บทที่ 644 ถ้ำรอยแยกของตัวภูเขา

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

และในเวลานี้

เสียงดั่งฟ้าร้องนั่นดังขึ้นอีกครั้ง จื่อซีดึงสติกลับมาในชั่วพริบตา แฉลบตัวมาถึงข้างกายของพระราชธิดาจาวหยางคุ้มครองนาง

พระราชธิดาจาวหยางยิ้มแล้ว คิดว่าจื่อซีกลัวเสียงฟ้าร้อง

“วางใจ นั่นเป็นเพียงเสียงฟ้าร้อง ไม่น่ากลัว”

“อืม!”

จื่อซีตอบรับ ยังคงค่อนข้างระมัดระวังตัว แต่ไม่ได้อธิบาย

ตอนนี้ในภูเขาหนานนี้ส่งเสียงฟ้าร้องออกมา น่าแปลกมาก เจ้านายและซ่างกวนหนานซู่ล้วนให้ความสำคัญเป็นที่สุด เขาเข้าใจรางๆ ในภูเขาหนานนี้อาจจะมีคนจากนอกแผ่นดินที่น่ากลัวอยู่

แต่ยังไม่แน่ชัด

ดังนั้นเขาไม่ยอมพูดออกมา ทำให้พระราชธิดาจาวหยางเป็นกังวลโดยไม่มีสาเหตุ

และหลานเยาเยาทางนี้

หลังจากได้ยินเสียงฟ้าร้องเหมือนดั่งการคำรามแล้ว ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยสีหน้าที่ระมัดระวังตัวเหมือนตอนกลางวัน แต่หันหน้าไปทางภูเขาหนาน แววตามีความกังวลจางๆ

ไม่รู้ว่าเจ้าระบบตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว……

เซียวจิ่นหยูเดินมาข้างกายนาง รู้ว่านางเป็นกังวลอะไรอย่างเห็นได้ชัด

“คุณชายซ่างกวนไม่ต้องเป็นกังวล วิหารเทพแห่งภูเขาของภูเขาหนานมีทหารของที่ว่าการเฝ้ารักษา หากด้านในมีอะไรจริงๆ สิบกว่าปีมานี้ เป็นไปไม่ได้ว่าเมืองเลยหมิงจะสงบสุขไร้เรื่องราวมาโดยตลอด

ยิ่งไปกว่านั้นวิทยายุทธของคุณชายส้งสูงส่ง กำลังภายในล้ำลึกคาดเดาไม่ได้ เกรงว่าเป็นราชครูเทียนเวิงขณะที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดก็ไม่มีทางเอามาเปรียบเทียบกับเขาได้ จะไม่มีปัญหาแน่นอน

หากว่าคืนนี้เขาไม่กลับมา พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าสละชีพติดตามท่าน ไปวิหารเทพแห่งภูเขาของภูเขาหนานพร้อมกับท่านเป็นอย่างไร?”

คำพูดครั้งหนึ่ง

ทั้งหมดเป็นคำพูดจากใจจริง

ซ่างกวนหนานซู่ได้รับความสำคัญจากอ๋องเย่ ไม่ว่าอย่างไร ทำสุดความสามารถได้ เขาไม่สามารถปฏิเสธเป็นธรรมดา

“ขอบใจมาก!”

ในเมื่อเจ้าพระยาเซียวพาเซียวจิ่นหยูลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ก็คือไม่อยากเข้าไปพัวพันกับวังวนของความขัดแย้ง เดิมทีนางไม่ปรารถนาที่จะดึงเซียวจิ่นหยูมา แต่ตอนนี้ในคนที่รู้จักคุ้นเคย ก็มีเพียงเขาที่คุ้นเคยที่นี่

ไม่รบกวนไม่ได้

แต่ทว่าหนึ่งคืนผ่านไป ส้งเย่นกุยยังไม่เคยได้กลับมาจริงๆ

นางได้เตรียมทุกอย่างพร้อมขึ้นภูเขาหนานแล้ว

ขณะที่พาจื่อซีจื่อเฟิงพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยม เซียวจิ่นหยูรออยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมนานแล้ว

คล้ายกับมองกันแล้วยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้พูดมากมายนัก คนกลุ่มหนึ่งก็ออกเดินทางไปภูเขาหนาน

ระหว่างนั้น หลานเยาเยารู้ เซียวจิ่นหยูไปภูเขาหนานพร้อมกับนาง ไม่ใช่เพราะว่าต้องการช่วยเหลือนางซะทีเดียว ยังมีเหตุผลอีกชั้นหนึ่งคือ เจ้าพระยาเซียวไปกินอาหารเจที่ภูเขาหนานเจ็ดแปดวัน แต่กลับไม่ลงจากภูเขากลับจวนสักที เขาอยากไปเยี่ยมเขา ขณะที่ลงจากภูเขาก็ถือโอกาสรับเขาลงจากภูเขาด้วย

แม้วันนี้จะไม่ใช่วันที่กำหนดเฉพาะสำหรับเซ่นไหว้เทพแห่งภูเขา

แต่ก็มีกลุ่มคนบางตาไปเซ่นไหว้ขอพรที่ภูเขาหนาน

และบนภูเขาหนาน สถานที่ที่เสียงฟ้าร้องดังออกมา สร้างวิหารแห่งหนึ่งที่ยังนับได้ว่าสง่างาม แต่ทว่าเทวรูปด้านในกลับค่อนข้างแปลกประหลาด หัวเป็นสัตว์ตัวเป็นคน มีปีกมีเท้า ยืนอยู่ด้านในวิหารที่ก่อสร้าง

หัวไก่ที่ใส่ไว้บนร่างของคนนี้ แล้วเสียบปีนกอินทรีที่ขนร่วงหมดแล้วคู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าใครคิดเทวรูปนี้ออกมา อัปลักษณ์เป็นที่สุดจริงๆ

เซียวจิ่นหยูกับเจ้าพระยาเซียวไม่มีตำแหน่งขุนนางติดตัว แต่ไม่ว่าอยู่ในเมืองเลยหมิง หรือว่าบนภูเขาหนาน ล้วนได้รับความนับถือจากผู้คนเป็นที่สุด

ดูๆ ทหารที่เฝ้ารักษาวิหารเทพแห่งภูเขา พบเซียวจิ่นหยูแล้ว ก็ทำความเคารพแล้วกล่าวอย่างเกรงใจ: “คุณชายเซียวขอรับ”

ในวิหาร คนมากมายกำลังคุกเข่าจุดธูปไหว้ด้านหน้าเทพเจ้าสายฟ้าที่ดุร้าย ขี้ธูปในกระถางธูปใหญ่ล้นออกมาหมดแล้ว พอที่จะอธิบายได้ว่าที่นี่มีการจุดธูปมากมาย บรรดาผู้คนกำลังขอพรความร่มเย็นเป็นสุขสมดั่งปรารถนา โชดดีราบรื่นอะไร

หลานเยาเยากลับสังเกตด้านในขึ้นมา ยังไม่ได้ที่มาที่ไปของเรื่องราว ความโกลาหลด้านนอกรอบหนึ่ง

นางรีบออกไปดู

ที่แท้คือเจ้าพระยาเซียวไม่ได้อยู่ในห้องทางทิศตะวันออก จากที่ทหารบอก ไม่กี่วันนี้ ขณะที่ฟ้าร้อง เจ้าพระยาเซียวล้วนจะออกไปฟังเสียงฟ้าร้อง

มักจะบอกว่าฟ้าร้องแปลกเหลือเกิน ราวกับว่าไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว

ตั้งแต่เล็กเจ้าพระยาเซียวอาศัยอยู่ที่เมืองเลยหมิง ก็ได้ยินคุ้นเคยเสียงฟ้าร้องเป็นธรรมดา

จากเด็กน้องที่ยังไม่ประสีประสา จนเป็นคนชราแก่ๆ เขาจากเมืองเลยหมิงไปก็เป็นสี่ห้าสิบปี ตอนนี้ได้ยินเสียงฟ้าร้องของเมืองเลยหมิงอีก อาจจะลืมเสียงเดิมไปแล้ว พอได้ฟัง รู้สึกได้ถึงความไม่คุ้นเคย; อาจจะเป็นไปได้ว่า เสียงฟ้าร้องนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

ทหารไม่เข้าใจ

อย่างไรเสีย เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขาได้ยินเสียงฟ้าร้อง ก็อยู่ที่นี่มาตลอด ฟังไม่ออกว่าแตกต่างหรือไม่โดยสิ้นเชิง

สำหรับเซียวจิ่นหยู เขาก็ไม่ได้เกิดที่นี่ นอกจากครั้งนี้ อดีตก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ก็ฟังไม่ออกว่าเสียงฟ้าร้องแตกต่างไปอย่างไรเป็นธรรมดา

ตอนนี้ที่ทำให้เขาเป็นห่วงมากที่สุดคือ เจ้าพระยาเซียวไปที่ไหนกันแน่?

กลับเป็นหลานเยาเยา ฟังความผิดปกติออกแล้ว นางเดินมาอย่างรวดเร็ว สอบถามทางทหาร: “หลังจากที่เจ้าพระยาเซียวมาที่วิหารเทพเจ้าแห่งภูเขาแล้ว ชอบฟังเสียงดังของฟ้าร้องที่ไหนที่สุด?”

ขณะที่เดินออกมาจากวิหารเทพเจ้าแห่งภูเขาพร้อมกับเซียวจิ่นหยู เซียวจิ่นหยูก็แนะนำพวกเขาทั้งกลุ่มให้ทหารรู้จัก เวลานี้เผชิญหน้ากับการสอบถามของหลานเยาเยา เพียงเพราะนางเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าพระยาเซียว รีบตอบทันที:

“เจ้าพระยาเซียวชอบไปยืนด้านหลังวิหารเทพแห่งภูเขาที่สุด ก่อนหน้าที่หินตรงนั้นจะแตกออก ทุกครั้งที่เสียงฟ้าร้องดัง เขาก็จะไปยืนฟังที่นั่น”

จากการชี้นำของทหาร

หลานเยาเยาและเซียวจิ่นหยูมาถึงข้างๆหินที่ทหารบอกพร้อมกัน

ตัวภูเขาตรงนี้ก็ไม่ได้ต่างจากตัวภูเขาลูกอื่นมากนัก อย่างเดียวที่ไม่เหมือน เกรงว่าก็คือรอยแยกเส้นนี้ที่เหมือนดั่งสายฟ้าผ่าให้แยกออก

ไม่ดูให้ละเอียด ยังสังเกตอะไรไม่ได้

เมื่อหลานเยาเยาเข้าไปมองใกล้ๆ ขมวดคิ้วทันที

ด้านบนมีคนทำรอยขีดข่วนเล็กๆ บนพื้นยังมีกิ่งไม้เป็นส่วนๆสั้นยาวไม่เหมือนกัน

“นี่คือทำอะไร?”

ทหารผู้หนึ่งเก็บกิ่งไม้ขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เซียวจิ่นหยูก็ขมวดคิ้วแน่น

หลานเยาเยาคิดไปมา หยิบกิ่งไม้เป็นท่อนๆในมือของทหารมา วางเข้าในรอยแยก พบอย่างตกตะลึง ความสั้นยาวของกิ่งไม้แต่ละท่อนเหมือนกับความเล็กใหญ่ของรอยแยกอย่างคิดไม่ถึง ดูจากกิ่งไม้แต่ละท่อน กิ่งไม้ทุกท่อนเล็กใหญ่ไม่เหมือนกัน เมื่อเรียงลำดับเล็กน้อย จะสามารถมองออกได้ทันที เก็บไว้นานหน่อยกิ่งไม้ยิ่งสั้น ยิ่งใหม่กิ่งไม้ยิ่งยาว

นี่อธิบายได้หรือไม่ว่า รอยแยกของตัวภูเขาเส้นนี้ขยายออกทุกปี?

มีคนสงสัยค้นพบจุดนี้พอดี ดังนั้นทุกปีล้วนจะมาเหลาไม้วัดขนาดเล็กใหญ่ของรอยแยก

เดิมทีเป็นเพียงการคาดเดา

จากการตรวจสอบและซักถามทหารรอบหนึ่ง หาคนพบแล้วจริงๆ

เป็นคนใช้ผู้หนึ่งที่เฝ้าทำความสะอาดวิหารเทพแห่งภูเขา ตั้งแต่เขาอายุสามสิบห้าปีก็เริ่มอยู่ที่นี่ทำความสะอาดวิหารเทพแห่งภูเขา ตอนนี้เป็นผู้เฒ่าอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีอะไรทำน่าเบื่อก็จะนั่งข้างๆรอยแยกฟังเสียงฟ้าร้อง เหลาไม้วัดขนาดใหญ่เล็กของรอยแยก เป็นเพียงผลจากการหาความสนุกให้ตัวเองจากน่าเบื่อหน่าย

ปีแล้วปีเล่า หลังจากนั้นก็กลายเป็นความเคยชิน

ไม่กี่วันก่อนเจ้าพระยาเซียวมาที่ภูเขาหนานนี้ เห็นเขาอยู่คนเดียว จึงมักจะดื่มเหล้ากับเขาอย่างเต็มที่เสมอ ขณะที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยเขาเคยเอาเรื่องรอยแยกที่เปลี่ยนใหญ่ขึ้นทุกปีบอกกับเจ้าพระยาเซียวให้รู้ หลังจากวันนั้นมา เจ้าพระยาเซียวก็ชอบยืนฟังเสียงฟ้าร้องด้านหน้ารอยแยก บางครั้งยังจะบอกว่าเสียงฟ้าร้องไม่เหมือนกับอดีตแล้ว

ผู้เฒ่าไม่เข้าใจความหมายในนั้น เพียงคิดว่าเจ้าพระยาเซียวทอดถอนใจกับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา

“เมื่อวานล่ะ?”

“เมื่อวานตอนเที่ยง เจ้าพระยาเซียวยังคงถือเหล้ามาดื่มกับข้า จากความเคยชินไม่กี่วันก่อน เวลาใกล้ค่ำ เจ้าพระยาเซียวยังจะมาดื่มเหล้ากับข้า แต่ตอนใกล้ค่ำของเมื่อวานเจ้าพระยาเซียวไม่ได้มา ข้ายังคิดว่าเขาลงเขาไปแล้วซะอีก”

เมื่อนึกถึงสามารถดื่มเหล้ากับเจ้าพระยาเซียวได้

พูดออกไปก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเรื่องหนึ่ง

ดังนั้น สำหรับเรื่องนี้ ผู้เฒ่าไม่ปิดบังแม้แต่น้อย กระทั่งยังเต็มไปด้วยความปีติเล็กน้อย

เพราะเขาไม่รู้ เจ้าพระยาเซียวที่ดื่มเหล้ากับเขาหายตัวไปแล้ว

ต่อจากนั้นหลานเยาเยาถามผู้เฒ่าผู้นั้นอีก ภูเขาหนานนี้นอกจากตรงนี้ ยังมีรอยแยกมากกว่านี้หรือไม่ หรือมีภูเขาถ้ำอะไรอีก

ถามถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองดูหลานเยาเยา ใบหน้าประหลาดใจ

“ทำไมพวกท่านชอบถามคำถามเหล่านี้?”

“ยังมีใครเคยถามอีก?” หลานเยาเยาคาดเดา เจ้าพระยาเซียวก็น่าจะเคยถาม

เป็นดังคาด!

“เจ้าพระยาเซียวไง! เขายังบอกว่าอยากไปดู ข้าห้ามเขาแล้ว สถานที่ตรงนั้นอันตรายเป็นที่สุด ทันทีที่เท้าลื่น ก็จะตกเขาเสียชีวิต รอยแยกใหญ่ขนาดนั้น ทำไมถึงได้ปรากฏตรงสถานที่แบบนั้นได้นะ?”

ผู้เฒ่าเคยพบสถานที่นั่น แต่ไม่ยอมบอกอีก

เพราะในนั้นอันตรายเป็นที่สุด ดังนั้นไม่ยินยอมเอามากที่จะบอกพวกเขาว่าสถานที่นั่นอยู่แห่งใด เกรงว่าหากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับพวกเขา ตัวเองจะรับโทษไม่ไหว

แต่ภายใต้อ้อมค้อมของหลานเยาเยา

ผู้เฒ่าพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ยังไม่รู้ตัว รอจนพวกเขาจากไปแล้ว จึงดึงสติกลับมาได้ เขาทำได้เพียงกล่าวอย่างจนปัญญา:

“เห้อ เด็กหนุ่มสมัยนี้นะ ทำให้คนอดห่วงไม่ได้จริงๆ”