บทที่ 480 พี่ชายน้องสาว
กู้เจียวเงียบอยู่กับที่ไปพักหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เปิดประตูตู้ แล้วหยิบเกราะอ่อนที่เหล่าเหอในโรงประลองใต้ดินมอบให้นางออกมา
เดิมทีไม่อยากใส่เพราะมันน่าเกลียด
จากนั้นกู้เจียวก็หาของมีคมสารพัดที่อยู่ในบ้านออกมา แล้วเหน็บกริชสองเล่มไว้ตรงบั้นเอว ในแขนเสื้อแคบซ่อนมีดผ่าตัดเอาไว้สองเล่ม เสียบเข็มไว้หลายเล่มบนผม ใต้รองเท้าซ่อนใบมีดอีกหลายใบ แม้แต่ใต้ลิ้นยังอมอาวุธลับเล็กๆ เอาไว้อย่างหนึ่ง
เซียวเหิง ‘ก็ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง’
กู้เจียวออกเดินทางด้วยชุดศึกเต็มยศ!
หอกพู่แดงของนางค่อนข้างเด่นสะดุดตา เซียวเหิงจึงใช้ผ้ามาพันไว้ให้
เซียวเหิงมองส่งนางออกจากตรอกปี้สุ่ยจนกระทั่งหายไปในราตรีสีมืด เขานิ่งอยู่กับที่ เหม่อลอยอยู่พักใหญ่
กลางดึกสงัด แสงโคมจากบ้านเรือนค่อยๆ ดับลง เมืองหลวงตกอยู่ในความเงียบสงัดในค่อนคืนหลัง
ทว่าทหารองครักษ์ลาดตระเวนตามตรอกซอกซอยและถนนใหญ่ยังคงไม่หยุดไม่หย่อย พวกเขาเคลื่อนไหวไร้เสียง พยายามไม่เสียงดังรบกวนประชาชน
กู้เฉิงเฟิงมายังประตูเมืองฝั่งเหนือภายใต้จมูกองครักษ์ทั่วทั้งเมืองหลวง
ประตูเมืองปิดสนิทตั้งนานแล้ว แต่ในฐานะบุตรสายตรงของตระกูลกู้ เขารู้ว่าใกล้ๆ ประตูเมืองฝั่งเหนือมีทางลับอยู่แห่งหนึ่ง โดยปกติแล้วจะมีองครักษ์สี่คนผลัดเวรกันเฝ้าไว้
เพราะมันซ่อนเร้นไว้ คนที่รู้จึงมีไม่มาก ด้วยเหตุนี้องครักษ์ที่เฝ้ายามจึงไม่ใช่ยอดฝีมือเก่งกาจอะไรปานนั้น
กู้เฉิงเฟิงบุกไปคนเดียวยังไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญคือในมือเขาเอาม้ามาด้วยตัวหนึ่งนี่สิ…
กู้เฉิงเฟิงมองม้าด้านหลัง ม้าก็มองเขาเช่นกัน
หนึ่งคนหนึ่งม้ามองหน้ากันไปมาตาปริบๆ “…”
ในชั่วขณะนั้นกู้เฉิงเฟิงถึงขนาดเสียใจที่ตัวเองแอบขโมยม้าบิดาออกมา แม้ม้าจะพันธุ์ดี แต่จะพาออกไปก็ยากเหมือนกัน
ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ทิ้งม้าไว้มันน่าเสียดาย ยิ่งไปกว่านั้นหอพักม้าพันลี้ก็ไม่มีม้าชั้นดีแบบนี้ขายหรอก
แต่จะให้เปิดศึกเลย…องครักษ์ทัพใหญ่ก็อยู่ใกล้ๆ นี่อีก
สุดท้ายกู้เฉิงเฟิงจึงต้องหลับตาลง กัดฟันอย่างจนปัญญา “ขอโทษนะ ท่านพ่อ คงต้องใส่ร้ายท่านแล้ว”
ครึ่งเค่อต่อมา กู้เฉิงเฟิงก็สวมหมวกสาน ขี่ม้าเหงื่อโลหิตของท่านโหวกู้ มือถือป้ายคำสั่งของท่านโหวกู้ที่พกติดตัว ปรากฏตัวอยู่นอกทางลับแห่งนั้น
องครักษ์เฝ้ายามเห็นป้ายคำสั่ง ก็มองบุรุษบนหลังอาชาด้วยสีหน้าแปลกใจพลางถาม “เจ้าคือ…”
กู้เฉิงเฟิงกดเสียงต่ำ เลียนแบบเสียงบิดาตัวเอง “แม้แต่ท่านโหวอย่างข้าก็ยังจำไม่ได้รึ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าออกจากเมืองยามวิกาล ข้ามีภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ยังไม่รีบให้ข้าผ่านทางอีก หากทำให้ราชกิจฝ่าบาทล่าช้า พวกเจ้าได้หัวกุดแน่”
“ข้าน้อยไม่กล้า!”
องครักษ์ที่เป็นหัวหน้าเอ่ยจบก็รีบสั่งผู้ใต้บัญชาให้หลีกทางให้ ส่วนตัวเองยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ
อันที่จริงพวกเขาไม่เคยเห็นท่านโหวกู้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าเสียงท่านโหวเป็นอย่างไร เพียงแต่ป้ายคำสั่งที่กู้เฉิงเฟิงชูนั้นเป็นของจริง ผนวกกับจวนติ้งอันโหวเป็นคนสนิทของฮ่องเต้จริงๆ และราชสำนักก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไหนจะคำสั่งให้กู้ฉังชิงปรับตั้งกองทัพตระกูลกู้ใหม่อีก
เมื่อรวมเรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน จึงไม่มีใครสงสัยว่าช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้จะมีใครแอบอ้างเป็นท่านโหวกู้และสร้างราชโองการเท็จขึ้นมา
นี่เป็นโทษประหาร
กู้เฉิงเฟิงคาดว่าวันรุ่งขึ้นบิดาเขาคงได้ถูกพาไปถามต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แน่
ทว่าในเมื่อราชสำนักให้ความสำคัญเรียกใช้งานพี่ใหญ่และกองทัพตระกูลกู้ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชีวิตบิดาเขาหรอก อย่างมากก็…ลงโทษบิดาเขาที่ไม่สั่งสอนบุตรให้ดี อย่างเช่นโบยสักร้อยไม้อะไรเทือกนั้น
ท่านโหวกู้นอนจนถึงค่อนคืน จู่ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร…
หลังจากกู้เฉิงเฟิงออกจากเมืองก็วิ่งขึ้นเหนือไป กลัวอย่างเดียวว่าทหารยามจะรู้ตัวหลังจากนั้น เขาควบม้าจนม้าหอบแฮ่กๆ เขาถึงได้ค่อยๆ หยุด
เขาหันกลับไปมอง
“น่าจะ…ไม่ตามมาหรอกกระมัง”
“วางใจได้ ไม่ตามมาหรอก”
เสียงเล็กๆ สบายๆ ลอยมาจากหลังพุ่มไม้ กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งโหยงจนเกือบตกจากหลังม้า!
ดึกดื่นค่ำมืดเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าหลังต้นไม้ใหญ่จะมีเสียงดังขึ้นมา เป็นคนหรือผีน่ะ!
ช้าก่อน เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นหูทีเดียว
กู้เฉิงเฟิงตั้งสติ ก่อนหันไปมองทางต้นไม้ใหญ่ เมื่อครู่รีบควบม้ามาจึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด ยามนี้อาศัยแสงจันทร์สลัว เขาเห็นใต้ต้นอู่ถงสูงใหญ่ผูกม้าไว้ตัวหนึ่ง ข้างๆ ม้ามีเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีครามตลอดร่างยืนอยู่
เด็กหนุ่มสองมือกอดอก พิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอย่างเอาแต่ใจ
เอ่ยประโยคดังกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากใต้เงาไม้
กู้เฉิงเฟิงเห็นใบหน้านางชัดแล้ว
“เป็นเจ้าจริงๆ รึ”
เขาตกใจยกใหญ่
นิ้วกู้เจียววนรอบแขนตัวเอง โคลงศีรษะเอ่ย “ตกใจมากรึ”
“จะ…จะไม่ให้ตกใจได้รึ ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าไม่หลับไม่นอน วิ่งมาทำอะไรตรงนี้ ออกจากเมืองหลวงมาแล้วด้วย” ไม่สิ ห่างจากเมืองหลวงอย่างน้อยยี่สิบสามสิบลี้แล้วต่างหาก
กู้เฉิงเฟิงมองนางด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้าคงไม่ได้จะจับข้าไปเป็นลูกสมุนเจ้าอีกกระมัง ข้าขอเตือนไว้เลยนะ ครานี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปด้วยกันกับเจ้า! ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ!”
เรื่องสำคัญเป็นที่สุด!
ถึงชีวิตเลย!
“อ๋อ” กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา คลายมือที่กอดอก ยืดตัวขึ้นตรง ลูบม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่บึกบึนตัวนั้น แล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว
กู้เฉิงเฟิงจึงเพิ่งสังเกตว่าม้าที่นางขี่ก็เป็นม้าพันลี้ชั้นดีเช่นกัน ไม่ด้อยไปกว่าพาหนะของบิดาเขาเลย
“ไหนบอกว่าจะไปมิใช่รึ” กู้เจียวมองเขาอย่างแปลกใจ
กู้เฉิงเฟิงตกใจกว่าเก่า ยังไม่ทันตั้งสติได้ว่าประโยคดังกล่าวหมายความว่าอะไร เขาจ้องม้านางเขม็ง “เจ้าขี่ม้าไม่เป็นไม่ใช่รึ”
“แค่ไม่ถนัดแค่นั้นเอง” กู้เจียวเอ่ยแก้ “แต่ต่อไปนี้ก็น่าจะถนัดแล้วล่ะ”
อย่างไรเสียจากที่นี่ไปชายแดนก็อีกพันลี้เต็มๆ เพียงพอให้นางฝึกฝนแล้วล่ะ
กู้เฉิงเฟิงยังคงไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของนาง สายตาเขาเบนจากม้านางไปยังด้านหลังนาง
ตะกร้าใบน้อยที่นางสะพายติดตัวไว้เสมอถูกแขวนไว้บนอานม้า แทนที่ด้วยชายร่างใหญ่ที่พันผ้าไว้คนหนึ่ง
ต่อให้ถูกผ้าพันห่อไว้ กู้เฉิงเฟิงก็ยังสัมผัสได้รางๆ ถึงกลิ่นอายองอาจ
“เจ้าสะพายอะไรไว้น่ะ” เขาถามอย่างใคร่รู้
“หอกพู่แดง” กู้เจียวบอก
“หอกพู่แดงอะไรใหญ่ปานนี้” ความสงสัยในแววตากู้เฉิงเฟิงมีมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วดึกดื่นเพียงนี้เจ้าแบกไอ้สิ่งนี้มาทำอะไร”
กู้เจียวปรายตามองเขานิ่งๆ “เจ้ายังจะไปอยู่หรือไม่”
“แน่นอนว่าไปอยู่แล้ว…” กู้เฉิงเฟิงยังไม่ทันเอ่ยจบ กู้เจียวก็ขี่ม้าเดินหน้าไปสองสาวก้าว กู้เฉิงเฟิงมองทิศทางที่นางไปก็เอ่ยเตือน “นี่ เจ้าไปผิดทางหรือไม่ นั่นไม่ใช่ทางกลับเมืองหลวงนะ”
กู้เจียวเอ่ยเรียบๆ “ใครบอกว่าข้าจะกลับเมืองหลวงล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงหลุดขำ “เจ้าไม่กลับเมืองหลวงแล้วเจ้าจะไปชายแดนกับข้ารึ”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เขาก็พลันเบิกตาโพรง ไสม้ามาข้างกายนาง ก่อนมองใบหน้าด้านข้างอันเย็นเยียบของนางพลางเอ่ย “จะ…เจ้าคงไม่ได้…”
ฮึ่ย!
กู้เจียวล้วงขนมรังนกจากห่อผ้ามายัดปากเขาทันที
กู้เฉิงเฟิงถูกยัดปากไว้ ร้องอู้อี้สองคำ แล้วหยิบขนมรังนกออกมา กระตุกแซ่ม้าควบไปเทียบนาง “ช้าก่อน เจ้าพูดให้มันชัดๆ ที เจ้าจะไปชายแดนจริงๆ น่ะรึ เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อการใด เจ้าไม่รู้รึว่าชายแดนมีสงคราม กองทัพแคว้นเฉินยึดเมืองได้ติดกันสามเมืองแล้ว ที่นั่นไม่ใช่ที่เที่ยวดีๆ อะไรหรอกนะ!”
กู้เจียวดึงบังเหียน “อืม”
กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว
เด็กคนนี้เหมือนจะไม่ได้ว่างปานนั้น
“นี่ เจ้าคงไม่ได้ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องกับท่านปู่แล้วคิดจะไปชายแดนหรอกกระมัง” กู้เฉิงเฟิงพึมพำ “เจ้าไม่ใช่กู้เจียวเหนียงตัวจริงเสียหน่อย ไม่ต้องยุ่งเรื่องท่านปู่ข้าหรอก”
เพราะชายแดนอันตรายเกินไป
ข้างกายองค์หญิงหนิงอันมีองครักษ์หลงอิ่งสามนายแต่ยังถูกกากเดนราชวงศ์ก่อนจับตัวไปได้เลย เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นรับมือยากเพียงไหน
นี่ไม่ใช่น้ำโคลนที่นางควรจะลุย
กู้เฉิงเฟิงมองนางอย่างเคร่งขรึม “เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าเจ้าจะไปชายแดนใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดต้องไปชายแดน”
ถามมาถึงข้อสองได้ ก็หมายความว่ากู้เฉิงเฉิงมีคำตอบสำหรับข้อแรกอยู่ในใจแล้ว
“ช่วยคน” กู้เจียวบอก
“ช่วยใครเล่า” กู้เฉิงเฟิงถาม
“พี่น้องคนหนึ่ง” กู้เจียวหยุดเว้น “แล้วก็คนโง่อีกคน”
พี่น้องรึ
เช่นนั้นดูท่าจะไม่ใช่ท่านปู่เขาแล้วล่ะ
กู้เฉิงเฟิงกลับไม่ได้ต้อนถามนางว่าพี่น้องที่นางพูดถึงคือใคร และไม่ได้ถามว่าคนโง่นั่นคือใครด้วย สรุปคือไม่ใช่เขาเป็นพอ
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอีก “บอกมา เจ้าออกจากเมืองได้อย่างไร”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ เอ่ย “ขี่ม้าออกมา”
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากค้าง “จาก…ประตูเหนือน่ะรึ”
กู้เจียวบอก “ไม่งั้นยังมีประตูอื่นอีกรึ”
กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว “ประตูเมืองปิดไปแล้วมิใช่รึ เจ้าออกมาแต่แรกรึ”
กู้เจียวส่ายหน้า “เปล่า ออกมาก่อนเจ้านิดเดียว ข้ามีราชโองการจากฝ่าบาท”
กู้เฉิงเฟิงปากอ้าตาค้าง “หะ…เหตุใดเจ้าจึงมีราชโองการจากฝ่าบาทได้! เจ้ารับราชโองการขึ้นเหนือรึ!”
เด็กคนนี้มีราชโองการจากฝ่าบาท เช่นนั้นเหตุใดตนต้องลำบากลำบนเสี่ยงโทษดูหมิ่นเบื้องสูงออกมาจากทางลับนั่นด้วยเล่า
กู้เจียวส่ายหน้าอีกหน “ไปขอจากฝ่าบาทมา ข้าบอกว่าข้าอยากออกไปข้างนอกหน่อย ฝ่าบาทก็ให้มาเลย ซ้ำยังพระราชทานม้ามาให้ข้าด้วยอีกตัว”
กู้เฉิงเฟิงที่ถูกหยามอย่างหนัก “…”
จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากคุยกับนางเสียแล้วสิ!