จูจั้นไม่ย่ำเท้าอีก เขาเก็บจดหมายบนพื้นกับหนวดขึ้นมา ปากก็โวยวายด่าทอ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” บุรุษเมื่อครู่เดินเข้ามาเอ่ยถาม
“หวงเฉิงเจ้าเฒ่าหนังเหนียวนี่กล่อมฝ่าบาทให้พระองค์ยอมรับการเจรจาสงบศึก” จูจั้นยิ้มหยันเอ่ย
ผู้ชายสีหน้าตกตะลึง
“เขาบ้าไปแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
จูจั้นนั่งลงบนก้อนหินใหม่อีกครั้ง
“เปิดการค้าระหว่างแคว้น ยกหกเมืองให้ ในสถานการณ์ที่พวกเรายังไม่เคยแพ้ คนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้ล้วนบ้าไปแล้ว” เขาเอ่ย “ที่น่าขำคือคนบ้าในใต้หล้านี้มีมากปานนี้”
เขาตบไหล่จูจั้น
“คนที่อยู่ไกลในราชสำนักเหล่านี้กลัวสงครามเกินไปแล้ว วิธีกำจัดความกลัวก็คือทำให้สงครามหยุดลง แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าจะให้สงครามหยุดลงไม่ใช่ไม่รบแต่ต้องรบ” เขาเอ่ย
จูจั้นยิ้มหยัน
“พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเท่านั้น” เขาเอ่ย “สำหรับคนบางพวก สละผืนดินทอดทิ้งประชาชนแล้วเกี่ยวข้องอันใดเล่า อย่างไรพวกเขาก็ยังคงมั่งคั่งเรืองอำนาจ”
เรื่องในราชสำนักห่างไกลเกินไปแล้ว บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าตนเองวิจารณ์ไม่ได้และทำอันใดมิได้
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่ตนเองทำได้เถอะ
จูจั้นมองจดหมายครู่หนึ่ง
“เจรจาสงบศึก” เขาเอ่ย “ในราชสำนักต้องมีคนมากมายไม่เห็นด้วยแน่ ประชาชนแดนเหนือไม่เห็นด้วย เหล่าแม่ทัพแดนเหนือก็ไม่มีทางเห็นด้วย”
เขาพูดพลางสวมหนวดแล้วลุกขึ้นยืน
“พวกเราก็ไม่เห็นด้วย”
พูดจบก็ก้าวยาวไปข้างหน้า
บุรุษคนนั้นขานเรียกรอบด้าน คนมากมายติดตามก้าวเร็วไวไปทิศเหนือ
……………………………………….
“ช่างบ้าบอและน่าขันจริงๆ”
ค่ำคืนดึกดื่นในห้องหนังสือของหนิงเหยียนยังจุดโคมสว่างไสว
“ทหารน้อย ประชาชนยากจน ประเทศขาดแคลนอะไรกัน”
เทียบกับหลายวันก่อนหนิงเหยียนยิ่งแลดูซีดเซียว ชุดขุนนางบนร่างยังไม่ทันผลัดเปลี่ยนก็นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ท้องพระคลังต้าโจวเราร่อยหรอ ควรถามหวงเฉิงดูว่าเขาดูแลท้องพระคลังเอาเงินไปไว้ที่ไหนหมดแล้วเล่า?”
โต๊ะเขียนหนังสือถูกตบเสียงดัง ถ้วยน้ำชากระเทือนสั่นไหว
หนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นมือมาประคอง
“ท่านอา ผลัดอาภรณ์ก่อนเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเบาพลางคลี่ชุดผ้าฝ้ายสำหรับอยู่บ้านที่ถืออยู่ในมือออก
ผลัดผ้าผ่อนเรื่องนี้ล้วนเป็นสาวใช้ทั้งหลายทำ แต่หนิงเหยียนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากท้องพระโรงเข้าบ้าน ปุบไม่พูดสักประโยคก็เข้ามาในห้องหนังสือ ปิดประตูจนดึกปานนี้ก็ไม่ให้คนเข้ามา
นายหญิงรองหนิงไร้หนทางได้แต่ไหว้วานหนิงอวิ๋นเจาให้เข้ามาอ้างว่าส่งเสื้อผ้าลองดูว่าที่แท้เป็นอย่างไร
เรื่องที่ราชสำนักกับชาวจินเจรจาสงบศึกกันเล่าลือออกไปแล้ว
เริ่มแรกประชาชนล้วนคิดว่าเป็นการยกธงยอมแพ้ ทั้งเมืองหลวงบนล่างล้วนยินดีเป็นทิวแถว อย่างไรไม่รบก็เป็นเรื่องดี
แต่จากนั้นข้อเรียกร้องของทูตจินในราชสำนักก็ตื่นตะลึงผู้คน ที่แท้ไม่ใช่มายอมแพ้แต่มาข่มขู่
ข่าวเรื่องทหารจินสิบหมื่นทำให้ทั้งเมืองหลวงเมฆหมอกอึมครึมปกคลุม ตกสู่ความโกลาหล
ขุนนางฝั่งหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ด่าท่อขับไล่ทูตจินทันที ในที่ประชุมขุนนางหลังจากนั้นยังต้องการให้สังหารทูตจินส่งไปยังแนวหน้าแดนเหนือ แสดงออกว่าไม่มีวันปรองดอง
แต่ไม่ทำสงครามอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นอกจากกลุ่มที่โกรธแค้นสนับสนุนการทำสงคราม ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงกับไม่มีทางแก้ไข
“เจรจาสงบศึกน่ะ ก็คือต้องเจรจาไหมเล่า” หวงเฉิงพูดเอื่อยๆ “รู้สึกว่าข้อเรียกร้องไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นก็เจรจาสิ รีบร้อนอะไร”
เจรจาบ้าอะไร ถูกคนขี่อยู่เหนือศีรษะอุจจาระใส่แล้ว ฝ่ามือตบไปไม่ใช่ครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะหารือว่าท่านจะนั่งลงถ่ายหรือไม่อีกรึ?
ถ้อยคำที่สองฝ่ายด่ากันหยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ท้ายที่สุดในท้องพระโรงขุนนางชราหลายคนก็ตีกับพวกหวงเฉิงขึ้นมาตรงๆ ท้องพระโรงโกลาหล ฮ่องเต้พิโรธจนประชวรพระวาโย
แต่หลังจากนั้นหวงเฉิงก็ยังไปเจรจาจริงๆ นอกจากนี้เขาถึงกับเจรจาได้จริงๆ
“ไม่เปิดการค้าระหว่างแคว้นได้ ขอแค่สามเมืองเท่านั้น พวกเขาก็ไร้หนทางเช่นกันจึงอยากขอทางรอด นอกจากนี้ถูกเรียกว่าประเทศบริวารของต้าโจว ส่งบรรณาการก็ได้”
ประเทศบริวาร บรรณการ
สองเรื่องนี้ทำให้พระเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกาย
แม้บรรณาการเป็นเงินไม่เท่าไร ทว่านี่เป็นท่าทีอย่างหนึ่งว่ายอมก้มหัวสวามิภักดิ์
ทำให้ศัตรูในอดีตแห่งหนึ่งก้มศีรษะสวามิภักดิ์ นั่นคือความสำเร็จนะ เอาความสำเร็จปลอบประโลมเบื้องหน้าบรรพชนบรรพบุรุษได้แล้ว
“นี่จะนับว่าสำเร็จได้ยังไง!”
หนิงเหยียนลุกขึ้นยืนก้าวเดินเหมือนเช่นอยู่ในท้องพระโรงอย่างนั้น
“ยังต้องยกเมืองให้สามเมืองนะ นี่ยังคงไม่ใช่เจรจาสงบศึก นี่ยังคงเป็นการข่มขู่”
“อะไรเรียกก้มหัวสวามิภักดิ์ การทำให้อีกฝ่ายก้มหัวสวามิภักดิ์แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้มาด้วยพระคุณและการมอบรางวัลยกประโยชน์ให้”
“มีเพียงสู้ถึงยอมจำนน”
“ข้าไม่เชื่อว่าต้าโจวอันยิ่งใหญ่ของพวกเราแค่ทหารจินกระจ้อยร่อยสิบหมื่นก็ชนะไม่ได้”
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบมองดูหนิงเหยียนโกรธเกรี้ยว
“กรมขุนนางบอกว่าประชาชนยากจนประเทศขาดแคลนจึงสิ้นเปลืองไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น
“คนที่สิ้นเปลืองไม่ได้ยิ่งกว่าคือชาวจิน” หนิงเหยียนคิ้วตั้งเอ่ยสวน
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“ท่านอาไม่สู้ผลัดผ้าผ่อนกินอะไรสักหน่อยก่อน” เขาพูดขึ้นมา
หนิงเหยียนนั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือใหม่อีกครั้ง
“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยพลางยกพู่กัน “ข้าเขียนฎีกาชิ้นนี้เสร็จจะเข้าวังทันที”
ฎีกานี่ย่อมเป็นการคัดค้านพวกหวงเฉิงที่ต้องการเจรจาสงบศึกรวมถึงเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้รบกับชาวจินต่อ
หนิงอวิ๋นเจาถือชุดผ้าฝ้าย
“ท่านอา” เขาเอ่ย “แต่ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่านี่คือการข่มขู่”
หนิงเหยียนหยุดพู่กันเงยหน้ามองเขา
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” เขาเอ่ยตอบ
ที่พวกหวงเฉิงวิ่งเต้นบนล่างสนับสนุนการเจรจาสงบศึกสุดกำลังได้ ที่จริงก็เป็นเพราะฮ่องเต้พระทัยหวั่นไหวแล้ว
ตอนนี้การโต้เถียงระหว่างสนับสนุนสงครามหรือสนับสนุนสงบศึก พูดตรงๆ แล้วก็คือการทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือกระทำการขัดพระประสงค์
ดังนั้นเรื่องมาถึงวันนี้ ขุนนางมากยิ่งกว่าล้วนไม่พูดจาแล้ว
“ทว่าวาจาสัตย์ซื่อไม่รื่นหู นี่คือเรื่องที่ผู้เป็นขุนนางพึงกระทำ” หนิงเหยียนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หนิงอวิ๋นเจาขานรับ
“ข้าฝนหมึกให้ท่านอา” เขาเอ่ยแล้ววางเสื้อผ้าไว้ด้านข้าง ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ
หนิงเหยียนไม่เอ่ยวาจาอีก ในห้องหนังสือตกสู่ความเงียบ ไฟโคมทอดเงาหนึ่งคนฝนหมึกหนึ่งคนก้มหน้าเขียนหนังสือไวว่องลงบนหน้าต่าง
……………………………………….
วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง อาลักษณ์เจียงจิ่งเพราะโอหังทรยศใส่ร้ายป้ายสีราชสำนัก เนรเทศไปยังเจาโจว
วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ขุนนางแสดงความเห็นหลี่หนานกลับถูกเป็นผิดหลอกลวงเบื้องสูงปลดจากตำแหน่งขุนนาง ขังคุกประณาม
วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองปลดอำมาตย์หนิงเหยียนออกจากตำแหน่ง
……………………………………….
“พูดเช่นนี้ การเจรจาสงบศึกขวางไม่ได้แล้ว?”
คุณหนูจวินวางจดหมายในมือลง เอ่ยขึ้นเรียบเฉย
ครั้งนี้ไม่ได้บันดาลโทสะ ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อย่างระมัดระวัง
“ขอรับ” เขาเอ่ย “มหาบัณฑิตหวงเฉิงมีอำนาจเต็มรับผิดชอบเรื่องการเจรจาสงบศึก”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ยิ้มไปๆ มุมปากก็กลายเป็นยิ้มหยัน
“ข้ารู้แล้ว” ท้ายที่สุดนางเพียงเอ่ย
ถ้าไม่เช่นนั้นยังทำอย่างไรได้ ราชสำนักสูงส่ง เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง พวกเขาชาวบ้านประชาชนตัวเล็กๆ เหล่านี้ยังทำอย่างไรได้
ผู้ดูแลใหญ่ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง
“หากมีข่าวล่าสุดข้าจะส่งมาอีก” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วคำนับถอยไป
คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับเนิ่นนาน
“ตอนนั้นข้าไม่น่าจริงๆ…” นางกระซิบพึมพำ “ไม่น่าตายไปอย่างนั้นจริงๆ น่าจะฆ่าเขาให้ตายไปเสียจริงๆ ขยะชิ้นหนึ่งเช่นนี้ข้ายังฆ่าไม่ตาย ล้มเหลวจริงๆ”
นางครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกขาวโพลนไปหมด
นอกประตูเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“คุณหนูจวิน” เสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้นด้านนอก
คุณหนูจวินขานรับ ม่านประตูหนาเลิกขึ้น นายหญิงอวี้เดินเข้ามา
นางยังคงสวมเสื้อลายที่พวกหญิงชาวบ้านด้านนั้นส่งมาเช่นเดิม หลังพักฟื้นหลายวัน เท้าหายดีจนเคลื่อนไหวได้ตามใจแล้ว
หายดีแล้ว คุณหนูจวินมองดูนางจากนั้นได้สติกลับมา
หายดีแล้วก็เดินทางได้แล้ว นางล้วนล้มเลือนไปเสียแล้ว
“นายหญิงอวี้” นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะเตรียมตัวสักครู่ วันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองต้าหมิง”
นายหญิงอวี้มองนางพลางส่ายศีรษะ
“ไม่ คุณหนูจวิน” นางเอ่ย “ข้าไม่คิดไปเมืองต้าหมิงแล้ว ข้าจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายสักหน่อย”