บทที่ 487.2 ฆ่าล้างบาง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 487 ฆ่าล้างบาง (2)

ลมหนาวหวีดหวิวและหิมะโปรยปราย

กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงควบม้าหนีอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางราตรีที่หิมะกำลังตกกระหน่ำ มือและเท้าของพวกเขาแข็งไปหมดจนไร้ความรู้สึก

ขนคิ้วขนตาของกู้เจียวเริ่มมีน้ำแข็งเกาะ

แต่ก็ต้องขอบคุณหิมะครั้งนี้ด้วยเช่นกันที่ช่วยกลบร่องรอยการเดินทางของพวกเขา

ครั้นกู้เฉิงเฟิงอยากเอ่ยปากถามกู้เจียวว่าจะไปที่แห่งใด แต่ปากเจ้ากรรมก็ชาเกินเสียจนอ้าแทบไม่ไหว

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ในที่สุดกู้เจียวก็ตัดสินใจหยุดม้า

มือที่ดึงบังเหียนเต็มไปด้วยความเจ็บแปลบราวกับมือนี้กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ

“อึ๋ง…อึ๋งแอ๊วอื๋อ (ถึงแล้วหรือ)” พอกู้เฉิงเฟิงอ้าปาก ความเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั้งลิ้นและช่องปากของเขาทันที

“อืม” กู้เจียวขานตอบ สภาพของนางตอนนี้ไม่ได้ดีไปกว่ากู้เฉิงเฟิงมากนัก กู้เจียวค่อยๆ ปล่อยมือที่ถูกความเย็นกัดออก แต่ดูเหมือนสายบังเหียนนั้นแข็งติดอยู่บนฝ่ามือเป็นที่เรียบร้อย

ยังดีที่ทวนของกู้เจียวไม่ถูกแช่แข็งไปด้วย แต่ด้วยความที่กู้เจียวถือมันไว้นานเกินจึงเป็นเรื่องยากที่จะคลายมือออก

ทั้งสองต้องใช้ความพยายามและเวลาอันแสนนานกว่าจะลงจากหลังม้า

เจ้าม้าคงเหนื่อยไม่น้อย เอาแต่หายใจเสียงดัง

“ที่นี่ที่ไหน” กู้เฉิงเฟิงถามด้วยใบหน้าซีดเซียว

“ไม่รู้สิ” กู้เจียวไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศของชายแดนนัก คิดแต่แค่หนีพวกทหารมาให้ไกลที่สุดก็เท่านั้น

“ลองเดินไปข้างหน้าดูสิ”

กู้เจียวเอ่ย

ความรู้สึกที่มือของกู้เจียวเริ่มกลับมาแล้ว มือข้างหนึ่งจับเชือกม้าไว้ ส่วนอีกข้างก็คว้าทวน

กู้เฉิงเฟิงจำได้ว่าเดิมทีกู้เจียวจะแบกทวนไว้บนหลัง แต่ตอนนี้นางกำลังอุ้มปู่ของเขาอยู่

“ให้ข้าเถอะ” เขายื่นมือ

“เจ้าแบกไม่ไหวหรอก” กู้เจียวเอ่ย

“ข้าเป็นผู้ชายนะ! จะถือไม่ไหวได้อย่างไร” กู้เฉิงเฟิงฉุนขาดที่ถูกดูแคลน ก่อนจะรับทวนที่กู้เจียวยื่นให้

กู้เจียวเหลือบมองเขาเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือออก

“บ้าจริง!”

ทันทีที่รับทวนมา ร่างของกู้เฉิงเฟิงก็พลันทรุดลงพื้น พลางสบถคำหยาบโดยไม่รู้ตัว

ทวนอะไรนี่!

หนักชะมัด!

อีกอย่าง เมื่อครู่นี้เขามัวมุ่งแต่วิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดและไม่ได้มองใกล้ๆ แต่ตอนนี้พอได้มองเจ้าทวนนี้ใกล้ๆ ก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจสุดขีด!

มีทวนหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้ด้วยหรือนี่!

ลายดอกแดงใหญ่นี่หมายความว่าอย่างไรกัน แล้วไหนจะพู่ที่ถูกถักจนเป็นเปียนี่อีก!

กู้เฉิงเฟิงแทบอยากจะร้องไห้กับความอุบาทว์นี้!

ถ้าใช้ทวนนี้ที่สนามรบมีหวังศัตรูได้ล้มตายเพราะความน่าเกลียดของทวนนี้แน่ๆ !

โชคดีที่นางห่อทวนด้วยผ้ามาตลอด ถ้าเขาเห็นตอนระหว่างทางมีหวังได้ตาบอดจนไม่เห็นทางแน่ๆ

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าถือไม่ไหวหรอก” กู้เจียวไม่สนใจท่าทีเหยียดของกู้เฉิงเฟิง นางคว้าทวนกลับแล้วเดินจูงม้าไปข้างหน้าต่อ

“ที่ข้ายกไม่ได้เพราะข้ากำลังบาดเจ็บอยู่ต่างหากล่ะ” กู้เฉิงเฟิงโต้แย้งเพื่อรักษาศักดิ์ศรีความเป็นชายของตัวเอง “รอข้าหายดีก่อนเถอะ แล้วค่อยดูว่าข้าจะยกไหวไหม!”

“หายดีก่อนค่อยว่ากัน” กู้เจียวเอ่ยแทบไม่หันกลับมามอง พลางโบกมือปัด

กู้เฉิงเฟิงทำหน้าดำไม่พอใจ และจูงม้าของเขาเดินไปข้างหน้าต่อ

ทั้งสองดูเหมือนจะเข้าไปในป่าลึกบนภูเขา แต่ไม่นานก็ดูเหมือนกำลังเดินพ้นออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

“ดูนั่นสิ บ้านคนนี่” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย

“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า บ้านที่ว่าดูไม่เหมือนบ้านของชาวบ้านทั่วไป แต่เหมือนบ้านของพรานที่เฝ้าป่าเสียมากกว่า

ทั้งสองจูงม้าเดินเข้าไปใกล้ๆ

แม้กู้เฉิงเฟิงจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขากลับดึงกู้เจียวไปไว้ข้างหลังและยกมือขึ้นเพื่อเคาะประตู

“ไม่ต้องเคาะหรอก ไม่มีคนอยู่” กู้เจียวเอ่ย

“นี่เจ้าฟังออกอีกแล้วรึ”

หูเจ้าเป็นหูสุนัขหรืออย่างไรกัน

กู้เจียวเปิดประตูและเดินเข้าไป บ้านหลังนี้มีห้องทั้งหมดอยู่สองห้อง โดยห้องหลักเชื่อมต่อกับห้องนอน ในนั้นมีเตาไฟและอุปกรณ์ทำอาหารที่ดูเรียบง่ายอยู่ที่มุมห้องหลัก

มีก้อนเนื้อแช่แข็งเหลืออยู่ในหม้อ

ในสภาพอากาศเช่นนี้ ของเหลือแช่แข็งจะไม่เน่าเสียภายในเวลาหนึ่งหรือสองเดือน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าอาหารในนี้ถูกทิ้งไว้เมื่อสองสามวันก่อนหรือไม่

แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนฝุ่นบนเตาและเตียงแล้ว ดูเหมือนในช่วงสามวันที่ผ่านมา บ้านนี้มีคนอาศัยอยู่

อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ออกไปข้างนอก หรืออาจถูกกองทัพของแคว้นเฉินและราชวงศ์ก่อนจับตัวไป

“พักที่นี่สักคืนนึงแล้วกัน” กู้เจียวเอ่ย

“คงต้องอย่างนั้นแหละ” กู้เฉิงเฟิงมองไปรอบๆ พลางถอนหายใจ

สภาพอากาศที่ชายแดนหนาวเกินไป หากอยู่ข้างนอกต่อมีหวังได้แข็งตายก่อนแน่ๆ

เตียงทั้งสองถูกวางไว้ในมุมที่ถูกต้องโดยเตียงหนึ่งติดกับผนังด้านใน และอีกเตียงหนึ่งติดกับผนังด้านข้าง กู้เจียววางร่างท่านเหล่าโหวลงบนเตียงที่ติดกับผนังด้านใน

จากนั้นก็ชี้ไปที่เตียงอีกอันและพูดกับกู้เฉิงเฟิงว่า “นอนลง”

“จะทำอะไรน่ะ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

กู้เจียววางตะกร้าลงก่อนจะเอ่ยตอบ “ทำแผลไงเล่า”

“อ้อ” กู่เฉิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากเบียดเสียดกับท่านปู่ แต่เพราะเตียงที่นี่เป็นเตียงไม้ไผ่ทั้งหมดซึ่งยากสำหรับการพลิกตัว

อากาศในห้องเย็นเกินไป กู้เจียวจึงไปหยิบฟืนและถาดเผาออกมา

พอได้จุดไฟ ร่างกายพวกเขาจึงอุ่นขึ้นมาก

กู้เจียวลงมือตรวจร่องรอยบาดแผลบนร่างของกู้เฉิงเฟิง

หากว่ากันตามตรง กู้เฉิงเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นคนอื่นป่านนี้คงเป็นผักไปแล้ว แต่นี่เขายังสามารถกระโดดได้ปกติ

สมกับเป็นกระสอบทรายรับหมัดมือฉมัง

กู้เจียวลงมือทายาฆ่าเชื้อที่บริเวณแผลตรงหัวไหล่ของเขา

“นี่ ก่อนหน้านี้มันคืออะไร” กู้เฉิงเฟิงจู่ๆ โพล่งคำถาม

“หมายความว่ายังไง” กู้เจียวถามกลับ

“ก็เจ้าน่ะ…” กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิดอยู่สักพัก เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี จะถามว่านางได้กระบวนท่าไม้ตายพวกนั้นมาจากไหน หรือถามเรื่องที่นางไปเรียนจากไหนถึงรักษาคนได้

นางฆ่าคนราวกับเป็นปีศาจ แต่พอรักษาคนก็กลายร่างเป็นพระเจ้าทันที

ชวนให้สับสนและประหลาดใจยิ่งนัก

กู้เฉิงเฟิงสบตากับใบหน้าจริงจังของนาง ก่อนตัดสินใจเปิดปากถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรมา ข้าหมายถึงก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่แล้วมาอยู่ในร่างนี้น่ะ ”

“อืม…” งานของนางมีตั้งมากมาย

“นักฆ่ารึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

หรืออาจเคยเป็นหมอ

กู้เฉิงเฟิงพูดขึ้นในใจ

“ประมาณนั้นแหละ” กู้เจียวเอ่ยตอบแบบขอไปที

“ประมาณนั้นหมายความว่าอย่างไร ตอบมาสิว่าใช่หรือไม่ใช่” ขณะกู้เฉิงเฟิงพึมพำ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง และเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนอยู่ที่จวนผู้ว่า ข้านึกว่าเจ้า… เสียสติแล้วเสียอีก ”

ตอนที่นางเดินออกจากห้องเก็บสุรา แววตาอำมหิตนั่นช่างรุนแรงนัก แม้ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัว