บทที่ 645 คราบเลือดลากเป็นรอย

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

……

ถ้าที่ผู้เฒ่าพูด ต้องลงจากหน้าผาไปเอง จุดตรงเศษหนึ่งส่วนสาม พึ่งจะสามารถเห็นถ้ำได้

สาเหตุที่ผู้เฒ่ารู้จักสถานที่แห่งนี้ ก็เพราะบนหน้าผามีหญ้าประหลาดล้ำค่าขึ้นอยู่มากมาย ต้องการได้มา ก็จำเป็นต้องใช้เชือกใหญ่ๆเหมือนข้อมือที่ยาวๆ ปลายด้านหนึ่งผูกไว้บนตัว ปลายอีกด้านมัดไว้บนต้นไม้บนหน้าผาให้มั่นคง

ล้วนกล่าวกันว่าสถานที่ยิ่งอันตรายเป็นพิเศษ ยิ่งมีสิ่งของล้ำค่าง่ายๆ

นี่ก็เป็นความจริงไม่เท็จ

โดยเฉพาะไม่เคยมีคนเหยียบเข้าไป ดอกไม้ต้นหญ้าต้นไม้ที่ล้ำค่า หรือสิ่งของอื่นๆที่มีมูลค่า ก็ไม่มีคนเก็บเกี่ยว

ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าก็ค่อนข้างหาได้ยาก

ขณะที่ผู้เฒ่ากำลังเก็บหญ้าแปลกประหลาดที่ล้ำค่า จึงเห็นถ้ำ

หลานเยาเยาพวกเขาไปตามทางเส้นเล็กๆเส้นหนึ่งที่น้อยคนจะเหยียบเข้าไป เดินไปทางในป่าลึก แต่ไม่ช้าก็เดินถึงทางตัน ด้านหน้าไม่มีทางแล้ว

ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางแล้ว

แต่คือทางเส้นเล็กๆทีแรก เดินจนสุดทางแล้ว จุดที่ยิ่งลึกเข้าไปไม่มีร่องรอยของเส้นทางเล็กๆแล้ว

แต่สุดทางด้านขวา มีพุ่มหญ้าหรือพุ่มไม้เตี้ยๆที่มีหนามถูกคนตั้งใจถางออกก่อนแล้ว ทำเป็นทางทางหนึ่งที่ยังนับได้ว่าเป็นทางเล็กๆ

เดินตามทางเล็กๆ มาถึงตรงที่เป็นหน้าผา มีต้นไม้ผุดขึ้นมาสองต้นพอดี ตรงโคนต้นไม้เก่าแก่สองต้นนั้นผูกเชือกไว้สองเส้น

ดูจากเชือก รวมถึงร่องรอยการผูกมัดบนต้นไม้

มีคนลงไปที่หน้าผาแล้ว

ไม่ต้องอธิบาย หลานเยาเยาตรวจสอบดูว่าเชือกหนาแน่นดีหรือไม่ครู่หนึ่ง จากนั้นจับเชือกแน่น ขึ้นและลงไปเอง หายตัวไปจากสายของทุกคนอย่างรวดเร็ว

จื่อเฟิงและจื่อซีตามหลังไปติดๆอย่างแน่นอน ทีแรกเซียวจิ่นหยูและคนอื่นๆก็อยากตามลงไปด้วยมาก ช่วยไม่ได้ดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าสภาพแวดล้อมรอบๆค่อนข้างผิดปกติ ไม่ช้านกที่เกาะอยู่ต้นไม้ก็ถูกทำให้ตกใจบินไปอย่างฉับพลัน จากไกลถึงใกล้ พวกเขารีบเฝ้าระวังเชือกอยู่ด้านบนทันที

ถ้าหากว่าลงไปทั้งหมด หากด้านบนมีคนมาตัดเชือกทิ้ง คนที่ลงหน้าผาไปก็เหมือนตั๊กแตนบนเชือกเส้นหนึ่ง ไม่ตายนั่นก็เรียกว่าตกอยู่ในสภาพที่ลำบากแล้ว

เป็นดังคาด

หลานเยาเยาพวกเขาเพิ่งลงไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แต่ละคนปิดบังหน้าตา สวมชุดอย่างทะมัดทะแมงแปลกประหลาด ต่างไปจากชุดนักฆ่ายิงจวนโดยสิ้นเชิง แต่แต่ละคนกลับสวมชุดแปลกประหลาด เหมือนกับเรียนวิทยายุทธของลัทธินอกรีต

เซียวจิ่นหยูเห็นแล้ว คิ้วขมวดจนเป็นร่อง

คนกลุ่มนี้เขาเคยเห็นหน้าไม่กี่ครั้ง อาศัยอยู่บนภูเขารอบๆเมืองเลยหมิง น้อยมากที่จะไปมาหาสู่กับคนในเมือง พฤติกรรมค่อนข้างแปลกประหลาดเมื่อเทียบกับคนทั่วไป ที่ผ่านมามีหน้าที่ปกป้องเสียงฟ้าร้อง

แต่ว่า…….

ปกติเหล่าผู้คนขึ้นภูเขาเก็บยา หรือเที่ยวเล่นในภูเขา พวกเขาก็จะไม่ก้าวก่าย

แต่ตอนนี้กลับขยับอาวุธสงครามครั้งใหญ่ ผู้คนจำนวนมากราวกับว่ามาด้วยความเตรียมพร้อม

ข้างกายเซียวจิ่นหยูมีทหารไม่กี่คน แต่ก่อนพวกเขาเจอทหาร ก็จะไว้หน้าระดับหนึ่ง แต่ตอนแม้จะมองก็ไม่มองสักแวบ มองพวกเขาเป็นอากาศโดยตรง

คนที่เป็นผู้นำกวาดตามองเย็นหงฮัวหยู่อันพวกนางแวบหนึ่ง สุดท้ายชะงักสายตาไว้บนร่างของเซียวจิ่นหยู ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมายเพราะตั้งใจอดกลั้นความโกรธ

“คุณชายเซียวไม่ไหว้ขอพรพระในวิหารเทพดีๆ ทำไมเข้ามาเดินเล่นในป่าลึกนี้?”

แสดงน้ำเสียงซักถามตำหนิอย่างเห็นได้ชัดเป็นที่สุด

ทันทีที่ตอบผิดนิดหน่อย เป็นไปได้มากว่าจะก่อให้เกิดการฆ่าฟันฉากหนึ่ง

ดูจากจำนวนคน จำนวนคนฝ่ายตรงข้ามพูดได้ว่าเต็มไปหมด และพวกเขาเหลือเฝ้าอยู่บนหน้าผาไม่กี่คน เกรงว่าแม้พวกเขามีคนเป็นหนึ่งส่วนสิบก็ไม่พอ

ต่อสู้กันขึ้นมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิง สำคัญที่สุดก็คือ คนเหล่านั้นสังเกตเห็นเชือกที่มัดอยู่บนต้นไม้แล้ว ถ้าหากพวกเขาตัดเชือกทิ้ง แม้ว่าซ่างกวนหนานซู่พวกเขาจะไม่ตายหลังเจอภัยครั้งใหญ่ พวกเขาก็ขึ้นมาไม่ได้อีกตลอดกาล

คิดถึงตรงนี้ คิ้วที่ขมวดแน่นของเซียวจิ่นหยูค่อยๆผ่อนคลาย ริมฝีปากบางๆเริ่มขยับ

“ระยะนี้มีเพื่อนมาสี่ห้าคน เหมือนกับน้องสาวของตัวเอง ล้วนเป็นคนที่ชอบกิน แต่ที่บ้านพอมีเงิน กินเนื้อดีๆปลาดีๆจนคุ้นชินแล้ว อยากเปลี่ยนรสนิยม

พอดีพวกเขาจะอยู่ที่เมืองเลยหมิงไม่กี่วัน ถือโอกาสที่พวกเขาขึ้นภูเขาหนานนี้มาสักการะ จึงเสนอให้มาค้นหาของล้ำค่าในภูเขา”

ในมือของพระราชธิดาจาวหยางก็มีเห็ดที่เด็ดติดมือมาพอดี

ด้วยเหตุนี้นางโบกเห็ดที่อยู่ในมือ

ทีแรกฝ่ายตรงข้ามมั่นใจแล้วว่าพวกเขาคือมุ่งมาเพราะเสียงฟ้าร้องดัง ตอนนี้เห็นเห็ดกลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้ว

กล่าวจากหลักการ

หากว่าพุ่งมาเพราะเสียงฟ้าร้องพอดี ก็คงไม่พาผู้หญิงมา ยังเป็นผู้หญิงที่ไม่มีกำลังภายในแม้แต่น้อยอีก

คิดดูแล้วคำพูดที่เซียวจิ่นหยูกล่าว ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล

“เช่นนั้นทำไมจึงผูกเชือกลงหน้าผา?”

คนที่เป็นผู้นำฝ่ายตรงข้ามมองไปทางเชือกที่ผูกบนต้นไม้โบราณ ดวงตาหรี่แล้วหรี่อีก มือคลำไปทางอาวุธที่ช่วงเอวแล้ว…….

จากสายตาของเขาที่มองไป เซียวจิ่นหยูหัวเราะเบาๆอย่างฉับพลัน ทำให้คนที่อยู่ตรงข้ามรู้สึกได้ถึงว่าประหลาดใจในพริบตา

“ท่านหัวเราะทำไม?”

“แน่นอนว่าหัวเราะพวกเจ้าที่ไม่รู้อุปนิสัยของเพื่อนเหล่านั้นของข้า พวกท่านอาศัยอยู่ในภูเขามาเป็นเวลานาน แน่นอนว่าไม่รู้สึกแปลกกับของล้ำค่าในภูเขา แต่พวกเขาไม่เหมือนกัน รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

นี่ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่ามีคนเก็บเห็ดหลินจือร้อยปีได้ที่ภูเขาหนาน ยังมีหญ้าวิเศษผลไม้วิเศษอะไรอีก

ข้าบอกเป็นร้อยเป็นพัน เหล่านี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ พวกเขาไม่เชื่อ พอดีเมื่อครู่ขณะกำลังเซ่นไหว้อยู่ที่วิหารเทพแห่งภูเขา ได้ยินว่ามีคนเก็บยาสมุนไพรล้ำค่าได้ ไม่ได้อธิบายชี้แจงก็มาแล้ว

คำเล่าลือทำให้พี่น้องเข้าใจผิดได้จริงๆ”

เห็ดหลินจือร้อยปี โสมร้อยปี ยังมีผลไม้ล้ำค่าที่หายากอะไร ทั้งหมดเป็นคำร่ำลือ

แต่ในภูเขานี้ มียาสมุนไพรที่ล้ำค่าอยู่มากมายจริงๆ และมีคนเก็บได้จริงๆ ก็เหมือนกับผู้เฒ่าที่เฝ้ารักษาวิหารเทพแห่งภูเขา

เซียวจิ่นหยูพูดความจริงครึ่งหนึ่งเท็จครึ่งหนึ่งผสมกัน ฝ่ายตรงข้ามก็เชื่อเป็นส่วนใหญ่

แต่พวกเขากลับไม่ยอมจากไปสักที ยังบอกว่าต้องการรอสอบถามคนที่ขึ้นมาจากหน้าผาอีก

นี่ทำให้เซียวจิ่นหยูปิดปากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างไม่พอใจแล้ว

ทหารเห็นดังนั้น รีบไกล่เกลี่ยทันที อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามคนมากกำลังมาก สุดท้ายทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงอยู่นิ่งๆเท่านั้น

…….

หลานเยาเยาทางนี้

ทั่วทุกที่บนหน้าผาล้วนมีวัชพืชเขียวขจีเติบโต มีกิ่งก้านใบหญ้าบางอย่างที่มีหนามแข็งๆ ใบไม้บางใบขนปุย ดูแล้วสวยงาม ความจริงกลับมีพิษ สามารถทำให้คนเส้นประสาทชาได้

แม้ไม่ใช่พิษร้าย ไม่มีทางทำให้คนจบชีวิตได้

แต่ที่อันตรายที่สุดก็อันตรายที่ ตัวของพวกเขาอยู่ที่หน้าผา หากว่ามือสองข้างถูกทำให้ชา มีความเป็นได้มากที่จะตกเหว

หลานเยาเยาเอายาผงห่อหนึ่งออกมาจากในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โยนขึ้นไปด้านบน จื่อเฟิงที่อยู่ด้านบนไม่ไกลมากรับไว้ด้วยจิตใต้สำนึก เห็นยาผงที่เหมือนเคยได้รู้จักในอดีตที่สามารถแก้พิษร้อยชนิดได้ จื่อเฟิงก็เพียงตะลึงเล็กน้อย รีบใช้ทั้งมือและปาก เอายาผงโปรยบนผิวหนังที่อยู่ด้านนอก

หลังจากทำเสร็จแล้ว ตะโกนทีหนึ่ง จื่อซีอยู่ด้านบนหัวเขา จากนั้นเหมือนดั่งซ่างกวนหนานซู่ โยนให้จื่อซีโดยตรง

อยู่บนหน้าผาหาอยู่นาน

ในที่สุดจากหญ้ารกที่คนทิ้งเชือกได้เคยทำลาย ค้นหาตำแหน่งโดยประมาณออกมาแล้ว

ในไม่ช้า

พวกเขาก็หาถ้ำถ้ำหนึ่งพบ ด้านบนของถ้ำล้วนเป็นเครือเถาวัลย์เติบโตเลื้อยอยู่ทุกที่ ดูเหมือนงูแต่ละตัวเลื้อยพันออกมาด้านนอก ท่าทางหนาแน่นอย่างมาก

ความจริงทุกที่ล้วนเป็นเถาวัลย์เหล่านี้

เพียงแค่ที่อื่นเห็นได้ไม่ชัดเจน ทั้งยังมีหญ้ารกปกคลุม และอันที่จริงทุกหนทุกแห่งของถ้ำมีเพียงแค่เถาวัลย์เหล่านี้ ใบไม้ก็ไม่มาก

ออกจากเชือก ยืมหญ้ารกๆที่หยั่งรากลึกหรือเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่อย่างแข็งแรง พวกเขาเริ่มเข้าใกล้ทางปากถ้ำ

ไม่ช้าก็มาถึงทางเข้าปากถ้ำ

นี่นั่น หลานเยาเยาเห็นคราบเลือดหลายแห่ง ค่อนข้างนานแล้ว สีเข้มมากแล้ว ยังมีคราบเลือดที่หนึ่งที่ยังใหม่มาก แม้ว่าจะแข็งตัวแล้ว แต่ยังสามารถดูออกว่า นี่คือทิ้งไว้หนึ่งถึงสองวัน

หลานเยาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางกล้ารับรอง ส้งเย่นกุยเคยมาที่นี่แน่นอน

แล้วในเวลานี้

เสียงฟ้าร้องของเมืองเลยหมิงดังก้องกังวานอยู่เนิ่นนาน เสียงหนึ่งต่อกับอีกเสียงหนึ่ง

คล้ายๆกับเสียงที่ได้ยินเมื่อวาน แต่เหมือนกับว่าแตกต่างไปเล็กน้อยอีก

สามารถมั่นใจได้อย่างเดียวคือ เสียงที่เหมือนดั่งฟ้าร้องดังออกมาจากถ้ำจริงๆ อีกทั้งตรงด้านบนถ้ำฟังได้อย่างชัดเจนเป็นพิเศษ

เข้าถ้ำ

คราบเลือดยาวๆบนพื้น คล้ายกับว่าของอะไรถูกลากเข้าไปในตรงส่วนลึกของถ้ำแล้วทิ้งคราบเลือดไว้ จากการสะสมเนิ่นนานหลายปี กลายเป็นร่องรอยที่ไม่ชัดเจนมากนัก

ในนี้ หลานเยาเยาเห็นเครื่องหมายที่ส้งเย่นกุยทิ้งไว้

เขาเข้าไปทางด้านในแล้ว…….

หลังจากดูเครื่องหมาย หลานเยาเยาสีหน้าอธิบายไม่ถูก มองถ้ำที่เหมือนดั่งเหวลึกมีปากใหญ่มหึมาแวบหนึ่ง เพิ่มความเร็วฝีเท้า เคลื่อนย้ายจากตรงส่วนที่ลึกด้วยความรวดเร็ว