ตอนที่ 30 มีบุตรชายก็เพียงพอแล้ว (1)
ต้ายงรัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด เดือนเก้า วันที่สามสิบ แม้งานมลคลของเจียงไห่เทาจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่สุดท้ายก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น เพื่อไม่ให้แขกเหรื่อกลับไปทั้งที่หมดสนุก งานประมูลสมบัติหายากจึงจัดขึ้นตามเวลา ถือโอกาสอันดีที่แขกเหรื่อจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวประหนึ่งมวลเมฆ งานประมูลสมบัติหายากย่อมดึงดูดพ่อค้าจำนวนมากกว่าเดิมให้ก้าวเข้ามาสู่การค้าโพ้นทะเล
ด้วยเหตุนี้ไห่อู๋หยากับไห่หลีผู้รับผิดชอบจัดงานประมูลจึงทุ่มเทอย่างหนัก ยากนักที่ชนชั้นสูงจากต้ายง เป่ยฮั่นกับหนานฉู่จะมารวมตัวอยู่ที่เดียว เทียบเชิญนี้ส่งไปก่อนแล้ว ยิ่งกว่านั้นด้านหลังเทียบเชิญยังแนบรายการสมบัติล้ำค่าที่จะขึ้นประมูลขายในงานประมูลสมบัติหายากเอาไว้ด้วย ในรายการมีสมบัติล้ำค่าควรเมืองจากต่างแดนไม่น้อยที่ทำให้ขุนนางคนสำคัญอันดับต้นของแว่นเคว้นเหล่านี้นึกสนใจอยู่พอสมควร
อีกอย่างหนึ่งพวกเขาล้วนตอบรับเทียบเชิญของเจียงเจ๋อแล้ว เรือที่มารับต้องรอถึงวันที่สองเดือนสิบ หากไม่เข้าร่วมงานประมูลสมบัติหายากครั้งนี้ จะกลายเป็นทำให้ผู้คนคิดว่าเหตุร้ายในตงไห่ส่งผลต่อพวกเขาเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกคนจึงมาเข้าร่วมงานประมูล
สมบัติล้ำค่าจากต่างแคว้นที่ไห่จ้งอิงนำออกมาทำให้ผู้คนมองแทบไม่ละสายตาจริงๆ ทั้งยังทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเดินทางครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว อีกประการหนึ่งแขกผู้สูงศักดิ์ของตงไห่ที่เข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้ อันได้แก่ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ชิ่งอ๋องหลี่คัง องค์หญิงจยาผิงหลินปี้ ท่านหญิงหงสยาหลินถง แม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ลู่ช่านและเจียงหย่งเจ้าแห่งตงไห่กับเจียงไห่เทาสองพ่อลูก ล้วนเป็นบุคคลที่ดึงดูดสายตาของคนทั้งหลายในงานเป็นที่สุด
คนเหล่านี้ต่างเป็นขุนนางใหญ่ผู้มีบทบาทสำคัญของแต่ละแคว้น การกระทำแต่ละอย่างของพวกเขาล้วนมีแต่ผู้คนสนใจ หวังว่าจะมองเค้าลางอันใดออกสักนิด ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ทราบว่ายามนี้ใต้หล้ากำลังมีไฟสงครามคุกรุ่น เมฆดำทะมึนแผ่คลุมไปทั่ว แม้ตอนนี้ตงไห่ยังวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อสงครามอุบัติ พ่อค้าจากแต่ละแว่นแคว้นเหล่านี้ ชีวิตของตัวพวกเขาและครอบครัวคงขึ้นอยู่กับความคิดเพียงชั่วแวบของคนเหล่านี้
เดือนสิบ วันที่หนึ่ง เรือหนานฉู่จากตงไห่ไปเป็นลำแรก หลังจากลู่ช่านออกจากเขตน่านน้ำของตงไห่ สิ่งแรกที่ทำก็คือไปห้องลับใต้ท้องเรือเพื่อพบกับบุคคลที่เดิมทีมิสมควรปรากฏตัวบนเรือราชทูตแห่งหนานฉู่…คนผู้นั้นก็คือเหวยอิง
เหวยอิงผู้มีสีหน้าเย็นยะเยือก ดวงตาดำทะมึนเห็นลู่ช่านเดินเข้ามาพลันเอ่ยเสียดสี “แม่ทัพลู่ช่างระมัดระวังนัก จนถึงวันนี้เพิ่งมาพบหน้า มิทราบว่าแม่ทัพลู่คิดลงโทษผู้น้อยเช่นไรเล่า”
ลู่ช่านเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าตำหนักเหวยคงไม่กล้าทำให้คนตงไห่แตกตื่นจึงยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี ว่าแต่เจ้าตำหนักจะไม่ขอบคุณคำเตือนของข้าหน่อยหรือ”
ใบหน้าของเหวยอิงปรากฏรอยยิ้มเย็นชาจางๆ แล้วตอบว่า “ไม่ผิด ข้าสมควรขอบคุณแม่ทัพลู่ แม่ทัพลู่ให้คนใช้สัญญาณที่ข้านัดแนะใต้เท้าฝูไว้ล่วงหน้าส่งข่าวมา ข้าจึงพาลูกน้องหลบมาอยู่บนเรือราชทูตหนานฉู่สำเร็จ น่าเสียดายสิ่งที่รอข้าอยู่คือยอดองครักษ์ของแม่ทัพลู่ ยามนี้ลูกน้องข้า คนที่ถูกสังหารก็ถูกสังหาร คนที่ถูกจับก็ถูกจับ ตอนนี้เรือออกจากเขตแล้ว แม่ทัพจะมาคิดบัญชีกับผู้แซ่เหวยหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ท่านแม่ทัพส่งข้าให้ต้ายงเสีย เช่นนั้นผลประโยชน์ที่แม่ทัพได้จะไม่มากกว่าหรือไร”
ลู่ช่านถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าตำหนักไยต้องเอ่ยวาจาด้วยโทสะเล่า เรื่องครั้งนี้ตัวข้าเองก็ไร้ทางเลือก อัครมหาเสนาบดีซั่งเตรียมยืมดาบสังหารคนให้ผู้แซ่ลู่ดับดิ้นอยู่ตงไห่ ข้าอยากสังหารฝูอวี้หลุนกับเจ้าสำนักเพื่อไม่ให้หนานฉู่ของข้าเดินตามรอยต้ายงก็จริง แต่ข้ารู้ชัดยิ่ง หากข้าทำเช่นนี้ย่อมเป็นการสะบั้นสัมพันธ์กับอัครมหาเสนาบดีซั่ง อัครมหาเสนาบดีซั่งเป็นท่านตาของเจ้าแคว้น ฝ่ายปกครองในราชสำนักล้วนอยู่ในกำมือ หากข้าไม่ปรองดองกับเขา เมื่อต้ายงยกทัพลงใต้ หนานฉู่ของข้าคงจบสิ้น
ดังนั้นข้าจึงไม่สังหารท่าน พวกท่านเคียดแค้นต้ายง พวกเราหนานฉู่ก็แค้นต้ายงล้ำลึกประหนึ่งมหาสมุทร กล่าวไปแล้วก็มีศัตรูร่วมกัน หากพวกท่านคิดทำร้ายข้าก็ต้องตรองดูว่ามีผู้ใดนำทัพออกรบแทนข้าได้หรือไม่”
เหวยอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ “อัครมหาเสนาบดีซั่งคิดทำลายบ้านเมืองตนเอง เดิมทีข้าก็ไม่เห็นด้วย แต่ท่านเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อ จุดนี้อัครมหาเสนาบดีซั่งมิอาจวางใจ ข้าเองก็ไม่มีทางลืม ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องสำนักเฟิงอี้ ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนการของข้า ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เซวียชิวเสวี่ยผู้นั้นได้ฉวยโอกาส”
ลู่ช่านเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ข้ากับท่านอาจารย์เจียงเป็นศิษย์อาจารย์ แต่ข้าเป็นขุนนางคนสำคัญของหนานฉู่ ไม่มีวันทรยศนายเหนือหัวกับบ้านเมือง อีกอย่างหนึ่งหากพูดอย่างไม่เกรงใจ กลศึกของอาจารย์ อย่างน้อยข้าก็ร่ำเรียนมาห้าส่วน ข้าไม่จำเป็นต้องดูแคลนตนเอง หลายปีนี้ข้าทำศึกไม่หยุดหย่อน ข้าเชื่อมั่นว่าตนใช้ทหารได้ไม่ด้อยกว่าผู้ใด
มีข้าเป็นแม่ทัพ อย่างน้อยก็ต้านทานคมอาวุธของต้ายงได้ หากเปลี่ยนเป็นแม่ทัพคนสนิทของอัครมหาเสนาบดีซั่ง เกรงว่าหนานฉู่คงล่มสลายไม่ช้าก็เร็ว ถึงยามนั้นพวกท่านไร้ที่พึ่งจะล้างแค้นต้ายงได้เช่นไร วันนี้ได้เจรจากัน ข้าเองก็ไม่ต้องการให้พวกท่านสนับสนุนข้า ขอเพียงพวกท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทหารของหนานฉู่ ไม่คิดก่อกบฏ เรื่องอื่นใดข้าคร้านจะสนใจ”
เหวยอิงสีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ตัวข้าคนเดียวมิอาจตัดสินใจได้”
ลู่ช่านยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่รีบร้อน วันนี้ข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นพวกท่านค่อยๆ พิจารณาดู ความจริงความตั้งใจเดิมของข้าคือกำจัดพวกท่านเสีย เพราะแม้พวกท่านจะเป็นภัยคุกคามต่อต้ายง แต่ในสายตาข้าแล้วพวกท่านเป็นสาเหตุความวุ่นวายของหนานฉู่มากกว่า น่าเสียดายอัครมหาเสนาบดีซั่งเห็นค่าพวกท่านนัก ดังนั้นผู้แซ่ลู่จึงมิอาจสังหารให้สิ้นซากได้ ครั้งนี้แม้ข้าจะสังหารลูกน้องท่านไปหลายคน แต่ก็เพราะพวกเขาล้วนเป็นโจรผู้มีชื่อเสียงโฉดชั่วอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าตำหนักเหวยคงไม่คิดเล็กคิดน้อย”
เหวยอิงยิ้มละไม ลูกน้องที่ถูกลู่ช่านสังหารไปเหล่านี้ เขาก็ไม่ใส่ใจนักจริงๆ ถึงอย่างไรลูกน้องคนสนิททั้งหลายก็ยังรอดอยู่ ฝั่งเขาก็ไม่นับว่าเสียหายอันใด แต่จุดนี้เขาไม่สะดวกเอ่ยปากยอมรับ มิเช่นนั้นคงได้ชื่อว่าเป็นผู้ใจดำอำมาหิต
ลู่ช่านเห็นเหวยอิงสงบอารมณ์แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “แต่ที่ข้ามาพบท่านตอนนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องให้ท่านไปจัดการ เรื่องนี้หากท่านทำได้ดี ก็มิใช่ว่าจะกอบกู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับมาไม่ได้”
เหวยอิงนิ่งเงียบ เผยออกมาเพียงสีหน้าตั้งคำถาม ลู่ช่านกดเสียงเบาเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค แม้เหวยอิงพยายามเก็บงำอารมณ์แล้วแต่สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “แม่ทัพลู่เหี้ยมจริงๆ หากเรื่องนี้สำเร็จ อย่าพูดถึงท่านสังหารลูกน้องข้าไปหลายคนเลย ต่อให้ท่านสังหารฝูอวี้หลุน ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ เรื่องนี้เหวยอิงจะทำเต็มกำลัง ไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อยแน่นอน”
แววตาของลู่ช่านทอประกายเศร้าหมอง แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวเชิญคุณชายเหวยลงจากเรือ ข้าเตรียมทุกสิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงคุณชายเดินทางไปยังสถานที่ที่ข้าบอก ส่งของแทนตัวให้คนที่ระบุ บางทีอาจสมดั่งใจปรารถนา”
เหวยอิงเผยรอยยิ้มอำมหิต เขาไม่พูดคำใด แต่ใบหน้ากลับมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องมั่นอกมั่นใจ
เดือนสิบวันที่สอง เจียงไห่เทาทายาทของตงไห่โหวนำทัพเรืออารักขาฉีอ๋อง หลินปี้และคนอื่นๆ เดินทางไปยังจวนจิ้งไห่ด้วยตนเอง จวนจิ้งไห่ตั้งอยู่ที่เผิงไหล เส้นทางมิได้ไกลนัก รุ่งเช้าออกเดินทางเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเผิงไหลแล้ว
เจียงไห่เทายืนอยู่หัวเรือ ชี้อ่าวน้อยตรงหน้าแล้วบอกพวกฉีอ๋องว่า “ที่แห่งนี้เรียกว่าอ่าวจันทร์เสี้ยว ได้ชื่อมาจากรูปร่างดั่งจันทร์เสี้ยวของมัน สถานที่นี้กระแสน้ำสงบ ต่อให้ทะเลเกิดคลื่นลมถาโถม ตรงจุดนี้ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นท่านอาจารย์เจียงจึงจงใจเลือกที่นี่มาสร้างจวนจิ้งไห่ ท่านอาหกเชิญดู จวนจิ้งไห่หลังติดภูเขาหน้าติดทะเล ทิวทัศน์งดงาม ท่านอาจารย์ชอบพิงราวกั้นชมทะเลเป็นที่สุด หากอากาศดีก็มักจะล่องเรือออกทะเล หลานเคยรับใช้ยามท่านอาจารย์ตกปลาด้วย”
เวลานี้เอง โหรวหลันก็จูงหลี่หลินเดินเข้ามาแล้วยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ท่านลุง ท่านลุง ท่านพ่อชอบตกปลาที่สุด แต่ดันตกไม่เคยได้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลันหลันก็ยังไม่เคยได้กินปลาที่ท่านพ่อตก แม้แต่หลันหลันยังเคยตกปลาตัวโตได้ตัวหนึ่ง ที่นี่มีกุ้งหอยปูปลามากมายตลอดสี่ฤดู”
เจียงไห่เทายิ้มแย้มเอ่ยว่า “ใช่ครั้งที่เจ้าถูกปลาตัวโตลากลงทะเลครั้งนั้นหรือไม่ ได้ยินว่าเป็นปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งจริงๆ แต่มิรู้ว่าคนตกปลา หรือปลาตกคนกันแน่”
โหรวหลันฟังแล้วโมโหจนสองมือเท้าเอว “พี่เทาแย่ที่สุด ชอบเล่าเรื่องน่าอายของผู้อื่น เหอะ ไม่พูดกับท่านแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ที่ท่าเรือนี่นา” กล่าวจบ โหรวหลันก็พุ่งไปหาเสี่ยวซุ่นจื่อที่ยืนอยู่ไกลๆ อย่างเริงร่า แล้วปีนขึ้นมาบนหัวไหล่ของเสี่ยวซุ่นจื่อด้วยความช่วยเหลือของเขาอย่างชำนิชำนาญ หลังจากนั้นนางจึงโบกมือพร้อมกับร้องตะโกน “ท่านพ่อ ท่านแม่ หลันหลันกลับมาแล้ว หลันหลันกลับมาแล้ว”
แต่ในเวลานี้มิมีผู้ใดสนใจความตื่นเต้นยินดีของนาง สายตาของคนทั้งหมดล้วนมองไปบนชายฝั่ง บนท่าเรือส่วนตัวขนาดเล็กหน้าจวนบนภูเขา นายท่านแห่งจวนจิ้งไห่ยืนอยู่ที่นั่น
ตอนต่อไป