บทที่ 650 ทางออกเพียงหนึ่งเดียว
บทที่ 650 ทางออกเพียงหนึ่งเดียว
“ฮูหยินฉู่เกรงใจเกินไปแล้ว” เซี่ยเต๋าอวิ๋นเห็นได้ชัดว่าฉินหว่านหรูไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุย ดังนั้นนางจึงบอกลาและจากไปด้วยใจที่หนักหน่วง
จากนั้นเจียงลั่วฝูก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและพูดเบา ๆ ว่า “อาซูให้ลูกสาวคนรองของพวกท่านไปหลบภัยที่บ้านพักอาจารย์ของสถาบันจันทร์กระจ่าง ช่วงนี้ข้าคิดเห็นว่านางควรอยู่ที่นั่นไปก่อน ท่านสองคนจะได้ไม่ต้องกังวล แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ข้าจะดูแลความปลอดภัยให้นางเอง”
ความในใจที่ไม่ได้พูดออกมาของนางนั้นชัดเจน ถ้าตระกูลฉู่ถูกกำจัดจนสิ้นซากจริง ๆ นางจะปกป้องฉู่ฮวนเจาต่อไป
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณอาจารย์ใหญ่เจียง!”
ขณะนี้แม้แต่จักรพรรดิก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นเรื่องที่เป็นอยู่จึงไม่มีความหวังมากนัก ความจริงที่ว่านางเต็มใจที่จะรักษาสายเลือดของพวกเขาไว้นั้นเป็นน้ำใจที่ล้นเหลือแล้ว
ฉินหว่านหรูถามว่า “อาจารย์ใหญ่ ตอนนี้อาซูอยู่ในสถาบันจันทร์กระจ่างหรือเปล่า?”
เจียงลั่วฝูส่ายหัว “ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ฉินหว่านหรูถอนหายใจ “ดีแล้ว ๆ ถ้าอาจารย์ใหญ่เจียงเจอเขา โปรดช่วยข้าส่งข้อความด้วย บอกเขาอย่ากลับมาโดยเด็ดขาด อีกฝ่ายได้วางกับดักไว้หมดแล้ว”
แม้ว่าอ๋องเหลียงและหลิวเหย่าจะจากไป แต่ทูตยุทธ์เสื้อแพรทั้งสิบคนยังคงอยู่และทหารราชองครักษ์ยังคงอยู่ ตระกูลฉู่สูญเสียความสามารถที่จะต่อต้านทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง
“นอกจากนี้ บอกให้เขาตามหาชูเหยียนและช่วยเหลือนาง…น้องชายของนางด้วย พวกเขาควรหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับใช้ชีวิต ลืมตัวตนเดิม และอย่าให้ชูเหยียนคิดแก้แค้น”
จากน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนเป็นการพูดสั่งเสีย เจียงลั่วฝูขมวดคิ้ว แต่ในท้ายที่สุดนางก็พยักหน้ารับรู้
ในช่วงสามวันถัดมา ตระกูลฉู่จัดประชุมตลอดเวลา พยายามหาทางออก อย่างไรก็ตาม ทุกทางเลือกถูกปฏิเสธ เพราะสถานการณ์นี้เลวร้ายเกินไป
ทันใดนั้น ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือลุกขึ้นกล่าวโทษ “มันเป็นความผิดของซูอันเขาเป็นที่มาของภัยพิบัติทั้งหมดนี้!”
เมื่อเขาเป็นผู้ริเริ่ม ผู้คนอื่นต่างก็เริ่มสาปแช่งซูอันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เหล่าคนที่สาปแช่งล้วนแล้วแต่เป็นคนระดับผู้อาวุโสของตระกูลฉู่ ซึ่งคนเหล่านี้ตามปกติแล้ววัน ๆ ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ตระกูลสักเท่าไหร่ เอาแต่กินดื่มและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่สนใจที่จะช่วยกิจการใด ๆ ของตระกูล
“เห็นด้วย ตระกูลฉู่ของเราไม่เคยสงบสุขตั้งแต่ซูอันแต่งเข้ามา!”
“การตัดสินใจของผู้นำตระกูลในการชักนำซูอันเข้าสู่ตระกูลนั้นเลินเล่อเกินไป!”
ฉินหว่านหรูขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการที่ซูอันถูกวิจารณ์เช่นนี้ นางลุกขึ้นและตะโกนชี้หน้าเหล่าผู้อาวุโส “ตระกูลฉู่ของเราคงจะถูกทำลายไปแล้วถ้าไม่มีซูอัน พวกเจ้าทุกคนไม่มีสิทธิ์บ่น หุบปากไปซะ!”
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคนไม่ยินยอม “ไม่ใช่ว่าตอนนี้ใกล้จะถูกทำลายแล้วไม่ใช่เหรอ? หากเราปล่อยให้เทียนเซิงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ในตอนนั้น เรื่องราวในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น!”
ฉินหว่านหรูโกรธมาก “เจ้าพูดอะไร!”
ฉู่เยว่พั่วจากตระกูลสายที่สามรีบออกมาทำหน้าที่เป็นคนกลางในเวลานี้ “เราทุกคนมาที่นี่เพื่อเห็นแก่ตระกูลฉู่ เราควรคิดถึงวิธีจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันและไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในอีกต่อไป!”
ฉินหว่านหรูนั่งลงด้วยความโกรธ แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครสามารถคิดหาวิธีการดี ๆ ขึ้นมาได้ แม้กระทั่งหลังจากการร่วมหารือเป็นเวลานาน
ขณะที่พวกเขากำลังจะหมดหวัง ฉู่เยว่พั่วยืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าคิดหาทางออกได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่?”
“ทำไมเจ้ายังเล่นลิ้นอยู่อีก?” ฉู่จงเทียนพูดอย่างไม่อดทน “เร็วเข้า! มีอะไรก็พูดมา”
“ข้ากังวลว่าท่านและฮูหยินจะโกรธ” ฉู่เยว่พั่วกล่าวอย่างลังเล
คนอื่น ๆ ก็เริ่มหมดความอดทนเช่นกัน
ฉินหว่านหรูบ่น “ทำไมเราถึงต้องโกรธถ้ามันจะช่วยตระกูลฉู่ของเราได้จริง?”
ฉู่เยว่พั่วกล่าวว่า “ข้าสังเกตเห็นช่องโหว่ของพระราชโองการ เราสามารถ…”
ฉินหว่านหรูตวาด “ไม่มีทาง! ข้าไม่เห็นด้วย!”
ฉู่จงเทียนก็พูดขึ้นเช่นกัน “อาซูมีส่วนช่วยอย่างมากต่อตระกูลฉู่ของเรา เราจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นได้ยังไง?”
ฉู่เยว่พั่วถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ดูไม่สมเหตุสมผล แต่ตระกูลฉู่ของเรากำลังใกล้จะล่มสลาย! ท่านและฮูหยินในฐานะผู้นำของตระกูลนี้ ต้องคิดถึงความอยู่รอดของตระกูลเป็นที่ตั้ง!”
คนอื่น ๆ ก็เริ่มออกความเห็นเช่นกัน ฉู่จงเทียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ และท้ายที่สุดเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อยุติการสนทนา “ข้าไม่อนุญาต หลักการของตระกูลฉู่เราไม่ต่างจากหลักการดำรงอยู่ของกองทัพผ้าคลุมสีชาด เนื้อหาหลักการมีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เราจะไม่ทอดทิ้งใคร หากเราทำเช่นนั้น อนาคตต่อไปคนของเราผู้ใดจะภักดีต่อตระกูลอยู่อีก? และชื่อเสียงที่สั่งสมมานับศตวรรษคงจะสิ้นสลายหายไปราวกับอากาศ ข้าไม่อาจยอมได้!”
“จงเทียน…” ฉินหว่านหรูตื้นตันมาก ย้อนกลับไปในตอนนั้น นางตกหลุมรักเขาเพราะความซื่อตรง นางไม่คิดว่าเขาจะยังเป็นคนเดิม แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
สมาชิกที่เหลือต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของผู้นำตระกูล พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมฉู่จงเทียนได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ฉู่เยว่พั่วยังคงไม่ท้อถอย เขาพูดทันทีว่า “ท่านผู้นำตระกูลอย่าได้เข้าใจข้าผิด มองจากเผินแล้ว ๆ แม้จะดูเหมือนว่าเราทอดทิ้งซูอัน แต่จริง ๆ แล้วเรากำลังช่วยเขา!”
ฉู่จงเทียนขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
ฉู่เยว่พั่วอธิบายว่า “ท่านโปรดคิดดู ทำไมพวกเขาถึงยืนยันกำหนดเวลาสามวันนี้แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบซูอันในคฤหาสน์?”
“นี่…” ฉู่จงเทียนเงียบไป ฉินหว่านหรูเริ่มไตร่ตรองเรื่องนี้เช่นกัน
ฉู่เยว่พั่วกล่าวต่อ “แม้ว่าดูเหมือนพวกเขาจะบังคับให้เรามอบตัวซูอัน แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังพยายามบังคับให้ซูอันออกมาจากที่ซ่อนต่างหาก พวกเขากำลังใช้เราเป็นเครื่องมือต่อรอง!”
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูตกตะลึง พวกเขาไม่ใช่คนโง่ แต่เนื่องจากเหตุการณ์หลายอย่างประดังประเดเข้ามามากเกินไปจนมองกลอุบายนี้ไม่กระจ่าง ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านี่เป็นความจริง
ฉินหว่านหรูตอบรับ “ได้ เช่นนั้นเราจะทำตามที่เจ้าแนะนำ!”
…
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขั้วอำนาจต่าง ๆ ของเมืองจันทร์กระจ่างทั้งหมดได้รวมตัวกันใกล้คฤหาสน์ตระกูลฉู่ เพื่อดูว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นอย่างไร
แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็เร่งรุดเข้ามา แม้ว่าตระกูลฉู่จะมีชื่อเสียงที่ดี แต่คนธรรมดาส่วนใหญ่กลับชื่นชมยินดีเมื่อภัยพิบัติมาถึงผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากกว่าพวกเขา ไม่มีใครสนใจที่จะพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังทั้งหมด อันที่จริงด้วยความสามารถของพวกเขา มีโอกาสน้อยนิดที่พวกเขาจะสามารถค้นพบความจริงได้
ซูอันสวมหน้ากากที่ได้มาจากเฉินเซวียน และแฝงตัวเข้ามากับฝูงชน
ไม่นานหลังจากนั้น อ๋องเหลียงและหลิวเหย่าก็นำกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชามายังหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ข้างหลังพวกเขามีชายหลายคนถือโต๊ะพร้อมกับกระถางธูปเข้าไปด้วย
อ๋องเหลียงกระแอมก่อนแล้วกล่าวว่า “ธูปแท่งนี้ใกล้จะหมดแล้ว ซึ่งหมายถึงครบกำหนดเส้นตายสามวัน แต่พวกเจ้ากลับยังไม่มีท่าทีจะมอบตัวซูอันมา! พวกเจ้าอยากให้ข้ากำจัดพวกเจ้าทั้งตระกูลงั้นหรือไง?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจขึ้นเสียง แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งของตัวเอง คำพูดทุกคำของเขาจึงก้องกังวานจนทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
เขาอารมณ์ไม่ดีในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะเขาไปเที่ยวหอสุขนิรันดร์ด้วยความคาดหวังอันสูงส่งถึงชิวฮัวเล่ยคณิกาอันดับหนึ่ง แต่นางกลับไม่ได้อยู่ที่นั่น
แม้ผู้หญิงคนอื่น ๆ จะงดงามอยู่บ้าง แต่การไม่สามารถพบกับสาวงามที่ได้ยินชื่อเสียงมายาวนานนี้ยังคงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจ
ถึงแม้ว่าเขาจะอายุมาก แต่เขาก็ยังเต็มไปด้วยตัณหาและความต้องการทางเพศ