได้รับบาดเจ็บรึ

ตอนไหนกัน

เซียวเหิงในยามนี้วางมาดใหญ่โตยิ่ง คนขับรถไม่กล้าถามเขาว่าเป็นอะไร รีบปล่อยม่านรถลงทันที “ขอรับ! ขอรับ! ข้าน้อยจะไปโรงหมอเดี๋ยวนี้!”

ชั่วขณะที่ผ้าม่านปิดลง ผู้บัญชาการเห็นคราบเลือดใต้เท้าขวาของเซียวลิ่วหลังไหลซึมออกมา

ใต้เท้าเซียวบาดเจ็บจริงๆ รึ

ผู้บัญชาการขมวดคิ้ว ค่อนข้างสงสัยนิดหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็กลัวตัวตนของเซียวลิ่วหลัง ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดว่าเซียวลิ่วหลังจะโกหก สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ขึ้นไปตรวจ

คนขับรถขับรถม้าไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุด ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใต้เท้าเซียวดังขึ้นภายในรถ “ไม่ไปโรงหมอแล้ว ไปประตูเมืองฝั่งเหนือ”

“ห้ะ” คนขับรถชะงักไป “ใต้เท้าเซียว ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บหรอกหรือ โรงหมอใกล้จะถึงแล้วนะขอรับ”

“ข้านึกขึ้นได้ว่าบนรถมียาทาแผล ข้าทายาเองก็พอแล้ว”

“ชะ…เช่นนั้นก็ได้ขอรับ” คนขับรถมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดใต้เท้าผู้นี้จึงได้อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้ “ใต้เท้าจะไปประตูเมืองฝั่งเหนือรึ”

เซียวเหิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “เดิมกะว่าจะไปตอนบ่าย มาคิดอีกที ไปตอนนี้เลยดีกว่า”

“ขอรับ” คนขับรถฐานะต้อยต่ำ ไม่กล้าถามธุระเซียวเหิง เขาจึงขับรถม้าไปที่ประตูเมืองฝั่งเหนือ

เซียวเหิงยื่นป้ายของกรมยุติธรรมให้ดู “ตรวจคดี”

องครักษ์เฝ้ารักษาการณ์จึงปล่อยให้ผ่านได้

เซียวเหิงไปหอพักม้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองฝั่งเหนือที่สุด

“เจ้าป้อนหญ้าม้าหน่อย” เขาสั่งคนขับรถ

“ขอรับ”

คนขับรถปลดบังเหียนออกจากตัวรถ แล้วพาม้าไปที่คอกม้าของหอพักม้านอกเมือง

เซียวเหิงลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เขานั่งอยู่ในหอพักม้าหนึ่งเค่อจึงได้กลับไปขึ้นรถ และบัดนี้ ภายในรถม้าก็ไร้กลิ่นของหยวนถังแล้ว

คนขับรถจูงม้าที่กินหญ้าอิ่มแล้วเดินมาหา “ใต้เท้า!”

เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “กลับเข้าเมือง”