บทที่ 494 กองทัพประชิดเมือง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 494 กองทัพประชิดเมือง

หลายวันต่อมามีแต่หิมะโปรยปรายเต็มฟ้า พวกเขาต่างถูกขังไว้ในถ้ำ กู้เจียวอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ฝึกง้างธนูอยู่ในถ้ำอยู่อย่างนั้น

ตั้งแต่ที่ถังเย่ว์ซานชี้แนะกู้เจียวเมื่อคืนนี้ พอตื่นขึ้นมาก็มานึกเสียใจทีหลัง เด็กคนนี้เป็นศัตรูของตระกูลถัง เขาสอนใครก็ได้แต่ไม่ควรสอนนาง

บังเอิญนัก กู้เฉิงเฟิงยิงธนูเป็น เขาเห็นกู้เจียวง้างธนูในถ้ำจึงเดินไปชี้แนะนาง

เขาไม่ได้เก็บงำอะไรต่อกู้เจียวเลยสักนิด ขอแค่ตัวเองทำเป็นก็จะไม่มีกั๊กเลยแม้แต่น้อย เขายังใช้โล่และฟืนแห้งมาทำเป็นเป้าง่ายๆ แขวนไว้บนผนังถ้ำให้กู้เจียวได้ยิงด้วย

ฝีมือการยิงธนูของกู้เฉิงเฟิงไม่ได้เลวร้าย อย่างไรเสียเขาก็เป็นคุณชายจวนโหว แม้แต่กู้เฉิงหลินที่อ่อนแอที่สุดก็ยังขี่ม้ายิงธนูเป็นตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ระดับฝีมือของกู้เฉิงเฟิงอยู่ในระดับสูงกว่าระดับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เมื่อเทียบกับมือธนูตระกูลถังแล้ว ยังเทียบไม่ค่อยจะติดนัก

ไม่ใช่ว่าถังเย่ว์ซานโม้ แต่เลือกทหารในพลธนูตระกูลถังมาส่งๆ สักคนหนึ่ง ล้วนเก่งกาจกว่ากู้เฉิงเฟิงลิบลับ

มือธนูที่ฝีมือด้อยที่สุดของตระกูลถังยังต้องยิงให้ได้ในระยะหนึ่งร้อยก้าวเลย

กู้เฉิงเฟิงชี้แนะกู้เจียวไม่กี่หนนั้น ถังเย่ว์ซานทนดูไม่ได้จริงๆ

“เจ้าเชื่อข้าไม่มีผิดแน่นอน!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยกับกู้เจียว

ถังเย่ว์ซานกลอกตาอย่างรังเกียจ ยังมีหน้ามาบอกไม่มีผิดอีก เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันผิดไปหมด! ง้างธนูแบบนั้นได้รึ ลูกธนูเล็งแบบนั้นได้รึ

ทำเอาทนไม่ได้เสียยิ่งกว่ากู้เจียวง้างผิดอีก

ถังเย่ว์ซานจึงกลายเป็นลาหน้าโง่อีกหน

วันๆ เขาเอาแต่เป็นลาหน้าโง่

จนกระทั่งหิมะหยุดตก

การติดเชื้อหลังการผ่าตัดของท่านเหล่าโหวหายแล้ว เขาอายุค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากฝึกวรยุทธ์อยู่ตลอด สมรรถภาพร่างกายจึงไม่แพ้หนุ่มๆ บาดแผลปิดสนิทได้อย่างดี ยิ่งถังเย่ว์ซานยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

กู้เจียวตัดไหมทั้งสองแห่งบนต้นขาให้ถังเย่ว์ซาน

พวกเขาเดินทะลุป่ามาด้วยกัน จนกระทั่งถึงหมู่บ้านเล็กๆ ติดเมืองหลิงกวน กู้เจียวก็ไปซื้อเกวียนกับชาวบ้าน เอาม้าสองตัวของตัวเองไปแลกเป็นวัว อีกตัวให้ถังเย่ว์ซานไป

ถังเย่ว์ซานพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก่อนเอ่ยกับทั้งคู่ “พวกเจ้าเดินไปตามทางนี้ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงเมืองเย่ว์กู่”

กู้เฉิงเฟิงจูงม้าพลางลังเล เขามองถังเย่ว์ซานพลางเอ่ย “เจ้า…จะไปเมืองเย่คนเดียวจริงๆ น่ะรึ ไม่สู้…”

เขาอยากบอกว่าไม่สู้เจ้าตามพวกเรากลับเมืองเย่ว์กู่ก่อน พอหาที่หาทางให้ปู่ข้าพักเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปเมืองเย่กับเจ้าเอง

กู้เฉิงเฟิงไม่ค่อยสนใจพวกถังเย่ว์ซานนัก แต่อย่างไรเสียกองทัพใหญ่ของราชสำนักก็ถูกขังไว้ที่เมืองเย่ เขาไม่ใช่เด็กที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เหมือนตอนที่มาชายแดนแล้ว สงครามชายแดนกำลังเดือด แคว้นก็ถูกทำลาย ในฐานะบุตรแห่งแคว้นเจา เขาไม่อาจนิ่งดูดายได้

ถ้อยคำดังกล่าวกู้เฉิงเฟิงไม่ได้เอ่ยออกไป แต่ถังเย่ว์ซานเข้าใจดีว่าเขาจะพูดอะไร ถังเย่ว์ซานจึงเอ่ย “หากคนน้อยจัดการได้ ข้าเองก็จัดการได้ หากคนน้อยจัดการไม่ได้ รวมพวกเจ้าสองคนเข้าไปด้วยก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก พวกเจ้าอย่าไปตายด้วยกันเลยดีกว่า”

กำลังการต่อสู้ของหนึ่งคนกับสามคนนั้นแตกต่างกันก็ต่อเมื่ออยู่บนสังเวียน แต่ในสนามรบที่มีกองทัพหลายหมื่นนายกลับแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างเลย

กู้เฉิงเฟิงรู้สึกว่าเขาพูดได้มีเหตุผล เขาจึงไม่มีอะไรจะแย้ง

พวกเขาจึงแยกทางกันตรงนี้

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงพาท่านเหล่าโหวกลับไปเมืองเย่ว์กู่ ถังเย่ว์ซานเร่งม้าเร็วเพิ่มบังเหียนไปเมืองเย่

“เจ้าว่าเขาจะทำอย่างไร” กู้เฉิงเฟิงถามอย่างกังวล

อันที่จริงกู้เจียวก็อยากรู้เช่นกันว่าถังเย่ว์ซานคิดวิธีใดได้ ถังเย่ว์ซานไม่เหมือนคนที่บุ่มบ่ามจะไปตาย เขาต้องมีแผนอยู่ในใจแน่ๆ

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงกลับมาที่เมืองเย่ว์กู่

สถานการณ์เมืองเย่ว์กู่ตึงเครียดขึ้นกว่าเมื่อตอนก่อนที่พวกเขาจะออกไปเล็กน้อย ร้านรวงบนถนนหนทางแทบจะปิดหมด ผู้คนสัญจรบนท้องถนนก็หายเกลี้ยง สภาพเหมือนลมพายุกำลังตั้งเค้า

“ใกล้จะทำสงครามแล้วจึงเป็นเช่นนี้กระมัง” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยด้วยอารมณ์ซับซ้อน

กู้เจียวส่งเสียงอืมนิ่งๆ

สงครามของทั้งสามเมืองเกิดขึ้นก่อน ชาวเมืองเย่ว์กู่แทบจะเตรียมพร้อมเพียงพอแล้ว ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าในท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นนรกบนดิน เป็นเมืองที่มีจุดจบที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมดในป้อมปราการชายแดน

กองทัพแคว้นเฉินทำการสังหารหมู่ที่นี่

ชายหญิงลูกเด็กเล็กแดงคนแก่ชรา แม้แต่สัตว์ก็ยังไม่ละเว้น

รถม้ามาถึงจวนผู้ว่าแล้ว

คนที่ออกมาต้อนรับพวกเขาก็ยังคงเป็นอาจารย์หู

ไม่ได้พบกันหลายวัน อาจารย์หูเหี่ยวเฉากว่าเดิมอีก เขาจับหมวกขุนนางวิ่งออกมาด้วยสีหน้ารีบร้อน ทั้งตื่นเต้นทั้งตกใจก่อนจะเอ่ย “ไอ้หยา ใต้เท้าทั้งสองกลับมาเสียที! คืนนั้นใต้เท้าทั้งสองจากไปโดยไม่ลา ทำข้าน้อยตกใจแทบแย่! ข้าน้อยก็นึกว่าเกิดเรื่องอะไรกับใต้เท้าทั้งสอง…”

กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเข้าไปในจวน”

ด้านนอกลมแรง พัดพวกเขามาตลอดทั้งทางจนจะแข็งตายอยู่แล้ว!

“ขอรับๆ!” อาจารย์หูรีบขานรับ เขานำทางอยู่ข้างหน้า ชำเลืองมองมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่ามีคนนอนอยู่บนรถเข็นชั่วคราวนั่นด้วย

เมื่อท่านเหล่าโหวมาถึงชายแดนเคยมาพักอยู่ที่จวนผู้ว่ากับถังเย่ว์ซาน และอาจารย์หูก็เคยต้อนรับทั้งคู่ จึงจำท่านเหล่าโหวได้อย่างรวดเร็ว เขาอดตกใจไม่ได้ “ท่านเหล่าโหวกู้! พวกท่าน…พวกท่านไปช่วยคนที่เมืองเย่มารึ”

ทุกคนต่างนึกว่าท่านเหล่าโหวถูกขังไว้ที่เมืองเย่กันหมด

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงนอนค้างแค่คืนเดียวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อาจารย์หูกับใต้เท้าผู้ว่าเคยสงสัยในตัวตนของทั้งคู่ คาดเดาว่าทั้งคู่อาจจะไม่ใช่คนที่ราชสำนักส่งมา แต่เป็นพวกสวมรอยเข้ามาสืบข่าวในจวนผู้ว่า

ยามนี้เห็นพวกเขาพาท่านเหล่าโหวกลับมา จึงพลิกข้อสงสัยก่อนหน้านี้ไปหมด

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงไม่ได้บอกว่าพวกเขาช่วยคนจากเมืองด่านหลิงกวนมา

ทว่าจากปฏิกิริยาของอาจารย์หูกลับมองออกเลยว่าอย่างน้อยๆ จวนเผู้ว่ากับกองทัพแคว้นเฉินและกบฏราชวงศ์ก่อนตอนนี้ยังไม่ได้สมคบคิดกัน

จวนผู้ว่าในยามนี้ยังถือว่าปลอดภัยอยู่

“เข้าจวน” กู้เฉิงเฟิงบอกกับอาจารย์หูเสียงเข้ม

“อ๊ะ ขอรับ ขอรับ! จะเข้าจวนเดี๋ยวนี้! ยังเหลือเรือนเมื่อคราก่อนไว้ให้ทั้งสองท่านอยู่ขอรับ!” อาจารย์หูเอามือปาดเหงื่อเย็น พาคนเข้าจวนผู้ว่า

ยังเหลือเรือนให้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ อาจารย์หูส่งสายตาให้คนรับใช้อย่างเอาเป็นเอาตาย คนรับใช้ก็ไหวพริบดี วิ่งแจ้นรีบไปไล่คนในเรือนออกไป

“ไม่มีคนพักหลายวัน ในห้องจึงมีฝุ่น ข้าจะให้คนไปเก็บกวาดเสียหน่อย พวกท่านไปนั่งที่ห้องหนังสือก่อนเถิด” อาจารย์หูยิ้มบอก

กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงมองออกแต่ไม่พูด นำเปลหามออกมาให้คนรับใช้หามท่านเหล่าโหวเข้าไปในห้องหนังสือก่อน

ไม่นานภายในห้องก็เก็บกวาดอย่างเรียบร้อย ห้องด้านในสุดยังคงเป็นห้องที่กู้เจียวพัก กู้เฉิงเฟิงกับท่านเหล่าโหวพักห้องติดกัน ซึ่งเป็นห้องเดิมของกู้เฉิงเฟิง

ครานี้ผู้ว่าเมืองเย่ว์กู่อยู่ที่จวน เขามาคารวะทั้งคู่ด้วยตัวเอง ซ้ำยังลองหยั่งเชิงตัวตนของทั้งคู่อย่างอ้อมๆ น่าเสียดายที่ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักคำ

ผู้ว่าไม่ทราบความจริงของทั้งคู่ แต่เห็นทั้งคู่ช่วยท่านเหล่าโหวกลับมาจากเมืองเย่ที่มีอันตรายซุกซ่อนรอบด้านได้ ก็เข้าใจเลยว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงไม่กล้าล่วงเกินทั้งคู่

ผู้ว่ามีแซ่เฉิง ปีนี้อายุสามสิบเก้า ไม่รู้เหมือนกันว่าด่านชายแดนลำบากเกินไปหรือไม่ หน้าตาเขาจึงได้ดูแก่กว่าอายุเช่นนี้

ผู้ว่าเฉิงประสานมือให้ทั้งคู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เอ่ย “ขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ ว่าเมืองเย่ว์กู่ใกล้จะเกิดสงครามแล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งสองทราบหรือไม่ว่ากองทัพเสริมจากราชสำนักจะมาถึงเมื่อใด”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยนิ่งๆ “กองทัพของราชสำนักอยู่ระหว่างทางแล้ว ยามที่ควรถึงย่อมมาถึงอยู่แล้ว ยามนี้เมืองเย่ว์กู่มีทหารรักษาการณ์อยู่เท่าใด”

“ห้าพันขอรับ” ผู้ว่าเอ่ยแหยๆ

“แค่ห้าพันเองรึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างตกใจ “เหตุใดจึงน้อยเช่นนี้!”

ผู้ว่าเอ่ยอย่างจนปัญญา “เมืองเย่ว์กู่เป็นเพียงเมืองเล็กๆ เดิมก็ไม่ได้มีกองทัพมาเฝ้ารักษาการณ์อยู่แล้ว ในห้าพันคนนี้มีถึงครึ่งหนึ่งทีเดียวที่เกณฑ์มาชั่วคราว”

เกณฑ์มาชั่วคราว เข้าสนามรบมีแต่ไปตายทั้งสิ้น

กู้เฉิงเฟิงเงียบไป เขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของเมืองเย่ว์กู่จะลำบากปานนี้ คนน้อยนิดแค่นี้ กบฏราชวงศ์ก่อนกับกองทัพแคว้นเฉินเพียงแค่โจมตีเมืองเย่ว์กู่ เมืองเย่ว์กู่ก็พ่ายแพ้ยับเยินแล้ว

“เจ้าออกไปเสีย มีธุระอะไรพวกเราค่อยเรียกเจ้า” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยกับผู้ว่าเฉิง

ผู้ว่าเฉิงประสานมือ “ใต้เท้าทั้งสองหากมีอะไรก็เรียกข้าน้อยได้ตลอดเวลาเลยนะขอรับ”

หลังจากผู้ว่าเฉิงกลับไป กู้เฉิงเฟิงก็เอ่ยกับคนรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตู “ตรงนี้ไม่มีหน้าที่ของพวกเจ้าหรอก พวกเจ้าก็กลับไปเถิด”

“ขอรับ” เหล่าคนรับใช้พากันออกจากเรือนไป

กู้เฉิงเฟิงเทชาร้อนๆ ให้กู้เจียวอย่างเป็นธรรมชาติพลางเอ่ย “ดื่มน้ำสักคำก่อนสิ”

กู้เจียวยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ อึกหนึ่ง

กู้เฉิงเฟิงเทชาให้ตัวเองด้วยถ้วยหนึ่ง เมื่อดื่มไปได้ครึ่งถ้วยก็วางถ้วยลง ก่อนถอนใจเอ่ย “กองทัพของพี่ใหญ่ข้าไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด หากยามนี้พวกเขาเปิดการโจมตีเมืองเย่ว์กู่ละก็ เกรงว่าแค่ห้าพันนายจะต้านไว้ไม่อยู่”

ในฝันนั้น เมืองเย่ว์กู่เสียเมืองจริงๆ กองทัพตระกูลกู้เพิ่งจะมาถึงหลังจากเมืองเย่ว์กู่ถูกสังหารหมู่แล้ว

โศกนาฏกรรมเมืองเย่ว์กู่จะโทษกองทัพตระกูลกู้ก็ไม่ได้ หลังจากรับคำสั่งจากราชสำนัก กู้ฉังชิงก็ใช้ความเร็วที่สุดเร่งรุดกลับเมืองหลวง แล้วปรับตั้งกองทัพตระกูลกู้อย่างรวดเร็วที่สุด นำทัพแสนนายขึ้นเหนือ

น่าเสียดายที่กองทัพเรือนแสนไม่ได้เป็นทหารม้าทั้งหมด ภายใต้สภาพถนนหนทางและอาวุธยุทโธปกรณ์ในปัจจุบันของแคว้นเจา ทหารราบเร่งเดินเท้าไม่มีทางเกินหนึ่งร้อยลี้ต่อวัน มิฉะนั้นอาจจะส่งผลต่อกำลังการสู้รบของทหารราบได้ และเนื่องจากอิทธิพลของภูมิอากาศชายแดน ยิ่งเข้าใกล้ภาคเหนือเท่าใด ความเร็วในการเดินทัพก็ยิ่งช้าลง ถึงขั้นไม่มีการกำจัดการเจอหิมะที่ปิดภูเขา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเร็วการเดินทัพของทัพใหญ่ที่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยทหารม้าที่เร็วที่สุดหรือทหารราบที่มีความเร็วเป็นรอง แต่ขึ้นอยู่กับกองขนย้ายที่ช้าที่สุด

กองขนย้ายนั้นรวมถึงเสบียงอาหาร กระโจมค่าย อาวุธและยุทโธปกรณ์โจมตีเมืองด้วย

ไม่มีทหารกองขนย้ายก็เหมือนทหารไร้อาวุธ สู้ไปสู้มาก็ไม่ไหวแล้ว

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว กู้ฉังชิงสามารถนำกองทัพใหญ่มาถึงได้ในหลายวันต่อมาก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว

“ห้าวัน” กู้เจียวบอก

“ห้าวันอะไรรึ” กู้เฉิงเฟิงถาม

“พี่ใหญ่ของเจ้าน่ะ” กู้เจียวบอก

หากนางจำไม่ผิด อีกห้าวันกู้ฉังชิงก็จะนำทัพตระกูลกู้มาถึง

แต่สองวันต่อมา กองทัพแคว้นเฉินก็จะมาฆ่าล้างเมืองแล้ว