บทที่ 640 ดินแดนเสียงฟ้าร้องแห่งความสุข

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

เทือกเขาที่หนึ่งที่ขึ้นลงติดต่อกัน แทบจะวนเป็นหนึ่งรอบ ในรอบวงมีเมืองที่ด้านหนึ่งสร้างติดกับภูเขา ขนาดเมืองไม่ใหญ่ แต่ถนนหนทางกลับคึกคักเป็นพิเศษ ในเมืองยังมีแม่น้ำไหลผ่านเส้นหนึ่ง ไหลไปในทิศทางที่ไม่รู้จักชื่อ

เรียกได้ว่าล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ ไม่เพียงสภาพแวดล้อมสวยงาม การดำรงชีพของคนที่นี่ยังเรียบง่ายเป็นพิเศษ

ชื่อของเมืองนี้คือเมืองเลยหมิง เป็นเมืองที่มีชุมชนใหญ่มาก ชื่อเสียงก็โด่งดัง

“ปังปังปังปัง…….”

เสียงประทัดดังขึ้นเสียดหู แทบจะดังตั้งแต่หัวถนนไปถึงท้ายถนน เพิ่มบรรยากาศความคึกคักให้กับเมืองเล็กๆที่สวยงามและเงียบสงบมากขึ้นอีกสองสามระดับ

เกี้ยวแต่งงานแปดคนหามติดตามเจ้าบ่าวที่อยู่บนหลังม้าตัวสูง เดินเรียบไปสุดถนนช้าๆ ที่รับการแต่งงานวันนี้คือเจ้าสาวที่สวยที่สุดของเมืองริมน้ำที่มีชื่อเสียง

หลานเยาเยาคนกลุ่มหนึ่งเวลานี้กำลังอยู่ริมถนน มองขบวนแต่งงานที่คึกคักเป็นพิเศษ ดำเนินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ การเดินทางไกลเป็นเวลานาน หลังจากเข้าเมืองเลยหมิงแล้ว สภาพจิตใจที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก

หลังจากขบวนแต่งงานผ่านไป

คนค้าขายเล็กๆที่ดูความคึกคักเสร็จแล้วก็เริ่มตะโกนที่ริมถนนอีก

“ซาลาเปา ซาลาเปา ซาลาเปาหมูอร่อยๆ ซาลาเปาที่สุนัขเห็นแล้วก็ล้วนน้ำลายสอ”

“ถังหูลู่ ถังหูลู่ทั้งน่าดูทั้งอร่อย ไม่เปรี้ยวไม่หวานไม่คิดเงิน ลูกค้าต้องการไม้หนึ่งไหมขอรับ?”

“นี่ แม่นาง ข้าจะบอกท่าน หยกอันนี้ของท่านเป็นเพียงเหรียญเงินเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าข้าโกหกท่านขอให้ฟ้าผ่า เอ๊ะเอ๊ะเอ๊ะ อย่าไปสิ แม่นาง เห็นแก่ความจริงใจเช่นนี้ของท่าน ข้าสามารถเพิ่มอีกสองสามชั่ง”

“…….”

เหล่าพ่อค้าแต่ละคนแสดงออกอย่างเชี่ยวชาญ เหล่าคนสัญจรที่ไปๆมาๆก็มีวิธีการรับมือแต่ละแบบ หลานเยาเยาที่สีหน้าท่าทางเย็นชาตลอดทาง เวลานี้ก็มีรอยยิ้มแล้ว

เมื่อเหลือบตามอง ก็เห็นด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ดูสะดวกสบาย

ด้วยเหตุนี้หันกลับไปมองจื่อซีแวบหนึ่ง

“พระราชธิดาจาวหยางได้บอกเจ้าว่าพักอยู่โรงเตี๊ยมไหนหรือไม่?”

จื่อซีคิดแล้วคิดอีก ส่ายศีรษะ “ไม่เคยขอรับ”

พระราชธิดาจาวหยางเขียนจดหมายให้เขา ล้วนเป็นการบอกว่าที่ไหนมีที่เที่ยวสนุกๆของกินอร่อยๆ และมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง ในส่วนการพักที่ไหน รู้จักผู้ใดล้วนไม่ได้เอ่ยถึง เขาก็ไม่ได้ถาม

สำหรับเขาแล้วเพียงแค่มีจดหมายของพระราชธิดาจาวหยาง ไม่ว่าจะบอกอะไรเขียนอะไร เขาล้วนสนใจเป็นที่สุด

“นางได้บอกหรือไม่ว่าจะรอพวกเราที่ไหน?”

“ไม่ ไม่มีขอรับ”

จื่อซีอดที่จะเกาหูไม่ได้

ขณะที่มาเมืองเลยหมิง เขาเคยเขียนจดหมายถึงพระราชธิดาจาวหยาง บอกว่าพวกเขาจะมาที่นี่ โดยประมาณจะถึงเมื่อไหร่ เหล่านี้เขาล้วนเขียนอย่างชัดเจน

เพียงแต่ไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับของพระราชธิดาจาวหยาง ดังนั้นตอนนี้คุณชายซ่างกวนถามเขา เขาทำได้เพียงส่ายศีรษะ

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาเลิกคิ้วเล็กน้อย

“เช่นนั้นเจ้าติดต่อกับนางอย่างไรหลังจากที่รู้ว่าจะมาที่นี่?”

เห็นหน้าตาที่เขินอายของจื่อซี หลานเยาเยาส่ายหน้าในใจ

ดังคาด คนที่อยู่ในความรัก

มักจะไร้สติปัญญา คาดว่าหายไปแล้วก็ไม่เคยรู้

ช่างเถอะ ถามเขาก็คือถามเปล่า ลงมือทำด้วยตัวเองยังดีซะกว่า

ด้วยเหตุนี้หลานเยาเยาพูดกับเขา “เจ้าไปสอบถามพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองหน่อย ดูว่าของกินร้านไหนอร่อยที่สุด แล้วก็ถือโอกาสสอบถามหน่อยว่า ระยะนี้เมืองเลยหมิงมีเรื่องแปลกประหลาดอะไร”

“ขอรับ!”

จื่อซีทำมือเคารพแล้วจากไป

หลานเยาเยานำคนที่เหลือ เดินไปทางโรงเตี๊ยมด้านหน้า

ยังเดินไม่ถึงโรงเตี๊ยมด้านหน้า

“โครมคราม……โครมคราม…….โครมคราม……”

เสียงดั่งฟ้าร้องดังมาจากที่ไกลๆเป็นระยะๆ เพราะสี่ด้านล้อมรอบไปด้วยภูเขาเป็นเหตุ เสียงนี้สะท้อนไปมาในเมืองสองสามครั้งถึงได้กระจายไป

สีหน้าของหลานเยาเยาเปลี่ยนในพริบตา สันหลังเย็นวาบอย่างฉับพลัน

เสียงประเภทนี้ทั้งแปลกและคุ้นเคย ความทรงจำในรุ่นแรกเหมือนถูกน้ำพัดออก พรั่งพรูเข้าสมองของนางเต็มไปหมด เหตุการณ์ฆ่าฟันที่ดุเดือด พื้นดินผืนหนึ่งที่เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ วกวนในสมองของนางไม่หยุด และสลัดไม่ออก

ก็คือเสียงนี้……

เวลานี้!

ส้งเย่นกุยปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ขวางอยู่ด้านหน้าของหลานเยาเยาในพริบตา มองไปทางเสียงที่ปรากฏขึ้นอย่างระมัดระวัง เปิดปากพึมพำ

“เป็นพวกเขา!”

“ถูก!” หลานเยาเยาพยักหน้าอย่างแรง “เป็นพวกเขาจริงๆ”

มีเพียงเคยเห็นคนจากนอกแผ่นดิน มีเพียงคนที่เคยเผชิญกับสงครามที่น่าอนาถจนทนดูไม่ได้เหตุการณ์นั้นถึงจะเข้าใจ เพียงแค่เสียงเช่นนี้ดังขึ้น การฆ่าเพียงฝ่ายเดียวก็จะเริ่มต้นขึ้น

แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนล้วนระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้แล้ว

พวกจื่อเฟิงก็ตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา

“คุณชายซ่างกวนขอรับ นี่เป็นเสียงอะไรขอรับ?” ในใจของจื่อเฟิงเดาอะไรได้อย่างรางๆ

แม้ว่าเขาไม่เคยพบคนจากนอกแผ่นดิน แต่เจ้านายเคยได้บรรยายลักษณะเฉพาะของคนนอกแผ่นดินกับเขา ยังให้เขาไปตรวจสอบเรื่องคนนอกแผ่นดินที่ชนเผ่าหยินไห่อีก

เสียงดังกังวานดั่งเสียงฟ้าร้องเมื่อครู่นั้น คล้ายกับที่เจ้านายบรรยายไว้เป็นอย่างมาก

หรือว่ามีคนจากนอกแผ่นดินจริงๆ?

เทียบกับความตื่นตัวและระมัดระวังตัวของพวกเขา คนในเมืองคุ้นชินเป็นปกติแล้ว เห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ มีคนอดที่จะหยอกล้อไม่ได้

“สามสี่ท่านคือเพิ่งมาใหม่สินะ?”

วันนี้ไม่มีคนพยักหน้า จึงมีคนเปล่งเสียอธิบาย

“น่าแปลกแล้ว ความจริงพวกท่านก็ไม่ต้องกลัว เหตุผลที่ที่นี่ของพวกเราเรียกว่าเมืองเลยหมิง ก็เพราะมักจะมีเสียงฟ้าร้องดังออกมาจากในภูเขาเสมอ”

ที่พูดคือเถ้าแก่โรงเตี๊ยมประเภทหนึ่ง พูดไปพลางยังเชิญพวกเขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมของตัวเองไปพลาง ทั้งยังถือโอกาสแนะนำอาหารแนะนำในโรงเตี๊ยมกับพวกเขาอีกด้วย

เพราะจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ก็เพราะสิ่งนี้ ดังนั้นไม่มีใครเปล่งเสียงหยุดยั้ง

เถ้าแก่แต่ละที่ล้วนมองออกอย่างแม่นยำแล้ว คนนอกพื้นที่มาในเมืองครั้งแรก หลังจากได้ยินเสียงฟ้าร้องนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็นต่อเสียงฟ้าร้องนี้เป็นที่สุด นานวันเข้าเขาก็จับโอกาสทางการค้าได้แล้ว

เมื่อเห็นเสื้อผ้าไม่ธรรมดา อีกทั้งเป็นบุคคลแปลกหน้า ก็จะจับตาดูพวกเขาตลอดเวลา รอจนฟ้าร้องพร้อมกัน หลังจากเห็นปฏิกิริยาที่ตื่นตระหนกของพวกเขา ก็รีบเข้าไปอธิบายให้พวกเขาไปพลาง เชิญพวกเขาเข้ามาพักกินอาหารในโรงเตี๊ยมไปพลาง

ปกติแล้วไม่มีคนจะปฏิเสธ

“อ๋อ? เสียงฟ้าร้องดังมาจากในภูเขา?” หลานเยาเยาเลิกคิ้ว ตรึกตรองร้อยรอบ

เถ้าแก่ชะงักครู่หนึ่ง เหมือนกับมองดูพวกเขาอย่างลำบากใจเล็กน้อย

หลานเยาเยาตระหนักได้ทันที “เหล้าดีอาหารดีๆเอามาให้หมด ถือโอกาสเอาห้องพักดีชั้นดีมาสามสี่ห้อง”

เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป

เถ้าแก่ปริยิ้มอย่างดีใจทันที หันไปสั่งเสี่ยวเอ้อให้ไปเร่งด้านหลังห้องครัว หลังจากเสี่ยวเอ้อวิ่งไปทางด้านหลังครัวอย่างดีใจ เถ้าแก่รีบดึงเก้าอี้ยาวมานั่งทันที เอาเรื่องเสียงฟ้าร้องในภูเขาเล่าออกมาติดต่อกัน

ที่แท้!

เดิมทีที่นี่เรียกว่าเมืองส่วยยู่ ได้ชื่อมาเพราะแม่น้ำที่ใสเห็นก้นบึ้งสายหนึ่งไหลผ่าน แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านที่มีร้อยกว่าครัวเรือนเท่านั้น

ประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน

ในภูเขามีเสียงฟ้าร้องดังมาอย่างกะทันหัน สะท้อนไปมาในหมู่บ้านอยู่นานโดยตลอด เหล่าประชาชนล้วนหวาดกลัวมาก ยังคิดว่าไปยั่วโมโหเทพเซียนปีศาจอะไรเข้า จะมาลงโทษหมู่บ้านนี้ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้หัวหน้าหมู่บ้านได้จัดและรวบรวมคนในหมู่บ้านถวายเครื่องเซ่นไหว้ เพื่อระงับความโกรธของเทพเซียนปีศาจ

บางทีวิธีนี้อาจมีผล

แม้ว่าเสียงฟ้าร้องยังคงไม่หยุด แต่ไม่ได้นำภัยพิบัติมาให้หมู่บ้าน นานไปนานไป หัวหน้าหมู่บ้านจึงพาคนไปที่ภูเขาสืบหาต้นตอของเสียง ในที่สุดพบว่าเสียงมาจากในภูเขาหนาน จึงสร้างวิหารเทพแห่งภูเขาแห่งหนึ่งที่ภูเขาหนาน ทุกปีเมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด บรรดาคนในหมู่บ้านทั้งหมดจะถวายเครื่องเซ่นไหว้ ให้ปกปักรักษาคนแก่เด็กแดงทั้งครอบครัวให้ปลอดภัย

ต่อจากนั้นจึงค่อยๆกลายเป็นประเพณีชนิดหนึ่ง

เมืองส่วยยู่เป็นที่รู้จักใกล้ไกลเพราะเสียงฟ้าร้องนี้ หลังจากผู้คนมากมายได้ยินก็มาชื่นชม ยังมีบางคนเพราะคิดว่าเพราะที่นี่เป็นดินแดนความสุข ย้ายจากที่ไกลๆมาพำนักอยู่ที่นี่

ค่อยเป็นค่อยไป คนในหมู่บ้านนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นเมืองเล็กๆแล้ว

ที่ว่าการอำเภอเห็นเค้าโอกาสทางการค้า จึงเอาเมืองส่วยยู่เปลี่ยนเป็นเมืองเลยหมิงซะ และบวกกับออกแรงอย่างมาก เผยแพร่เสียงฟ้าร้องที่ไม่เหมือนใครของเมืองเลยหมิง

ผ่านไปไม่กี่ปี เมืองเลยหมิงก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ คนที่มาท่องเที่ยวแต่ละปีมามากขึ้น หลังจากหลายร้อยปี ขนาดของเมืองเลยหมิงเทียบได้กับคูเมืองที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งแล้ว

ฟังเถ้าแก่พูดจบ

หลานเยาเยาถามอย่างสงสัย: “นานถึงร้อยกว่าปีจริงๆหรือ?”

“โดยประมาณน่ะขอรับ! ความจริงแล้วจะนานถึงร้อยกว่าปีหรือไม่ มีเพียงคนที่อาวุโสอีกรุ่นหนึ่งถึงจะรู้ แต่เสียงฟ้าร้องนี้สามารถนำความโชคดีมาให้เมืองเลยหมิงจริงๆ ตอนนี้ล้วนมีคนมีความรู้ความสามารถทั่วทุกหัวระแหง สิบกว่าปีก่อนยังผลิตขุนนางชั้นสูงในราชสำนักได้ผู้หนึ่ง นั่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียงดังก้อง จนถึงปีก่อนจึงได้ลาออกเพราะอายุมากแล้วและกลับมาที่เมืองน่ะ!”

เหอะ……

โชคดี?

นั่นก็ไม่แน่

เพียงแค่เสียงนี้ทำไมถึงได้ดังออกมาจากในภูเขา?

แม้ว่าเถ้าแก่จะพูดเกินความจริง เสียงนี้ไม่ได้นานถึงร้อยกว่าปี แต่อย่างน้อยก็เกือบจะร้อยปีแล้ว หรือว่าคนจากนอกแผ่นดินยังจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าคนในแผ่นดินใหญ่อีก……