บทที่ 646 ความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุด

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ช่วงหนึ่งของทางด้านใน เดิมทีควรจะมืดทึบ แต่ทุกหนทุกแห่งของถ้ำล้วนแตกร้าว แต่ละเส้นรอยแยกเล็กใหญ่แตกต่างกันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง แสงสว่างก็เข้ามาจากรอยแยกเหล่านี้

ฉะนั้น ในถ้ำก็ไม่ได้มืดสนิทไร้แสงสว่าง

บนพื้นคราบเลือดเก่าใหม่เหล่านั้นไม่เหมือนกัน ยิ่งไปถึงด้านในคราบเลือดยิ่งมากขึ้น

ไม่ช้า บนพื้นก็สามารถเห็นกระดูกเล็กละเอียดได้รางๆ ไม่ต้องดูอย่างละเอียดก็รู้ว่านั่นคือกระดูกมนุษย์ มีนิ้วมือนิ้วเท้าประเภทนั้น ถึงด้านในแล้ว กระดูกยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็สามารถเห็นกะโหลกที่ถูกฉีกขาด

เวลานี้ เสียงดั่งฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง

เสียงดังมาก

เหมือนดั่งระฆังใหญ่ของวัดในภูเขา ดังทีหนึ่ง ก้องกังวาน ดังไกลไปถึงฟากฟ้า

จื่อซีจื่อเฟิงติดตามอยู่ข้างกายติดๆ เพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์

สุดท้าย พวกเขาเห็นแล้วว่าเสียงคือวัตถุใดปล่อยออกมากันแน่ เป็นใบหน้าคนชราหน้าหนึ่งที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาทั่วไปสองเท่า บนกำแพงหินตรงสุดทางของถ้ำ เหมือนกับว่าถูกฝังเข้าไปเช่นนั้น เผยให้เห็นเพียงใบหน้าออกมา

เวลานี้ใบหน้าใหญ่นั้น ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือเหตุผลอะไร ใบหน้ายับย่นเข้าหากัน

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังสามารถมองออกว่าเขาเป็นใบหน้าของคนที่มีชีวิต

เสียงของพวกเขาไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา อย่างน้อยขณะที่เข้ามา ก็เกิดความเคลื่อนไหวออกมาแล้ว แต่หากเป็นคนธรรมดา จะพบเห็นการมาถึงของพวกเขาแล้วเป็นแน่

แต่ทว่า ใบหน้าใหญ่ๆนั่นยังไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขา กระทั่งเมื่อใบหน้าใหญ่นั่นลืมตาขึ้น หลานเยาเยาและจื่อซีจื่อเฟิงก็ได้หลบไปด้านหลังของกำแพงหินที่โผล่ออกมา เขากลับมองถ้ำที่ว่างเปล่าด้านหน้าอย่างสงสัย

จากนั้น!

เปิดปากเล็กน้อย เสียงที่ใหญ่ดังกังวานนั่น ดังผ่านออกมาจากปากถ้ำรวมถึงรอยแยกที่แตกออกมาทุกทิศทาง แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนฟ้าร้อง

อันที่จริงนี่เหมือนกับคนเป่าขลุ่ยไม้ไผ่เช่นนั้น เสียงที่ใบหน้านั้นเปล่งออกมาก็เหมือนดั่งคนเป่าลมออกมา และขลุ่ยไม้ไผ่ก็เหมือนกับถ้ำเล็กๆยาวๆที่มีรอยแยกมากมาย เสียงขลุ่ยที่ออกมาก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ทุกคนได้ยินในตอนนี้

หลานเยาเยาเห็นเพียงใบหน้าที่ยับยู่ยี่ใบนั้น

แต่เพียงแค่ใบหน้านี้ ทิ่มแทงสมองของนางให้เจ็บปวดในทันที ความแปลกหน้าอีกทั้งความคุ้นเคย ทั้งยังความทรงจำแสนลึกล้ำที่ถูกปิดผนึกดั่งเศษเสี้ยว ผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน

ปวด……

ปวดหัวจนแทบจะระเบิดออก แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้ จากสมองขยายไปถึงกระดูกแขนขานับร้อย ทุกที่ที่ไปถึง ล้วนเจ็บปวดจนทำให้นางสั่นเทา

ในสมองปรากฏความทรงจำแต่ละเหตุการณ์ที่ถูกปิดผนึกไว้เนิ่นนานมาก…….

“แม้ว่าจะใช้ทั้งชีวิต เสียสละทุกอย่าง ข้าก็ต้องการย้อนกลับไปช่วยเขา ให้เขาอยู่บนโลกมนุษย์”

“ถึงขีดจำกัดที่สุดแล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีสามหัวหกแขนก็ไม่สามารถแบกรับได้ ครั้งนี้ อาจจะเป็นเพียงการไปที่ไม่ได้กลับ แม้ว่าเช่นนี้ เจ้ายังต้องการลองอีกหรือ?” เสียงสอบถามที่แก่ชราเสียงหนึ่ง

“ไม่ลังเลและเปลี่ยนใจ”

ชีวิตมนุษย์ในโลก ก็ไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นเล็กน้อยนั่นหรือ?

ไม่ลังเลและเปลี่ยนใจแล้วจะอย่างไรอีก?

เขาคุ้มค่านี่!

นั้นคือในครั้งแรกนางข้ามเวลามาถึงยุคแรก หลังจากที่ตายตามกันไปกับฮ่องเต้รุ่นแรกหลังจากกลับไปยุคปัจจุบันแล้ว ทรุดโทรมไปช่วงเวลาหนึ่ง และบ้าคลั่งช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อหาทางกลับมาก่อนหน้าที่ฮ่องเต้รุ่นแรกจะตาย ใช้ทั้งชีวิต ตลอดมาก็ไม่สามารถพบหน้าเขาดั่งปรารถนาได้อีก

แม้ว่านางจะเคยข้ามเวลา

แต่ก็เป็นเพียงหลังจากที่เคยได้มาถึงโลกนี้ไม่กี่ครั้ง แต่ล้วนไม่สามารถอยู่อย่างยาวนาน แม้แต่การกลับชาติมาเกิดของฮ่องเต้รุ่นแรกก็ไม่มีปัญญาหาพบได้ ก็ถูกกาลเวลาที่แตกออกดูดเข้าไปแล้ว

แต่เรื่องการข้ามเวลาชนิดนี้

ต้องแบกรับความเจ็บปวด เป็นหลายเท่าของคนทั่วไป บนโลกแทบจะไม่มีคนที่สามารถแบกรับได้

นางคือคนแรกที่แบกรับได้ ทั้งยังฝืนรับความเจ็บปวดของการข้ามเวลาไม่กี่ครั้งอีก ครั้งสุดท้ายได้ถึงขีดจำกัดแล้ว แม้แต่ร่างกายก็รับไม่ไหว ประสบกับอันตรายมากมายยังสามารถมีชีวิตรอดได้ แต่คิดไม่ถึง ร่างกายกลับไม่สามารถข้ามเวลาไปได้แล้ว

เดิมทีคิดว่านางก็จะตายในตอนนี้

ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายจิตวิญญาณจะข้ามเวลามาได้จริงๆ ในส่วนของความทรงจำและระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับถูกลบและเริ่มใหม่อีกครั้ง

แต่ทว่า ร่างกายที่จิตวิญญาณข้ามเวลามาจะเหมาะสมเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางใช้ได้ทั้งชีวิต

คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง การเดินทางของทะเลทราย ร่างกายเพิ่มความแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วโดยสมบูรณ์ กาลเวลาแยกออกกลับส่งร่างกายเดิมของนางมา นางก็ได้มองเห็นทุกอย่างของโลกนี้อีกครั้ง

พูดได้เพียงประโยคเดียว สวรรค์สงสารนาง!

ตอนนี้เห็นใบหน้าใหญ่ๆนี้แล้ว กระเทือนความทรงจำทุกอย่างที่ปิดซ่อนไว้ของนาง ในเวลานี้

ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

คนจากนอกแผ่นดิน…….

นี่ก็คือใบหน้าของคนจากนอกแผ่นดิน

คนจากนอกแผ่นดินเหล่านั้นไม่เพียงใบหน้าเป็นสองเท่าของคนทั่วไป แม้แต่ทั้งร่างกาย ก็สูงกว่าคนปกติสองเท่า

นึกย้อนถึงใบหน้านั้น คาดว่าถูกขังไว้ที่นี่เนิ่นนานหลายปีแล้ว

มานานเท่าไหร่แล้ว แล้วเป็นคนจากนอกแผ่นดินจำพวกไหนอีก?

จื่อเฟิงเห็นสีหน้าของนางซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเล็กๆ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าใกล้เล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร ก็ถอยกลับไปเล็กน้อยอีก ใช้ข้อศอกกระทุ้งจื่อซี บอกใบ้ให้เขามองไปทางซ่างกวนหนานซู่

เมื่อจื่อซีมอง!

ตกตะลึงในพริบตา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที ตบไหล่ของซ่างกวนหนานซู่เบาๆ กดเสียงให้ต่ำเป็นที่สุด

“ท่านเป็นอะไรขอรับ? คุณชายซ่างกวน!”

หลานเยาเยาส่ายศีรษะ กำหนดให้สภาพจิตใจมั่นคง

มองดูโดยรอบทุกทาง เห็นกำแพงหินด้านขวาที่ฝังใบหน้านั่นของคนจากนอกแผ่นดินไว้พอดี มีรอยแยกสองสามรอยพอดี รอยที่ใหญ่ที่สุดจุคนได้คนถึงสองคน และประจวบเหมาะกับพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากรอยแยกจุดนั้นพอดี

หลานเยาเยาไม่พูดจา

ใช้เพียงสายตาบอกใบ้ จื่อเฟิงจื่อซีก็เข้าใจความหมายของนางแล้ว

รอจนคนจากนอกแผ่นดินเจ็บปวดจนปิดตาลง ระหว่างที่เสียงคำรามดัง สามคนแฉลบตัวผ่านที่กำบังจุดหนึ่งตามลำดับ จากนั้นก็แฉลบตัวเข้าไปที่รอยแยกที่ใหญ่ที่สุดรอยนั้นตามลำดับอีก

รอยแยกใหญ่ๆที่แตกออกไม่สม่ำเสมออย่างมาก บางที่กว้าง บางที่แคบ พื้นผิวของที่แยกออกก็ล้วนไม่ราบเรียบ เว้าโค้งขรุขระ กระทั่งกลับเหมือนหนามที่แหลมคมเช่นนั้น

เพียงแต่……

ตั้งแต่เดินมาในรอยแตก

หลานเยาเยาก็พบร่องรอยมากมาย ใหม่เก่าไม่เหมือนกัน

เห็นได้ชัด ที่นี่ไม่ว่าอดีตหรือระยะนี้ล้วนมีคนเคยเหยียบย่ำมาก่อน

แต่ทว่า ทำให้คนคิดไม่ถึงคือ ขณะที่เดินได้ประมาณช่วงกลางภูเขา ด้านในว่างเปล่าเป็นที่ว่างใหญ่มากอย่างคาดไม่ถึง

เมื่อมองทางด้านบน ทั้งหมดเป็นแสงสว่างส่องเข้ามาไม่เป็นระเบียบ ทำให้ด้านในนี้ไม่ได้มืดสนิทขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้สว่างมาก

แต่ ในนี้เคยมีคนอยู่มาก่อน

มีเทียนที่ยังจุดไม่หมด ยังมีคบไฟเสียบอยู่ที่รอยแตกเล็กๆ ล้วนมีใยแมงมุมเต็มไปหมด

“คุณชายซ่างกวนขอรับ ตรงนี้มีคบไฟที่เหมือนเพิ่งจุดเมื่อคืน ตอนนี้มอดหมดแล้ว ขี้เถ้ายังอุ่นๆอยู่ขอรับ”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป!

ทุกคนล้วนคิดถึงส้งเย่นกุย

หลานเยาเยาก็ไม่ยกเว้น

อีกทั้งนางสามารถสัมผัสได้ เวลานี้ส้งเย่นกุยก็อยู่ที่นี่ เพียงแค่ไม่รู้ว่าอยู่ในรอยแยกเส้นไหน

แต่นางสัมผัสได้อย่างเลือนราง เหมือนกับว่าส้งเย่นกุยไม่สงบเป็นอย่างมาก และเหมือนกับว่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

นางจำเป็นต้องหาเขาให้พบให้เร็วที่สุด!

ส้งเย่นกุยตั้งแต่โบราณมา วิทยายุทธกำลังภายในล้วนไม่เหมือนกับคนที่นี่ ยุคแรก พลังเหนือธรรมชาติเต็มเปี่ยม บรรยากาศดีเป็นที่สุด ทรัพยากรน้ำสะอาดเป็นพิเศษ เวลานั้นการเจริญเติบโตของต้นไม้ใบหญ้าเทียบกับตอนนี้ สภาพแตกต่างกันอย่างมากมาย

ดังนั้น แม้ว่าส้งเย่นกุยอยู่ในยุคแรก วิทยายุทธกำลังภายในสามารถนับได้เพียงแค่ค่อนข้างสูงส่ง แต่เทียบกับคนในปัจจุบัน แม้ขณะที่ราชครูเทียนเวิงแข็งแกร่งเป็นที่สุด ก็ไม่มีทางเทียบกับเขาได้

แต่…….

ส้งเย่นกุยกลัวของสิ่งหนึ่งที่สุด

นั่นก็คือผีพุ่งไต้เป็นอันๆ

และก็คืออุกกาบาตที่ตกลงมาจากท้องฟ้า

ตัวของส้งเย่นกุยเดิมทีเป็นเพียงหัวใจสำคัญของระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ปลูกถ่ายในสมองของนาง ต่อจากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของคน หลังจากนั้นอีกสามารถอยู่ร่วมกันคนที่มีชีวิตได้ สามารถฝึกฝนวิทยายุทธเขียนอักษรดั่งคนทั่วไปได้

หลังจากนั้น ร่างกายนางตาย ถูกกาลเวลาที่แตกออกดูดกลับยุคปัจจุบัน

ระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและหัวใจสำคัญในสมองของนางแยกออกจากกัน หลังจากกินยาฉางตานแล้ว ใช้ชีวิตร่วมกับส้งเย่นกุยในเดิมที แต่แม้ว่าผ่านไปพันปีแล้ว ส้งเย่นกุยมีส่วนหนึ่งที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ อุกกาบาตก็คือศัตรูที่แข็งแกร่งของเขาโดยกำเนิด

หากว่าส้งเย่นกุยกลัว ที่นั่นก็จะต้องมีอุกกาบาตเป็นแน่

จำได้ว่ายุคแรก ดาวนับหมื่นร่วงตก คิดว่าจะต้องมีอุกกาบาตมากมายที่ยังไม่มอดดับกระทบบนพื้น เดิมทีภูเขานี้ทั้งลูกก็อาจจะเป็นอุกกาบาต

ในไม่ช้า หลานเยาเยาก็พบเครื่องหมายที่ส้งเย่นกุยทิ้งให้นาง

ตามเครื่องหมายชี้ทางเข้าไปในรอยแยก ไม่ช้าก็เห็นเลือดสด……