ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 31 มีบุตรชายก็เพียงพอแล้ว (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ตอนที่ 31 มีบุตรชายก็เพียงพอแล้ว (2)

แม้ระยะทางยังอีกไกล แต่เกือบทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ คนส่วนใหญ่มองเห็นหน้าตาของผู้คนบนฝั่งได้ชัดเจน ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดคือบัณฑิตหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่ง ดูจากหน้าตาอายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบปี แม้เส้นผมเป็นสีเทาซีด จอนผมสองข้างสีขาวโพลน แต่ท่วงท่าสุขุมสง่างาม ใบหน้าเปล่งปลั่งชวนให้ประทับใจของเขาไม่มีทางทำให้คนสงสัยว่าเขาใกล้วัยร่วงโรย ตรงกันข้ามทั้งตัวของเขากลับแผ่บรรยากาศนิ่งสงบเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
ผู้ที่ยืนอยู่หลังเขาครึ่งก้าวคือหญิงงามผู้สงบนิ่งทว่าโฉมสะคราญดุจเทพธิดา นางก็คือองค์หญิงฉางเล่อ ด้านหลังองค์หญิงฉางเล่อมีสตรีหน้าตาสะสวยอายุเกือบสามสิบปีแต่สวมอาภรณ์เช่นคนยังไม่แต่งงานคนหนึ่ งกับเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีหน้าตาเกลี้ยงเกลาแต่แฝงแววเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง
สายตาของหลินถงมิได้มองไปยังเจียงเจ๋อ แม้ปากบอกว่าสงสัยใคร่รู้ แต่ในใจนาง องค์หญิงฉางเล่อผู้มีชื่อเสียงเทียบเคียงพี่สาวคนนั้นต่างหากเป็นคนที่นางสนใจที่สุด หลินถงอาศัยสายตาอันเฉียบคม เพ่งพิจสำรวจองค์หญิงฉางเล่อ แม้ประจักษ์ว่านางหน้าตางามสง่า แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวของตนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
ใกล้ปลายสารทฤดูแล้ว นางสวมอาภรณ์หรูหราสีเดียวกับท้องฟ้าหลังฝนตก ภายนอกคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเหลืองหม่น เพียงยืนอยู่ตรงนั้นแต่แลดูอ่อนหวานสูงสง่าอย่างบอกไม่ถูก เส้นผมดำขลับใช้ปิ่นหยกเพียงเล่มเดียวปักไว้ นอกจากต่างหูไข่มุกคู่หนึ่ง ทั่วร่างนางก็ไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น สูงศักดิ์ทว่าเรียบง่าย นั่นคือสิ่งที่นางทำให้ผู้คนสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
เวลานี้เอง ลมทะเลเย็นเฉียบพัดผ่านมา คิ้วเรียวขององค์หญิงฉางเล่อขมวดมุ่น หันกลับไปสั่งอันใดเสียงเบาประโยคหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หลังร่างนางส่งผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งที่กอดไว้ในมือให้องค์หญิงฉางเล่อทันที จากนั้นก็เห็นนางก้าวเข้ามาเอ่ยอันใดกับบัณฑิตรูปงามอาภรณ์สีเขียวผู้นั้น
ระยะทางยังอีกไกล หลินถงย่อมไม่ได้ยินว่านางพูดอันใด แต่เห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่น รอยยิ้มละไมแฝงแววตำหนิ หลังจากนั้นบัณฑิตรูปงามอาภรณ์เขียวผู้นั้นจึงรับผ้าคลุมไปสวม องค์หญิงฉางเล่อจึงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน นางยื่นมือออกมามัดผ้าคลุมให้บัณฑิตรูปงามอาภรณ์สีเขียวผู้นั้น แม้เป็นเพียงการกระทำอันเรียบง่ายไม่คิดอันใด แต่ความรักลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในความเรียบง่ายเช่นนั้นกลับทำให้ความเป็นอริที่อัดแน่นอยู่เต็มอกหลินถงสลายกลายเป็นความว่างเปล่า เหลือเพียงความรู้สึกว่าสตรีเช่นนี้จึงคู่ควรยกมาเทียบเคียงกับพี่สาว
ข้ายืนอยู่บนท่า มองดูแขกที่บางคนคุ้นหน้าและบางคนแปลกหน้าบนดาดฟ้าเรือ หัวใจเกิดความรู้สึกประหลาด ในที่สุดก็ต้องกลับไปยังสนามรบแห่งการแย่งชิงใต้หล้าจนได้ แม้ใจเสียดายที่ชีวิตอันสงบและแสนสุขที่สุดนับตั้งแต่เกิดมาต้องจบลง แต่ข้าก็ยังได้แต่ทำเช่นนี้
สายตาข้าโฉบผ่านร่างคนทั้งหลายบนลำเรือ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนไม่เพียงความน่าเกรงขามในอดีตไม่ลดทอนสักนิด บนร่างยังมีความลุ่มลึกกับจิตสังหารท่วมท้นเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่าหลายปีนี้เขาจะรนหาความลำบากให้ตัวเองไม่น้อย บุรุษที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาสวมอาภรณ์หรูหรา หน้าตาละม้ายหลี่เสี่ยนอยู่หลายส่วน แต่สีหน้าเฉยชาแฝงความหยิ่งทะนง คนผู้นี้จะต้องเป็นชิ่งอ๋องหลี่คังแน่ ผู้ที่แววตาเปล่งประกาย อาภรณ์สีฟ้าพลิ้วไหวอยู่ด้านหลังเขามิใช่โก่วเหลียนที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีหรอกหรือ ส่วนสตรีผู้สวมชุดเยี่ยงจอมยุทธ์กับผ้าคลุมผืนใหญ่ ข้างกายพกดาบชั้นเลิศสองนางนั้น ดวงหน้างามวิลาสละม้ายคล้ายกัน ในความงามซ่อนความองอาจน่าเกรงขาม ผู้กล้าในหมู่สตรีเช่นนี้คงเป็นสองพี่น้องตระกูลหลินจากเป่ยฮั่น ส่วนสาวน้อยอาภรณ์แดงดุจเปลวเพลิง ทว่ารูปโฉมดั่งเกล็ดน้ำแข็งที่ยืนอยู่ข้างกายเจียงไห่เทาคงเป็นเย่ว์ชิงเยียนเจ้าสาวหมาดๆ ของเขาเป็นแน่แท้
ข้ามองทุกคนจนครบ หลังจากนั้นสายตาจึงจับบนร่างชายหนุ่มชุดเขียวผู้ยืนอยู่ตรงหัวเรือพร้อมกับแบกโหรวหลันที่ตะโกนโวยวายไว้บนหัวไหล่ แล้วอดไม่อยู่คลี่ยิ้มละไม นอกจากเขาแล้วยังมีผู้ใดทำภารกิจให้จบลงอย่างงดงามเช่นนี้ได้อีกเล่า
เรือจอดสนิท ไม้กระดานวางพาด คนแรกที่ลงจากเรือคือโหรวหลันดังคาด ไม่พบหน้ากันหลายวัน นางเหมือนจะร่าเริงยิ่งกว่าเดิม วิ่งกระโดดโลดเต้นลงมา เจินเอ๋อร์ที่อยู่หลังข้าหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า “หลันเอ๋อร์ช่างซุกซุนสดใสเสียจริง จะว่าไปแล้วตอนนั้นนางได้พี่สะใภ้สั่งสอนอบรมด้วยตนเอง เหตุไฉนนิสัยจึงยังใจร้อนเช่นนี้อยู่อีก”
ข้าใจฝ่อมิกล้าตอบ นี่แปดเก้าในสิบส่วนคงเป็นนิสัยเสียที่ข้าบ่มเพาะมาเป็นแน่แท้ หากข้าไม่หยิบขนมนานาชนิดมาหลอกนางให้วิ่งไล่ตามข้าอยู่บ่อยๆ บางทีนางอาจเป็นเด็กหญิงผู้เรียบร้อยคนหนึ่งก็เป็นได้
เวลานี้หลันเอ๋อร์ก็วิ่งมาถึงตัวแล้วกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนข้าเหมือนลูกลิง ข้าอุ้มร่างกายเล็กจ้อยของนางไว้ได้อย่างหวุดหวิด แล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย นึกทอดถอนใจ ผู้อื่นมักพูดว่าบัณฑิตมือไม้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ เป็นดังนั้นจริงเสียด้วย ข้าเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มจนปัญญา “หลันหลัน ไม่เจอกันไม่กี่วัน เจ้าเหมือนจะหนักขึ้นอีกแล้ว”
ดวงหน้าน้อยของโหรวหลันโมโหจนแดงก่ำ เอื้อมมือมากระชากเส้นผมข้าเป็นการแก้แค้น ในใจข้าตะโกนว่าแย่แล้วดังลั่น เวลานี้เอง เจินเอ๋อร์จึงเอ่ยปากช่วยข้าแก้สถานการณ์ “หลันเอ๋อร์ อย่าทะเลาะกับบิดาของเจ้าสิ มีแขกมองอยู่นะ”
โหรวหลันโคลงศีรษะคิดครู่หนึ่งก็กระโดดลงจากตัวข้าอย่างมิใคร่ยินดีแล้วขยับไปยืนด้านข้าง
เวลานี้หลี่เสี่ยนเดินนำมาถึงตรงหน้าข้ากับองค์หญิงฉางเล่อเป็นคนรก องค์หญิงฉางเล่อก้าวเข้าไปยอบกายคำนับ “คำนับพี่หก มิทราบว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่แข็งแรงดีหรือไม่”
หลี่เสี่ยนมองสำรวจองค์หญิงฉางเล่อครู่หนึ่งก็ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่พระวรกายแข็งแรงดี แต่พวกเขาคิดถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้าช่างใจกล้านักเชียว องค์หญิงผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งบอกจะไปก็ไปเช่นนี้ ทำให้ข้าต้องมองเจ้าใหม่จริงๆ”
ใบหน้าขององค์หญิงฉางเล่อมีริ้วสีแดงพาดผ่าน แล้วไม่สนใจพี่หกผู้หยอกล้อตนเองคนนี้ต่อ แต่ก้าวเข้าไปคำนับชิ่งอ๋อง ชิ่งอ๋องกับองค์หญิงฉางเล่อแทบไม่เคยพบหน้ากัน ความสัมพันธ์เบาบาง แม้ทักทายกันแต่ก็เป็นเพียงมารยาทเท่านั้น แต่กับหลินปี้และน้องสาว องค์หญิงฉางเล่อกลับต้อนรับอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก นางยิ้มแย้มก้าวเข้าไปทักทาย “ฉางเล่อได้ยินชื่อเสียงองค์หญิงมานานแล้ว ได้ยินว่าองค์หญิงพิทักษ์ไต้โจวของเป่ยฮั่น ผลงานการรบเลื่องลือ เป็นผู้กล้าในหมู่อิสตรี ฉางเล่อเกิดมาอ่อนแอ นับถือสตรีเช่นน้องสาวเป็นที่สุด ครั้งนี้โชคดีเชิญองค์หญิงมาร่วมงานฉลองครบขวบของบุตรชายคนเล็กได้ ช่างเป็นเกียรติที่ท่านมาเยือนจริงๆ”
หลินปี้ยอบกายคำนับเช่นเดียวกัน “องค์หญิงถ่อมตัวเกินไปแล้ว หลินปี้ก็ได้ยินมานานว่าองค์หญิงจิตใจสูงส่งกล้าหาญ ได้รับคำเชื้อเชิญจากท่านเจียงให้มาเยือนจวนจิ้งไห่ ได้พบพวกท่านสองสามีภรรยาเป็นเกียรติของหลินปี้ เดินทางมาอย่างฉุกละหุกจึงมิได้ตระเตรียมของขวัญอวยพรมาให้บุตรชายของท่าน เดิมทีคงเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่องค์หญิงกับท่านเจียงล้วนมิใช่ผู้ยึดติดทรัพย์สมบัติ คิดว่าคงมิถือสา”
องค์หญิงฉางเล่อรีบกล่าวว่า “องค์หญิงมิต้องเกรงใจ องค์หญิงหลินปี้ยินยอมเดินทางมาก็เป็นเกียรติแก่สุยอวิ๋นกับหลี่เจินแล้ว” ยามนี้องค์หญิงฉางเล่อก็เห็นหลินถงที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินปี้หาวหวอด ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งหม่นมัวคล้ายกำลังง่วงงุน จึงเอ่ยว่า “ท่านหญิงเหน็ดเหนื่อยแล้วหรือ หากไม่รังเกียจ หลี่เจินจะจัดเตรียมสถานที่ให้ท่านหญิงได้งีบสักหน่อย”
หลินถงพยักหน้าอย่างขัดเขิน เมื่อคืนวานนางหลับไม่สนิทนัก ใจมัวแต่คิดว่าจะได้พบกับสามีภรรยาในตำนานคู่นั้นแล้ว หลังจากได้พบทั้งสองคน ความรู้สึกตื่นเต้นผ่านพ้น ความง่วงงุ่นจึงผุดขึ้นมา
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไมเอ่ยสั่ง “เสี่ยวลิ่วจื่อ เจ้าดูแลให้ท่านหญิงไปพักผ่อนสักหน่อย ถึงยามเที่ยงเริ่มงานเลี้ยงค่อยเชิญท่านหญิงมา”
เด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาแฝงความเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วผายมือเชื้อเชิญแขก หลินถงเติบโตขึ้นมาในไต้โจวไม่ต่างจากหลินปี้ จวนแม่ทัพไม่มีขันที และนางก็ไม่เคยไปเยือนพระราชวังเป่ยฮั่นมาก่อน เมื่อเห็นองค์หญิงฉางเล่อให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาอยู่คอยปรนนิบัติก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ หลินปี้กับองค์หญิงฉางเล่อมองหน้ากันพลางขยับยิ้ม เข้าใจความไม่รู้ของนางในทันที
องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวลิ่วจื่อเป็นขันทีที่เสด็จแม่ของข้าพระราชทานให้ด้วยตนเอง ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วเป็นที่สุด หากท่านหญิงต้องการสิ่งใดถามเขาได้”
หลินถงเข้าใจแล้วก็ยิ้มเขินอาย หลังจากทราบแล้วว่าเสี่ยวลิ่วจื่อผู้นี้เป็นขันทีซึ่งองค์หญิงฉางเล่อพามาจากพระราชวังต้ายงจึงคำนับลาองค์หญิงฉางเล่อกับหลินปี้
แม้หลินปี้พูดคุยกับองค์หญิงฉางเล่ออยู่ตลอด แต่ปลายหางตาของนางกลับสังเกตเจียงเจ๋ออยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นบุคคลที่นางสนใจที่สุด
ตอนต่อไป