บทที่ 479 กลยุทธ์ชายงาม

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 479 กลยุทธ์ชายงาม

ตกดึกลมแรง

เนื่องจากเมืองหลวงมีเรื่องสงครามเข้ามาไม่ได้หยุดหย่อนจึงตกสู่สภาวะตึงเครียดและเตรียมพร้อม หยวนถังหลบซ่อนอยู่ที่นั่นที่นี่ในเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว ราวกับหนูตามท่ออย่างไรอย่างนั้น มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ไม่เคยอเนจอนาถปานนี้มาก่อน

เมื่อตอนที่กู้เจียวบอกกับเขาว่าเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องของเขาคิดกบฏเขาไม่เชื่อเลยสักนิด อย่างไรเสียเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องก็เป็นโอรสสายตรงที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรักเอ็นดูที่สุด ตอนนั้นเสด็จพ่อของเขายังเป็นไท่จื่อแห่งแคว้นเฉินอยู่ เคยต้องโทษสถานหนัก เป็นเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องที่พยายามกลับคำพิพากษาพลิกคดีให้เสด็จพ่อของเขา จึงช่วยรักษาตำแหน่งไท่จื่อของเสด็จพ่อเอาไว้ได้

เสด็จลุงปั๋วชินอ๋องที่เป็นเช่นนี้จะไม่ให้เชื่อใจได้อย่างไร

ส่วนบ้านตระกูลหรงท่านตาของเขานั้น

บุตรสาวตระกูลหรงก็เป็นเสด็จแม่ของเขา สูงส่งถึงกุ้ยเฟยแห่งแคว้นเฉิน อยู่ภายใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือผู้คนนับล้าน รอวันจะขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา เป็นมารดาแผ่นดิน

เสด็จลุงปั๋วชินอ๋องกับตระกูลหรงไม่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน ตระกูลหรงฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร ที่ไม่ช่วยลูกสาวกับหลานชายตัวเอง แต่ดันไปช่วยคนนอก

เขาคิดว่ากู้เจียวต้องเข้าใจผิดแน่ๆ หรือไม่ก็มีเจตนาร้ายจะยุแยงความสัมพันธ์ของเขากับเสด็จลุง

ทว่าอย่างไรเสียเขาก็ฉลาดอยู่บ้าง ให้คนสังเกตการเคลื่อนไหวของราชวงศ์แคว้นเจาอยู่ตลอด จนกระทั่งฮ่องเต้ออกราชโองการส่งคนไปจับตัวเขา เขาจึงได้รู้ตัวว่าเรื่องนี้มันร้ายแรง

เขาหลบหนีมาก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

หลังจากหนีตายอยู่หลายวัน ข่าวจากด่านชายแดนก็ส่งมาว่ากองทัพของแคว้นเฉินกำลังยึดครองชายแดน แคว้นเจาเสียเมืองติดต่อกันถึงสามเมือง

ในขณะนั้นเอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ากู้เจียวไม่ได้หลอกลวงเขา เสด็จลุงปั๋วชินอ๋องของเขาคิดกบฏจริงๆ!

ฮ่องเต้ยังคงสั่งให้คนจับตัวเขาอยู่ น่าจะคิดว่าจับเขามาแล้วจะเพียงพอให้ต่อกรกับแคว้นเฉินกระมัง แต่กู้เจียวพูดได้ไม่ผิดเลย ไม่ใช่เสด็จพ่อเขาจะผิดสัญญาพันธมิตรระหว่างสองแคว้น แต่เป็นเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องของเขาต่างหาก

ดังนั้นต่อให้ฆ่าเขาไป เสด็จลุงของเขาก็ไม่มีทางสนใจหรอก

ยามนี้สำหรับเขาแล้วมันคือทางตัน

ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง

เสด็จลุงกล้าทำเรื่องพรรค์นี้ คงจะควบคุมราชสำนักเอาไว้แล้ว และอาจถึงขั้นกักขังเสด็จพ่อเขาไว้แล้วก็ได้

หยวนถังคิดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็เย็นเยียบขึ้น

“ไปลองหาทางนู้น!”

เสียงทหารองครักษ์ลอยมาไม่ไกลนัก

สถานการณ์ที่อาจถูกจับได้ตลอดเวลาเช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หยวนถังจากที่ขุ่นเคืองในตอนแรกก็ค่อยๆ เฉยชาเสียแล้ว

ทว่าเขาไม่ล้าชะล่าใจเลย

มิฉะนั้นพอเขาถูกจับตัวไว้ เขาได้ตายแน่ เสด็จลุงไม่มีทางปกป้องเขาหรอก แคว้นเจาก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปด้วย ไม่ว่าทางไหนเขาก็แทบไม่มีทางดีใจไปกับมันเลย

หยวนถังเร้นกายทะลุผ่านไปยังตรอกที่อยู่ข้างๆ เพิ่งจะมาถึงถนนใหญ่เส้นหนึ่งก็ถูกหลิ่วอี้เซิงขวางทางไว้

หลิ่วอี้เซิงเช่ารถม้ามาคันหนึ่ง อีกฝ่ายเลิกม่านขึ้นเอ่ยกับเขา “มากับข้า!”

หยวนถังกลับไม่ยอมขึ้นไป เขามองหลิ่วอี้เซิงด้วยแววตาซับซ้อน เสียงฝีเท้าด้านหลังค่อยๆ ประชิดเข้ามา ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าสู่ราตรีสีมืดโดยไม่หันกลับมามอง

เขาจะดึงท่านพี่มาซวยด้วยไม่ได้หรอก

ต่อให้ต้องตายก็ขอตายคนเดียวในแคว้นเจาแห่งนี้

อีกด้านหนึ่ง ข่าวที่ด่านชายแดนเสียเมืองติดต่อกันสามเมืองรวมถึงข่าวท่านเหล่าโหวถูกจับตัวไปส่งมาถึงจวนติ้งอันโหวพร้อมกัน

“เจ้าว่าอย่างไรนะ! ท่านเหล่าโหวถูกจับที่ชายแดนรึ!”

ณ ห้องหนังสือ ท่านโหวกู้มองหวงจงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง ท่านเหล่าโหวไปเที่ยวเล่นตามเขาลำเนาไพรมิใช่รึ เหตุใดจึงเที่ยวเล่นไปถึงชายแดนได้ นั่นมันดินแดนที่หนาวถึงกระดูกเชียวนะ!”

หวงจงเอ่ยอย่างทำอะไรไม่ถูก “ไม่ผิดแน่ขอรับ ท่านโหว! กบฏราชวงศ์ก่อนสบคบคิดกับกองทัพแคว้นเฉินที่ชายแดน ไม่ลังเลที่จะยกดินแดนและทรยศต่อแผ่นดินเพื่อช่วยให้แคว้นเฉินเข้าใกล้ชายแดนได้มากขึ้น! ข่าวที่ท่านเหล่าโหวถูกจับแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังแล้วด้วย!”

“เป็นไปได้อย่างไร” ท่านโหวกู้ทรุดลงบนเก้าอี้ด้วยความอกสั่นขวัญหาย

หวงจงเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ไทเฮาทรงกริ้ว ออกราชโองการให้ซื่อจื่อกลับมาที่เมืองหลวงโดยด่วน เห็นว่าจะ…จะต้องปรับตั้งกองทัพตระกูลกู้ใหม่ แล้วให้ซื่อจื่อนำทัพตระกูลกู้ขึ้นเหนือไปปราบศัตรู!”

สีหน้าท่านโหวกู้เปลี่ยนไปอีกครา “ฉังชิงก็ต้องไปชายแดนด้วยรึ เขา…”

เขาเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดเองนะ!

เขาไม่เคยไปรบไกลปานนั้นเลย และไม่มีประสบการณ์การรบที่เก่งกาจเพียงนั้นด้วย ขึ้นเหนือไปพร้อมกองทัพตระกูลกู้เรือนแสน นี่มันเป็นงานหินชัดๆ!

ด้านนอกห้องหนังสือ กู้เฉิงเฟิงที่บังเอิญได้ยินเข้าทั่วทั้งร่างก็แข็งทื่อดุจตกลงในถ้ำน้ำแข็ง

เขารู้ว่าท่านปู่รับราชโองการให้ลอบไปที่ชายแดน แต่เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าท่านปู่จะช่วยองค์หญิงหนิงอันกลับมาไม่ได้ไม่พอ ยังส่งตัวเองไปให้เขาจับอีก

เขาไม่รู้ว่ากบฏราชวงศ์ก่อนเป็นกลุ่มคนแบบไหน แต่อ้างอิงจากจิ้งไท่เฟยก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่สนวิธีการ ท่านปู่ตกไปสู่เงื้อมมือคนกลุ่มนี้แล้วเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว

พี่ใหญ่ก็อยู่ไกลถึงเขาเฟิงตู จะกลับเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลาหลายวัน จะจัดกองทัพตระกูลกู้ใหม่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ไหนจะต้องขึ้นเหนือไปชายแดนอีก ไม่รู้ว่าท่านปู่จะมีชีวิตรอถึงพี่ใหญ่ไปถึงได้หรือไม่…

ท่านปู่ไม่มีทางให้ตัวเองกลายเป็นหมากขัดขวางพี่ใหญ่กับกองทัพตระกูลกู้แน่

หากกบฏราชวงศ์ก่อนใช้เขาขู่บังคับพี่ใหญ่ ท่านปู่คงยอมตายดีกว่าอ่อนข้อให้แน่!

กู้เฉิงเฟิงกลับมาที่เรือนตัวเอง

เขาหาชุดสำหรับยามวิกาลออกมาเปลี่ยน แล้วหยิบหน้ากากออกมาสวม ก่อนจะเลือกอาวุธลับสองสามอย่างที่ซื้อมาจากหอเชียนจี

เมื่อจัดการพวกนี้เรียบร้อย เขาก็ไปห้องข้างๆ

ยามนี้กู้เฉิงหลินพักผ่อนแล้ว กู้เฉิงเฟิงเดินมาข้างเตียง มองกู้เฉิงหลินที่หลับสนิทอยู่ ก่อนจะเหน็บมุมผ้าห่มให้เขา แล้วลูบผมเขาที่เริ่มยาวขึ้นมาบ้างแล้ว ล้วงเอาตั๋วเงินจากตัวยัดใต้หมอนเขาไว้ “ต่อไปนี้เจ้าคงต้องไปซื้อยาปลูกผมเองแล้ว”

เอ่ยจบ เขาก็มองน้องชายอย่างอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้าย ยามนี้เขากลับอิจฉากู้เหยี่ยนกับเจ้าหนูแรกเกิดคนนั้นขึ้นมา อย่างน้อยๆ ทั้งคู่ก็มีคนรักเอ็นดูมากมาย แต่กู้เฉิงหลินมีแค่เขาคนเดียว

แต่ยามนี้แม้แต่เขายังต้องจากไปแล้ว

ครานี้เขาไม่ได้ไปทำภารกิจง่ายๆ อีกแล้ว เขาต้องเดินทางไกลไปชายแดน แฝงตัวเข้าค่ายทหารของศัตรู เป็นตายไม่อาจรู้ หากเขาไม่กลับมา…

“หากข้าไม่กลับมา ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องดูแลตัวเองนะ เข้าใจหรือไม่”

กู้เฉิงหลินที่หลับสนิทไม่รับรู้ถึงการจากไปของพี่ชายเลยสักนิด เขาพลิกตัว ท่าทางกำลังหลับฝันทั้งสงบนิ่งและมั่นคงมาก

สุดท้ายกู้เฉิงเฟิงก็จากไป

เขางับประตูให้น้องชายเบาๆ ก่อนจะไปคอกม้าเพื่อขโมยม้าเหงื่อโลหิตของบิดาเขา

ณ ตรอกปี้สุ่ย

คนทั้งครอบครัวเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน ต่างแยกย้ายไปพักที่ห้องตัวเองกันแล้ว

กู้เจียวไปดูเจ้าหนูน้อยที่ห้องตะวันออก อาการดีซ่านของทารกแรกเกิดลดลงแล้ว รอยย่นบนใบหน้าค่อยๆ เรียบขึ้น กลายเป็นหนูน้อยขาวเนียนน่ารัก

“เจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงกอดหมอนมาอยู่ด้านหลังนาง

“ยังไม่หลับรึ” กู้เจียวหันกลับมามองเขา

“อื้ม คิดถึงเจ้าน่ะ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างจริงจัง

กู้เจียวหยักยกมุมปาก ยีหัวน้อยๆ ของเขาไปทีหนึ่ง “ข้าไปส่งเจ้าดีกว่า”

“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงมือหนึ่งกอดหมอนใบน้อยของตัวเอง อีกมือจับมือกู้เจียวไว้ กระโดดโลดเต้นไปห้องข้างๆ

เขานอนลงบนที่นอนนุ่มนิ่ม ดวงตากลมโตกลอกกลิ้ง ก่อนเอ่ยอย่างเชื่องเชื่อ “เจียวเจียว”

“หืม”

“ข้าห่มผ้าเรียบร้อยแล้ว”

“เด็กดี” กู้เจียวลูบหน้าผากเขา “หลับเสีย”

เสี่ยวจิ้งคงหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง

แต่ไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ “เจียวเจียว”

“ข้าอยู่นี่”

เขาหลับตาลงอย่างสบายใจอีกครั้ง

มือน้อยจับมือกู้เจียวไว้ ไม่ปกปิดความต้องการและความพึ่งพิงของตัวเองเลยสักนิด

กู้เจียวเฝ้าเขาไว้จนกระทั่งเขาเข้าสู่แดนฝันแล้ว เริ่มกรนคร่อกๆ อย่างสม่ำเสมอ นางจึงได้ลุกขึ้นกลับไปที่เรือนท้ายด้วยทางเดินเล็กๆ

นางไปที่ห้องของกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น เด็กชายทั้งสองก็เข้าสู่ห้วงฝันแล้วเช่นกัน ท่านอนของกู้เหยี่ยนดีมาก อาจเพราะในท้องแม่มักจะโดนพี่สาวรังแกจนไม่มีที่ ท่านอนของกู้เสี่ยวซุ่นแย่กว่าหน่อย ขาครึ่งท่อนพาดออกนอกเตียงไปแล้ว

กู้เจียวยัดขากู้เสี่ยวซุ่นเข้าไปในผ้าห่ม แล้วลูบหน้าผากทั้งคู่ไปมา

ในบรรดาเด็กๆ นั้น คนที่ทำให้หมดห่วงที่สุดก็คือกู้เสี่ยวซุ่น และคนที่ทำให้เป็นห่วงที่สุดก็คือกู้เหยี่ยน

โรคหัวใจของกู้เหยี่ยนเป็นปัญหายากเย็นที่กู้เจียวอยากแก้ไขที่สุดมาโดยตลอด จนใจที่ปัจจัยการผ่าตัดในกล่องยาใบน้อยมีไม่ถึง

กู้เจียวเปิดตู้บนหัวเตียงออก ใส่ยารักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเข้าไป

เมื่อเสร็จสิ้น นางก็กลับไปที่ห้องตะวันตก เพื่อหาเสื้อผ้าสะอาดๆ สองสามชุด

“เอ๋”

นางรื้อตู้รื้อหีบ พร้อมกับเผยสีหน้าฉงน

“กำลังหาสิ่งนี้อยู่รึ”

จู่ๆ เสียงเซียวเหิงก็ดังขึ้นหน้าประตู

กู้เจียวหันกลับไป เห็นเซียวเหิงถือหน้ากากฝังขนนกยูงเดินมาหานาง

นางกะพริบตาปริบๆ โยนความผิดไป “ของจิ้งคง!”

เซียวเหิงหัวเราะอย่างจนใจ และค่อนข้างกลั้นขำไว้ไม่อยู่ เขาไม่ได้เปิดโปงนาง แต่ดึงประตูตู้เปิด แล้วหยิบห่อผ้าออกมาจากในนั้นแทน

“ในนี้มีเนื้อแห้ง แล้วก็อาหารแห้งจำนวนหนึ่งด้วย”

เมื่อก่อนนางเป็นคนเก็บสัมภาระให้เขาตลอด ครานี้กลายเป็นเขาที่ส่งนางเดินทางเสียเอง

“เจ้า…” กู้เจียวอ้าปากพะงาบๆ มองเขา

“จะออกจากเมืองมิใช่รึ” เซียวเหิงถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเก็บข้าวของอีกสองสามอย่างให้นาง

อ้อ ก็นึกว่าซ่อนไว้ดีแล้วซะอีก

“กะจะไปไม่ลาเลยรึ”

กู้เจียวส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “เขียนจดหมายไว้ให้เจ้าแล้ว อยู่ในห้องหนังสือเจ้า”

เซียวเหิงสีหน้าคลายลงเล็กน้อย เขาส่งห่อผ้าให้นาง ก่อนจ้องนางอย่างลุ่มลึก “จะกลับมาหรือไม่”

ถ้อยคำนี้ถามได้น่าสนใจ

หากนางเป็นกู้เจียวเหนียงจริงๆ ก็คงไม่มีทางกลับมาได้หรอก

กู้เจียวคิดมาโดยตลอดว่ามีเพียงกู้เฉิงเฟิงที่มั่นใจว่านางไม่ใช่กู้เจียวเหนียงตัวจริง

ส่วนกู้เฉิงเฟิงจะคิดว่านางฆ่ากู้เจียวเหนียงตัวจริงไปแล้ว และใช้ตัวตนอื่นมาสวมรอยเป็นกู้เจียวเหนียง

แต่เซียวเหิงกลับกระจ่างแจ้งดีว่าร่างกายนี้เดิมทีเป็นของกู้เจียวเหนียง

เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องถามคำถามนี้ออกมาอีกเล่า

คล้ายว่าเขาเห็นความสงสัยในแววตากู้เจียว และคล้ายรู้สึกว่าคำบางคำหากไม่พูดมันออกมาในตอนนี้เสีย ภายหน้าอาจจะไม่มีความกล้าพูดมันออกมาอีก เขาจึงเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เจ้าตกน้ำเมื่อสองปีก่อนก็เปลี่ยนไปมาก ข้ารู้ว่าเจ้าคือกู้เจียวเหนียง แต่บางคราก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่”

นางไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่นางก็ใช่อย่างแน่นอนเช่นกัน

นี่เป็นประเด็นที่ย้อนแย้งกันมาก

“จะกลับมาหรือไม่”

เขาถามนางอีกครั้ง

กู้เจียวหยุดเว้น มองเขาพลางเอ่ย “ไม่ว่าข้าจะเป็นกู้เจียวเหนียงหรือไม่น่ะรึ”

เซียวเหิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นกู้เจียวเหนียงหรือไม่”

“แน่นอนอยู่แล้ว…”

กู้เจียวกลอกตาไปมา กลืนถ้อยคำที่ติดอยู่ปลายลิ้นลงไป เลิกคิ้วเอ่ย “กลับมาแล้ว จะให้ข้าดูเจ้าอาบน้ำหรือไม่”

เซียวเหิงไม่คิดไม่ฝันว่าถึงตอนจะล่ำจะลากันแล้วสิ่งที่นางห่วงจะเป็นเรื่องพรรค์นี้

เขานิ่งอึ้งและไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นี่มัน…ผู้หญิงอะไรกันเนี่ย

เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ขยับไปใกล้นางสองสามก้าว แขนแกร่งกักเอวนางไว้แผ่วเบา คล้ายครอบครองและคล้ายข่มอารมณ์ไว้

เขาไม่ได้แตะต้องนางแท้ๆ แต่กู้เจียวกลับรู้สึกว่าเอวที่ถูกแขนเขากักไว้ร้อนดั่งไฟ ไฟที่ลามเลียมาถึงก้นบึ้งหัวใจนาง แผดเผาจนสมองนางมึนงงไปหมด

ความรู้สึกนี้ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

อ๋อ

อยากทำอะไรนิดหน่อย

แปลกพิกลนัก

เซียวเหิงมองนางนิ่ง จดจ้องท่าทางเงอะงะแต่น้ำลายหกของนางไว้ในสายตา ก่อนจะหยักยกริมฝีปาก เอ่ยเสียงแหบพร่าแฝงความล่อลวงกับนาง “เอาสิ เจ้ากลับมา จะให้เจ้าดู อย่าลืมกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยล่ะ ผมหายไปเส้นหนึ่ง…ข้าก็จะใส่เสื้อเพิ่มขึ้นอีกชั้น”