บทที่ 659 ผีสาวคุกคาม

เมื่อเห็นว่าองค์หญิงอันเยว่สงบลงแล้วหลูอันก็ลอบถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก

บิดาของเขาเป็นคนที่มีอำนาจมาก ตั้งแต่เด็กหลูอันหวาดกลัวบิดามาตลอด ไม่เคยขัดคำสั่งของบิดาเลยสักครั้ง หากเขาไม่ใช้กำลังสั่งสอนนาง ปล่อยให้ภรรยาสร้างปัญหาต่อไป พ่อของเขาต้องให้เขาหย่ากับนางแน่

แม้อันเยว่จะเป็นองค์หญิงแห่งต้าโจวแต่บิดาของเขามีวิธีมากมายสารพัดที่จะทำได้ ตอนนี้เขาเสียบุตรชายไปแล้ว หลูอันยังไม่อยากเสียภรรยาไปอีกคน การที่เขาต้องอยู่ตรงกลางระหว่างความบาดหมางของบิดาและภรรยาทำให้หลูอันเหนื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิม หลูอันสูดลมหายใจแล้วพูดกับบิดาด้วยความเคารพ

“ท่านพ่อ องค์หญิงกำลังใจสลาย นางจึงพูดจาไม่ยั้งคิด ได้โปรดอย่าเก็บไปใส่ใจเลยขอรับ”

นายท่านหลูเกอเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง

“อยู่กับนาง อย่าให้นางก่อปัญหาอีก” หลังจากพูดจบเขาจากไปทันที หลูอันเดินไปหาองค์หญิงอันเยว่ กอดนางไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง เขามองใบหน้าที่แดงระเรื่อของนาง

“องค์หญิง ข้าขอโทษที่ตีเจ้าเช่นนี้ เสวี่ยนเอ๋อร์จากไปแล้วข้าเองก็เสียใจ…แต่เจ้าและข้าในฐานะสามีภรรยายังต้องมีชีวิตต่อไป..”

องค์หญิงอันเยว่ร้องไห้ในอ้อมแขนของเขา

“เสวี่ยนเอ๋อร์จากไปแล้ว”

“ท่านพี่ ลูกเราจากไปแล้ว”

เสียงร้องไห้ของนางนั้นเศร้าและสิ้นหวังมาก หัวใจของหลูอันจมดิ่งสู่เหวมืดมิด เหตุใดครอบครัวดีๆ ของเขาจึงกลายเป็นแบบนี้ได้ หากเขารู้แบบนี้ก่อนหน้านี้จะไม่ยอมให้เสวี่ยนเอ๋อร์กลับมาเมืองหลวงเลย

เรื่องทุกอย่างจะได้ไม่ลงเองเป็นเช่นนี้..

การเสียชีวิตของหลูเสวี่ยนไม่ใช่เรื่องดี พิธีศพจึงจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย องค์หญิงอันเยว่ไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อหลูอันเกลี้ยกล่อมจึงทำให้นางต้องกล้ำกลืนฝืนทนลงไป อย่างไรก็ตามความไม่พอใจของนางที่มีต่อหลูเกอก็เพิ่มพูนมากขึ้น

พวกเขาต่างบอกว่าเป็นความผิดของนาง ทั้งๆ ที่นางรักเสวี่ยนเอ๋อร์มาก แล้วจะกลายเป็นความผิดของนางไปได้อย่างไร? เป็นถังหลี่ต่างหากที่ผิด นางเป็นคนส่งเสวี่ยนเอ๋อร์เข้าคุก สกุลหลูเองก็ผิดที่ไม่แยแสความทุกข์ของหลานชายคนโตเช่นนี้ คนที่ทุบตีเสวี่ยนเอ๋อร์จนตายเองก็ผิด หากเขาไม่ทำเสวี่ยนเอ๋อร์จะตายหรือไม่? ถึงแม้ว่านางเองก็ผิดแต่น้อยกว่าความผิดของคนเหล่านี้มาก

ในตอนนี้หลูอันประกบองค์หญิงอันเยว่ไว้ราวกับกลัวว่านางจะทำอะไรที่หุนหันพลันแล่น

“ท่านพี่อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่หุนหันพลันแล่น ข้ายังมีท่าน เราจะใช้ชีวิตที่ดีต่อจากนี้ด้วยกัน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

แววตาของนางอ่อนโยนเหมือนเมื่อหลายปีก่อน หลูอันนิ่งงันไปทันที ในอดีตตอนที่เขาถูกคนรักทรยศไป มีเพียงองค์หญิงอันเยว่เท่านั้นที่อยู่กับเขา แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง มีนิสัยหยิ่งทระนงถือตน แต่กับเขานางกลับอ่อนโยน นุ่มนวล หลายสิบปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด

“ท่านไปทำงานของท่านเถอะ ไม่จำเป็นต้องอยู่กับข้าทุกวัน ข้าดีขึ้นมากแล้ว” องค์หญิงอันเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม หลูอันมีงานที่ต้องทำ เมื่อเห็นว่าภรรยาดีขึ้นแล้วเขาจึงไปทำงาน

หลังจากที่หลูอันจากไปแววตาขององค์หญิงอันเยว่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา

นางและสามีต้องมีชีวิตที่ดีและมีความสุขหลังจากที่นางแก้แค้นให้หลู่เสวี่ยนแล้ว อันเยว่ปล่อยสามีของนางไปไม่ได้ นางจึงต้องทนอยู่กับหลูเกอและสกุลหลู อย่างไรก็ตามชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีวันให้อภัยหลูเกอเป็นอันขาด

พวกเขาไม่ยอมให้นางแก้แค้นครอบครัวของนักโทษที่ฆ่าเสวี่ยนเอ๋อร์ ดังนั้นนางจึงไปหานักบวชลัทธิเต๋าเพื่อสาปแช่งวิญญาณไม่ให้เขาได้ผุดได้เกิดอีก

ต่อไปก็ถังหลี่… บุตรชายของนางจากไป นางย่อมอยากให้ถังหลี่ได้รับความเจ็บปวดจากการสูญเสียบ้างเช่นกัน องค์หญิงอันเยว่ถือขวดยาอยู่ในมือดวงตาของนางส่อแววอำมหิตเหี้ยมเกรียม ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามา” ผู้ที่เข้ามาเป็นสาวรับใช้ นางเดินไปกระซิบที่ข้างหูขององค์หญิงอันเยว่เบาๆ

“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันทำตามรับสั่งแล้ว ลูกชายของพี่เลี้ยงสกุลอู่ หยูเหนียงถูกจับเป็นตัวประกันไว้แล้ว เราสั่งให้นางห้ามปริปากหากอยากให้ลูกตัวเองรอด นางยอมทำทุกอย่างเพคะ”

องค์หญิงอันเยว่ยื่นขวดยาให้สาวใช้

“เมื่อจบเรื่องนี้เก็บหลักฐานให้เรียบร้อย ห้ามเหลือร่องรอยใดๆ” องค์หญิงอันเยว่กำชับ

“เพคะองค์หญิง” สาวใช้รับยาก่อนจะถอยออกไป

….

เมื่อหยูเหนียงได้ทราบว่าบุตรชายของนางป่วย นางจึงขอลาหยุดกลับไปบ้าน แต่กลายเป็นว่าบุตรชายไม่ได้ป่วยแต่กลับถูกลักพาตัวไปแทน

ลูกคือหัวใจและจิตวิญญาณของนาง เมื่อรู้เรื่องนี้หยูเหนียงรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่มลงมาทับตัวเอง

“ตราบใดที่เว่ยถังและเว่ยจื่อมู่กินยานี้ เจ้าจะได้เห็นหน้าบุตรชายของเจ้าอีกครั้ง หากไม่ทำตามที่ข้าสั่งและปริปากบอกใคร เจ้าจะได้รับแต่ร่างไร้วิญญาณของลูกชายเจ้า เด็กคนนั้นเอาแต่เรียกหาเจ้าซึ่งเป็นมารดาของเขา”

ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหยูเหนียง สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เพื่อปกปิดใบหน้าของตน แต่เสียงที่ได้ยินทำให้หยูเหนียงรู้ว่านางเป็นผู้หญิง หยูเหนียงหยิบขวดยาด้วยมือสั่นเทา ขวดกระเบื้องเคลือบเย็นเฉียบทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ

“ยา..ยานี่คือยาอะไร” หยูเหนียงถามเสียงสั่น

“ไม่ใช่ยาพิษหรอก” อีกฝ่ายกล่าว

“เหตุใดต้องวางยาด้วย?”

“อย่าถามมากมาย”

“ลูกข้า..”

“ไม่ต้องกังวล ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าบอกลูกชายของเจ้าจะไม่เป็นอะไร” หลังจากที่พูดจบนางก็จากไป หยูเหนียงจับขวดยาไว้แน่นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกดดัน ลูกแม่…

นางต้องช่วยบุตรชายของนาง…

เมื่อหยูเหนียงกลับไปที่จวนอู่โหว ฟู่เหนียงรู้สึกถึงความผิดปกติของหยูเหนียง

“มีอะไรหรือเปล่า โกวตันป่วยหนักหรือ?” ฟู่เหนียงถาม แต่หยูเหนียงทำเพียงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าอย่างใจลอย

“เจ้าหมายถึงอะไร ทั้งพยักหน้าและส่ายหน้าแบบนี้ พรุ่งนี้ข้าว่าง ข้าจะไปหาโกวตัน” ฟู่เหนียงกล่าว พวกนางเป็นพี่น้องกัน โกวตันนับเป็นหลานชายของนาง

หยูเหนียงรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

“ไม่.. ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหรอก”

“หยูเหนียงเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องปิดบังข้าบอกมาเถอะพวกเราจะได้ช่วยกันแก้ไข”

หยูเหนียงอ้าปาก ความจริงนางอยากบอกพี่สาวของตัวเองมาก เพราะฟู่เหนียงอาจจะความคิดดีๆ ที่แนะนำนางได้ แต่เขาบอกว่าห้ามให้นางบอกใคร ไม่อย่างนั้นลูกชายของหยูเหนียงจะต้องตาย เขายังเด็กอยู่เลย… ได้โปรดอย่าให้อะไรเกิดขึ้นกับลูกชายของนางเลย

หยูเหนียงได้แต่กลืนคำพูดทุกอย่างลงไป ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาๆ

“แค่ป่วยนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องดูแลพิเศษอะไร” นางจับขวดกระเบื้องเคลือบที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อตัวเองไว้แน่น

เมื่อหยูเหนียงเข้าไปในห้อง นางเห็นฮูหยินอยู่กับคุณหนูและนายน้อย พวกเขาดีกับนางมาก แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย เวลาผ่านไปครึ่งวันจวบตอนบ่าย นางจึงไปที่ครัว

“เนื้อสับได้หรือยัง ฮูหยินให้ข้ามาดู” หยูเหนียงกล่าว

“เสร็จแล้ว” พ่อครัวกล่าวก่อนนำเนื้อบดร้อนๆ ออกมา

“เอามาให้ข้า” หยูเหนียงพูด นางหยิบเนื้อสับจากพ่อครัว แต่ไม่ได้ออกไปทันที เมื่อนางอยู่ในห้องครัวคนเดียว นางหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาและเติมยามันลงไปในเนื้อบด เขาบอกว่ายาขวดนี้จะทำให้ป่วยเล็กน้อยเท่านั้น แต่จะแค่เล็กน้อยจริงหรือ?

นางควรลองกินยาของคนผู้นั้นดูก่อนหรือไม่? หยูเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางหยิบเนื้อบดหนึ่งช้อนเต็มขึ้นมา กำลังจะนำเข้าปากตัวเอง

“หยูเหนียง เจ้าทำอะไร?”

หยูเหนียงตกใจจนมือสั่น ช้อนของนางตกลงไปที่พื้นเสียงดัง