บทที่ 644 พลังของตระกูลฉู่

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 644 พลังของตระกูลฉู่

บทที่ 644 พลังของตระกูลฉู่

“นี่มันอะไร…?” ผู้ชมทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่อ๋องเหลียงไม่อาจหลบหนี เขาติดอยู่ในวงล้อมของธงที่เคลื่อนไหวอย่างเกรี้ยวกราด

ไม่มีใครคาดฝันว่าตระกูลฉู่จะทรงพลังถึงขนาดกักขังผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ได้สำเร็จ!

ผู้คนในเมืองจันทร์กระจ่างต่างเคยได้ฟังบรรพบุรษของตนเองเล่าถึงเรื่องความน่าเกรงขามของตระกูลฉู่มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งคนรุ่นหลังต่างไม่เชื่อมันเท่าไหร่นัก เนื่องจากระยะหลังตระกูลฉู่ไม่เคยสำแดงเขี้ยวเล็บใด ๆ เลย แต่วันนี้พวกเขาได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว ตระกูลฉู่ยังคงมีดีให้นับถือ!

หลิวเหย่ารู้สึกยินดีกับฉากนี้ ขอบคุณสวรรค์ที่ข้าพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าอาจโดนธงแปลก ๆ พวกนั้นสามัคคีโบกใส่จนล้มกลิ้ง!

เสียงกลองศึกยังคงกังวานไปทั่วสนามรบ กองทหารผ้าคลุมสีชาดแยกขบวนออกเป็นสองส่วน เว้นที่ว่างกลางขบวนเป็นช่องว่าง ให้เหล่าทหารกองทัพผ้าคลุมสีชาดอีกหน่วยหนึ่งค่อย ๆ ผลักหน้าไม้ขนาดใหญ่เข้ามา

หน้าไม้นี้ทั้งใหญ่โตและน่าเกรงขาม แค่เพียงมองด้วยตาเปล่าก็รู้ได้ว่าพลังของมันน่าจะเพียงพอที่จะระเบิดกำแพงเมืองได้อย่างง่ายดาย!

หน้าไม้ยักษ์นี้ค่อย ๆ เอียงองศาขึ้นเรื่อย ๆ มันบรรจุด้วยลูกดอกยักษ์ขนาดเท่ากับทวนศึก ปลายคมของลูกดอกเป็นเงาวาวยิ่งสะท้อนแสงยิ่งดูเยือกเย็น ทั้งโครงสร้างของหน้าไม้ถูกสลักไว้ด้วยอักขระมากมายซึ่งกำลังเปล่งประกายไม่หยุดหย่อน นี่เป็นผลงานของปรมาจารย์ด้านอักขระที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย!

อ๋องเหลียงรู้สึกขนลุกทันทีเมื่อเห็นหน้าไม้กำลังเล็งมาที่ตัวเอง ความรู้สึกอันตรายถึงชีวิตซึ่งไม่เคยประสบมาก่อนจู่ ๆ ก็ถาโถมเข้าใส่เขา

เขารู้แน่ชัดว่าหากถูกโจมตีด้วยหน้าไม้ศึกนี้หากไม่ตายก็คงสาหัส!

เขาอยากจะหนีไป แต่หมู่ธงก็หยุดเขาไว้ทุกครั้ง ไม่มีทางที่จะไปไหนได้ไกล

เมื่อไร้ทางหนี เขาจึงจำใจโคจรพลังควบแน่นพลังทรงกลมโปร่งแสงขนาดมหึมาเอาไว้ในมืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาโคจรพลังจนสุดชีวิต หมายว่าจะแลกชีวิตกับตระกูลฉู่ให้ตายตกไปตาม ๆ กัน!

แต่ในขณะถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นแทรก “ทุกท่าน โปรดหยุดก่อน!”

มีกลุ่มคนวิ่งเข้ามา ผู้ที่นำหน้าคือเจ้าเมืองเซี่ยอี้!

ถัดจากเขาคือเซี่ยเต๋าอวิ๋น

ความวิตกกังวลปรากฏทั่วใบหน้าที่อ่อนโยนของนาง และดูเหมือนว่านางกำลังมองหาใครสักคน แต่ไม่พบคนที่มองหา

ก่อนหน้านี้ หลังจากออกมาจากจวนผู้ตรวจการ นางก็รีบกลับไปตามพ่อของนางทันที แต่โดยไม่คาดคิดนางพบเจอพ่อของนางก่อนที่กลางทาง แน่นอนว่าพ่อของนางนั้นทราบข่าวทั้งหมดแล้วและกำลังเร่งรีบไปที่ตระกูลฉู่เช่นกัน

ไม่ว่าจะคำนึงถึงความปลอดภัยของเมืองจันทร์กระจ่าง หรือเพราะเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับราชันฉี เซี่ยอี้ก็ไม่ต้องการเห็นอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลฉู่

แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองฝ่ายใกล้จะแตกหักแล้ว จะมีใครยอมฟังคำพูดของเขา?

เซี่ยอี้อ้อนวอนหลิวเหย่าอย่างตื่นตระหนก “แม่ทัพหลิว ได้โปรดหยุดพวกเขา! เรื่องราวบานปลายเกินไปแล้ว!”

หลิวเหย่ายิ้ม “อย่าห่วงไปเลย อ๋องเหลียงเป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ แน่นอนว่าเขาสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ ข้าคิดว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่ง”

เซี่ยอี้จ้องมองอีกฝ่ายอย่างโง่งม

ข้าไม่ได้แค่กังวลเกี่ยวกับอ๋องเหลียง แต่ยังรวมถึงตระกูลฉู่ด้วย!

อ๋องเหลียงสาปแช่งเมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวเหย่าพูด ควบคุมสถานการณ์? พูดมาได้! เจ้ามาลองเองไหม? ข้าว่าเจ้าคงแหลกเป็นฝุ่นจนหาซากไม่เจอหากเผชิญกับไอ้หน้าไม้นั่น!

เวลานี้เขารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเป็นอย่างมาก การใช้ชีวิตที่หรูหราและสุขสบายมานาน ทำให้เขาลำพองมากเกินไป

แต่แน่นอน ทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของเขาซะทีเดียว ถ้าเขาเผชิญหน้ากับกองทัพธรรมดาสามพันนาย ความแข็งแกร่งของเขาย่อมเพียงพอที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้

เขารู้ว่า ณ จุดนี้ ทั้งเขาและฉู่จงเทียนต่างไม่เต็มใจที่จะถอยกลับ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลือกที่จะถอยกลับ แต่อีกฝ่ายไม่ ฝ่ายที่ถอยกลับจะต้องพินาศอย่างแน่นอน!

ทันใดนั้น เสียงของหญิงสาวที่เย็นเยียบตัดผ่านสถานการณ์อันตึงเครียด “พวกท่านทั้งหมดกำลังคิดสังหารหมู่ผู้คนในเมืองหรืออย่างไร!?”

“อาจารย์ใหญ่เจียงมาแล้ว!”

ทุกสายตาหันไปทางต้นเสียงนั้น ร่างเพรียวบางสะโอดสะองยืนอยู่บนยอดของต้นไม้ใหญ่ แม้กิ่งก้านที่ด้านบนนั้นจะบางมาก แต่นางก็ยังสามารถยืนได้อย่างสมดุล ร่างของนางแกว่งไปแกว่งมาตามจังหวะของกิ่งไม้

การปรากฏตัวนี้ของเจียงลั่วฝูเรียกเสียงชื่นชมได้นับไม่ถ้วน แม้แต่หลิวเหย่าก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะสามารถบินได้ในเวลาสั้น ๆ แต่การยืนบนกิ่งไม้บาง ๆ ให้นิ่งได้แบบนั้นจำเป็นต้องมีทักษะการควบคุมสมดุลร่างกายของตัวเองจนเป็นเลิศ

แม้จะอายุยังน้อย แต่หญิงสาวผู้นี้กลับโดดเด่นเหนือกว่าคนรุ่นก่อน แล้วโอกาสภายภาคหน้าของนางย่อมไร้ขีดจำกัดเช่นกัน!

เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองหญิงสาวผู้นี้ ในตอนแรกเขาถูกดึงดูดด้วยความน่าทึ่งของทักษะนาง แต่ในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างยิ่งขึ้นไปอีก ถุงน่องสีดำของนางต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของเขาไปได้ทั้งหมด!

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียว แม้แต่เซี่ยอี้ก็ลูบจมูกด้วยความเขินอายกลัวว่าเลือดกำเดาจะไหลออกมาทำลายศักดิ์ศรีที่สั่งสมมาหลายปี

เซี่ยเต๋าอวิ๋นผลักพ่อของนางอย่างแรงเมื่อเห็นท่าทางนั้นเข้า “พ่อ!” นางพูดด้วยความขัดใจ

ในที่สุดเซี่ยอี้ก็ได้สติกลับคืนมาและยิ้มแห้ง ๆ ให้ลูกสาว

แต่คล้ายว่าเจียงลั่วฝูจะไม่สนใจเลย นางกวาดสายตามองสถานการณ์ปัจจุบันด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น

นางตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสถานการณ์ในปัจจุบันตึงเครียดเพียงใด รอบบริเวณเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่คำพูดสองสามคำจากผู้คนมากมายที่อยู่โดยรอบ

จากนั้นนางจึงถอดปิ่นหยกออกจากผม ก่อนจะเขวี้ยงมันไปยังหมู่ธงที่ลอยอยู่

รอยแยกปรากฏขึ้นในอากาศทันทีที่ปิ่นหยกสัมผัสกับค่ายกล รอยแยกนั้นไม่ใหญ่นัก มันแค่พอที่จะให้หนึ่งคนลอดผ่านไปได้

เจียงลั่วฝูรีบโผทะยานลอดเข้าไปในรอยแยกอย่างเร่งร้อน รอยแยกนั้นปิดตัวลงอย่างฉับพลันหลังจากนางลอดผ่านเข้าไปยังไม่ถึงหนึ่งอึดใจ

นางเหลือบมองชายเสื้อที่แหว่งไปเล็กน้อยเนื่องจากม่านพลังปิดตัวลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ใจกลางสนามรบและตะโกนด้วยเสียงดังกังวาน “ข้าคือเจียงลั่วฝู อาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันจันทร์กระจ่าง ข้าขอร้องพวกท่านโปรดยุติการต่อสู้นี้ซะ! พวกท่านควรรู้อยู่แก่ใจ ไม่ว่าผู้ใดชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดคือพลเรือนผู้บริสุทธิ์!”

ตระกูลฉู่มีความสัมพันธ์อันดีกับสถาบันจันทร์กระจ่างมาโดยตลอด ฉู่จงเทียนขมวดคิ้วกับการแทรกแซงของนาง แต่เขายังคงเรียกหมู่ธงกลับและสั่งให้เหล่าทหารซึ่งรับหน้าที่ยิงหน้าไม้ยั้งการโจมตีเอาไว้ก่อน

ส่วนอ๋องเหลียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มวลพลังในมือของเขาค่อย ๆ หดตัวลงเช่นกัน

สถาบันจันทร์กระจ่างนั้นถูกดูแลโดยเสนาบดีกรมพิธีการ ซึ่งมีความเป็นเอกเทศและผู้คนของพวกเขาก็อยู่ในทุกหนทุกแห่ง จึงไม่มีใครอยากจะงัดข้อกับสถาบันจันทร์กระจ่างหากไม่จำเป็น

และยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่เขารู้ ระดับการบ่มเพาะของอาจารย์ใหญ่สถาบันจันทร์กระจ่างอยู่ในระดับ 8 เท่านั้น แต่เมื่อครู่นางกลับแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์!

นางสามารถบุกเข้ามาในค่ายกลได้สำเร็จ! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลบหนีจากธงเหล่านั้นได้เลย เห็นได้ชัดว่าปิ่นหยกของนางย่อมไม่ใช่สมบัติธรรมดาเป็นแน่!