คุณหนูจวินไม่เคยโกรธเช่นนี้มาก่อน
นางเดินกลับไปมาอยู่ในลาน สองมือกุมอยู่หน้าร่าง จะพูดอะไรแต่สิ่งใดก็พูดไม่ออก
คนในลานล้วนตกใจแย่แล้ว
ตั้งแต่รู้จักเด็กสาวคนนี้มา เคยเห็นนางร้องไห้ เคยเห็นนางหัวเราะ มากยิ่งกว่าคือเห็นนางสีหน้าอ่อนโยน เพียงไม่เคยเห็นนางโมโหโกรธา
กระทั่งยามพบโจรพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์กระโดดเข้ามาตะโกนอย่างร้อนรน “ใครทำท่านโมโห?”
คุณหนูจวินกลับไม่ได้ตอบคำนางเหมือนปกติเช่นนั้น เอาแต่สีหน้าโกรธเกรี้ยวเดินไปมา
“คุณหนู…” หลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่รู้ควรถามอะไร ได้แต่โกรธเกรี้ยวตามไปด้วย
บรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านไม่กล้าเอ่ยวาจาแล้วก็ไม่กล้าปลอบ ส่วนผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางมองกระดาษจดหมายกับหลอดไม้ไผ่ที่โยนทิ้งไว้บนพื้นไม่กล้าเก็บ หลิ่วเอ๋อร์ถามยังไม่สนใจ เขาย่อมไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรถาม
กลิ่นหอมของขนมเข่งในลานกำจาย เสียงหัวเราะในหมู่บ้านลอยมาจากตรงนั้นตรงนี้ บรรยากาศด้านนี้ยิ่งแลดูชะงักนิ่ง
“คุณหนูจวิน มานี่มา” เสียงสุขุมของผู้หญิงดังขึ้นพร้อมกับท่าทีไม่ยอมให้ปฏิเสธ
คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่งกลับไม่ได้เข้าไปหาตามคำบอก
ดวงตาของเด็กสาวคนนี้เบิกกลมคล้ายสัตว์เล็กที่โกรธเกรี้ยวตัวหนึ่ง
เด็กเช่นนี้ต้องหยิ่งผยองดื้อรั้นและมีความคิดเป็นของตนเองอย่างที่สุดมาตั้งแต่เล็กแน่
นายหญิงอวี้มองนาง
“ขว้างปาสิ่งของมีประโยชน์อันใด” นางเอ่ย “ไม่อยากดูก็เผาทิ้งเสีย”
หืม นี่คือกำลังสั่งสอนคุณหนูของข้ารึ? หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองนาง
เจ้าเป็นใครกันหึ
นางกำลังจะพูดอะไรกลับเห็นคุณหนูจวินพรูลมหายใจ ก้มตัวเก็บหลอดไม้ไผ่กับแถบข้อความขึ้นมา
“เกิดเรื่องนิดหน่อย” นางยืดตัวขึ้นมาเอ่ยกับผู้หญิงทั้งหลายในเรือน “ท่านน้าทั้งหลายขนมเข่งรออีกประเดี๋ยวค่อยทำเถอะนะ”
ผู้หญิงทั้งหลายผ่อนลมหายใจ
“ได้สิได้ พวกเราจะไปแจกส่วนที่ทำเสร็จแล้วก่อน” พวกนางเอ่ยบอก
พวกนางพูดพลางเก็บสิ่งของว่องไว รีบแต่ไม่ลน
ชายหนุ่มที่ถอยมาอยู่ข้างกายนายหญิงอวี้มองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาติดตามพวกผู้หญิงเหล่านี้มาสองวันแล้ว ไม่ว่าการพูดจาหรือการเคลื่อนไหว ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเหมือนหญิงชาวบ้านธรรมดาที่พบตามปกติยิ่งนัก แต่นาทีนี้เห็นผู้หญิงเหล่านี้เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นหนึ่ง เขาพลันคิดถึงการเคลื่อนไหวของพวกผู้ชายเหล่านั้นยามพบโจรขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ผู้หญิงเหล่านี้ในมือถือถ้วยชามหม้อกระบวยเขียง หากเปลี่ยนเป็นหอกยาวดาบยาวก็คล้ายจะไม่ต่างกับผู้ชายพวกนั้น
แทบพริบตาเดียว ผู้หญิงเหล่านี้ก็เก็บของเสร็จออกจากลานไป
ในลานตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
นายหญิงอวี้ไม่เอ่ยวาจาอีก จับแขนชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปข้างในบ้าง
“ฮ่องเต้” คุณหนูจวินพลันเอ่ยปาก เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง เห็นชัดว่าพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างที่สุด “ต้องการเจรจาสงบศึกกับชาวจิน”
ผู้ดูแลใหญ่ร้องหา สีหน้าตื่นตะลึง นายหญิงอวี้หยุดเท้า ร่างกายสูงสง่าแข็งทื่อไปนิดหนึ่ง
มีเพียงหลิ่วเอ๋อร์ที่ค่อนข้างดีใจ คุณหนูยอมพูดแล้ว ส่วนที่พูดคืออะไรล้วนไม่สำคัญ
“เจรจาสงบศึกอย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่รีบร้อนเอ่ยถาม
เขาไม่ทันสนใจว่าในลานยังมีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูไม่ได้หลบเลี่ยงนาง
“หรือว่าจะ จะทำตามข้อเรียกร้องของชาวจินจริงๆ…” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยต่อ
คุณหนูจวินฉีกทึ้งแถบข้อความในมืออย่างแรง
“ใช่แล้ว” นางตะโกนโกรธเกรี้ยว “ใช่แล้ว เจ้าขยะนั่นน่ะ”
นางพูดไปน้ำตาก็พร่ามัวดวงตาอยู่บ้าง
ไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ? สังหารพี่ชาย บีบพระบิดาจนตาย แย่งชิงแผ่นดิน
ไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ? เพื่อแผ่นดินผืนนี้ ไร้เมตตาไร้คุณธรรมไร้ความภักดีไร้ความกตัญญูเรื่องดั่งเดรัจฉานล้วนทำออกมาได้ ทำไมผู้อื่นจะมาแย่งแผ่นดินของเขา เขาอยากเจรจาสงบศึกเสียแล้วเล่า?
หกเมือง อาณาเขตมากเท่าใด ประชาชนมากเท่าใด เขาบอกไม่เอาก็ไม่เอารึ?
เขาจะไม่เอาแล้ว?
นั่นเป็นสิ่งที่ต่อสู้สิบปีชิงกลับมา แลกมาด้วยเลือดของแม่ทัพทหารมากเท่าไร นั่นเป็นชีวิตที่พลิกฟื้นขึ้นมา ประชาชนและความมั่งคั่งที่เลี้ยงดูมาที่แลกมาด้วยการเฝ้าประจำการปกป้องอย่างลำบากยากเข็ญนับสิบปี
เขาบอกไม่เอาก็ไม่เอาแล้วรึ?
“เขาพูดออกมาได้อย่างไร?” คุณหนูจวินมองไปทางผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชาง “เขาพูดออกมาจากปากได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลใหญ่มองนางแล้วส่ายศีรษะ ไม่ทันรู้สึกตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
คำถามนี้เขาตอบไม่ได้ เขาก็ไม่ทราบ
ทำไมจะเจรจาสงบศึกเสียแล้ว?
ยังไม่ทันเห็นทหารจินสิบหมื่นรวมตัวกันเลยนะ ยังไม่ทันสู้เลยนะ ตอนนี้ก็จะเจรจาสงบศึกแล้ว? นั่นใยไม่ใช่กลัวแล้ว?
“ท่านกั๋วกงยังไม่แพ้นะ” เขาได้แต่เอ่ย “โจรจินมากอีกเท่าใด ท่านกั๋วกงก็ไม่มีทางแพ้หรอก สามหมื่น ห้าหมื่น สิบหมื่น ท่านกั๋วกงไม่มีทางแพ้หรอก ทำไมจะ..”
แม่ทัพทหารข้างหน้ายังไม่กลัวตายเลย พวกเขานั่งปลอดภัยอยู่ข้างหลัง กลัวอะไร?
“พวกเขากลัวอะไร?” คุณหนูจวินมองไปหาหลิ่วเอ๋อร์
“ใช่แล้ว” แม้ไม่รู้ว่าคุณหนูพูดอะไร แต่หลิ่วเอ๋อร์ก็ตะโกนโกรธเกรี้ยวตามทันที “พวกเขากลัวอะไร? พวกเรายังไม่กลัว”
คุณหนูจวินมองดูนางแล้วแค่นหัวเราะ หัวเราะทั้งยังอยากร้องไห้อยู่บ้าง
“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่กลัว เขากลัวอะไร?” นางเอ่ยพลางมองไปหาอีกคนหนึ่งในเรือน
นายหญิงอวี้ไม่ทราบจับแขนของชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาฟังนางพูดอยู่ตั้งแต่เมื่อไร
สีหน้านางเคร่งขรึมนิ่งสงบ ส่วนชายหนุ่มเห็นชัดว่าตื่นตะลึงรวมถึงโกรธเกรี้ยว บนหน้าเส้นเลือดเขียวปูดนูน
คุณหนูจวินมองเขา
“พ่อหนุ่มคนนี้ ตอนนี้ข้ามอบดาบเล่มหนึ่งให้เจ้าไปสังหารโจรจิน เจ้ากล้าหรือไม่?” นางเอ่ย
ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี เป็นคนขี้อายขลาดเขินอย่างยิ่งคนหนึ่ง มาที่นี่สองวันยังไม่เคยเอ่ยปากพูดมาก่อน
“ข้าย่อมกล้า!” เวลานี้เขาตะโกนทันที
“ใช่แล้ว พวกเราล้วนกล้า ทำไมเขาไม่กล้า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
เด็กคนนี้จะถามเอาคำตอบจริงๆ
“เพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองหวาดกลัว” นายหญิงอวี้เอ่ยพลางกวักมือให้คุณหนูจวิน “เอาล่ะ เด็กน้อย อย่าคิดไม่ตกเลย บางคราก็ไม่อาจใช้ความคิดตนมองผู้อื่นได้”
ใช้ความคิดตนมองผู้อื่น ไม่ได้ใช้เช่นนี้กระมัง? ก็เหมือนบทกวีคะนึงหาคนรักยามแยกจากสองวรรคนั่นก่อนหน้านี้
นายหญิงท่านนี้ช่าง…
คุณหนูจวินอดไม่ได้หัวเราะอีกครั้ง ยกมือถูจมูกปากเบ้
เพราะการแทรกครั้งนี้ อารมณ์ของนางจึงฟื้นกลับมาสงบบ้างแล้ว
ใช่แล้ว ไม่อาจใช้ความคิดตนมองผู้อื่นได้ นางกล้า ไม่แน่ว่าคนอื่นจะต้องกล้า
“รอข่าวอย่างละเอียดเถอะ” นางสูดหายใจลึกทีหนึ่งมองไปทางผู้ดูแลใหญ่
ข่าวเร่งด่วน ได้แต่ส่งส่วนสำคัญที่สุดมากับพิราบสื่อสารก่อน รายละเอียดต้องส่งม้าเร็วมาทีหลัง
ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า
“ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขาจากไป แต่นางยืนยิ่งอยู่ในลานไม่ขยับ
บางทีพวกผู้หญิงคงเล่าเรื่องด้านนี้ออกไปแล้ว เสียงหัวเราะที่เดิมมีในหมู่บ้านหายไป ความเงียบสงบของวันวานฟื้นกลับมา เงียบสงบยิ่งกว่าวันวาน กระทั่งเสียงร้องของวัวแพะล้วนไม่มี
“ข้าฝันก็คิดไม่ถึง” คุณหนูจวินเอ่ยกับตนเอง
คิดว่าเขาเป็นคนชั่วร้ายไร้ยางอาย คิดว่าเขาเป็นคนอกตัญญูลืมบุญคุณ คิดว่าเขาเป็นเดรัจฉานคนหนึ่ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับยังเป็นขยะแข็งนอกอ่อนในเช่นนี้คนหนึ่งอีกด้วย
ความเ**้ยมที่ว่า ความเจ้าเล่ห์ที่ว่า ที่แท้ใช้กับครอบครัวของตนเอง ใช้กับคนที่ไม่ได้ระวังเขาเท่านั้น
“คุณหนู ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม
คุณหนูจวินมองไปด้านหน้า
“ข้าอยากด่าคำหยาบ” นางเอ่ย
……………………………………….
“บรรพบุรุษแม่งมึง!”
คนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาจากบนก้อนหิน ปากด่าเสียงดัง โยนจดหมายในมือทิ้งบนพื้น รองเท้าหนังวัวย่ำอย่างแรงข้างบน
เพราะการเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป หนวดเคราแถบหนึ่งที่แขวนไว้กับหูครึ่งหนึ่งจึงร่วงลงมาด้วย
“พี่ใหญ่” บุรุษคนหนึ่งด้านข้างได้ยินเสียงก็มองมาพลางเอ่ยเตือนคำหนึ่ง “หนวดร่วงแล้ว”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่หันหน้ามา เผยดวงหน้าสะอาดสะอ้านคมสันของจูจั้น