ตอนที่ 181-2 สั่งสอนหญิงสารเลว
ในห้องมีคนยี่สิบสามสิบคนยืนกันอยู่แน่นขนัด
จีหมิงซิวกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาประหลาด “นี่มีเรื่องอะไรกันหรือ”
ทุกคนไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เฉียวเวยจึงเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้เขาฟัง พร้อมทั้งเอ่ยขอความเห็นใจให้พวกนางโดยเฉพาะเหลียนเอ๋อร์ ทั้งยังบอกเรื่องที่ตนจัดการมามาไปสองคนด้วย “ไม่รู้ว่าท่านพี่เห็นว่าข้าจัดการได้เหมาะสมหรือไม่”
“ไม่เหมาะสมสักนิด”
ทุกคนพลันยินดี คุณชายยืนอยู่ฝั่งพวกนางจริงๆ ด้วย!
“ไล่ออกจากบ้านชิงเหลียนถือว่าเบาเกินไป ขับออกจากบ้านตระกูลจี ไม่ให้ใช้งานอีก อย่างน้อยก็ควรเป็นเช่นนี้” จีหมิงซิวมองไปทางเหลียนเอ๋อร์เรียบๆ เขาแทบจะไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับสตรีนางนี้เลย “ลากออกไปโบยสิบไม้ แล้วส่งกลับเรือนลั่วเหมยของเหล่าฮูหยิน”
เหลียนเอ๋อร์หน้าถอดสี “คุณชาย!”
จีหมิงซิวโบกมือ หญิงรับใช้สองคนก้าวเข้ามาจับตัวนางแล้วลากออกไป
คนที่เหลือพากันตัวสั่นเป็นลูกนก
จีหมิงซิวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ตระกูลจีไม่ขาดบ่าวไพร่ ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากรับใช้ ก็ออกไปกันให้หมดเถอะ”
ทุกคนคุกเข่าลงร้องขอให้ยกโทษให้กันสุดชีวิต
เมื่อถูกไล่ออกจากบ้านชิงเหลียนก็เท่ากับเป็นที่รังเกียจของจีหมิงซิว ยังจะมีเรือนไหนกล้าใช้งานพวกนางอีกหรือ ผลที่เลวร้ายที่สุดคือถูกไล่ออกจากตระกูลจี ดีที่สุดคือทำงานจิปาถะอยู่ในส่วนที่สกปรกและเหน็ดเหนื่อยที่สุด ที่ไหนจะดีกว่าบ้านชิงเหลียนได้
“ภรรยาเห็นว่าอย่างไร” จีหมิงซิวถามเฉียวเวย
เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “พวกนางเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ให้แล้วกันไปเถอะ”
จีหมิงซิวระบายยิ้มอบอุ่น “ภรรยามักอบอุ่นและใจดีเช่นนี้เสมอ”
ทุกคนแทบจะทรุดลงกับพื้น อบอุ่นใจดี สตรีจอมพลังที่จับตัวหญิงรับใช้สองคนโยนออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงคนเมื่อครู่เป็นใครกันแน่
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าดูถูกภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ผู้นี้อีก
…
ตกดึก คนทั้งบ้านนั่งล้อมโต๊ะกินอาหารร่วมกันที่เรือนลั่วเหมย แบ่งฝั่งชายหญิงโดยมีฉากบานหนึ่งกางกั้น
ซาลาเปาน้อยสองคนอยากนั่งกับจีหมิงซิวจึงไปอยู่เสียทางฝั่งบุรุษ
เฉียวเวยนั่งอยู่ข้างจีเหล่าฮูหยิน อีกด้านของจีเหล่าฮูหยินคือจีซวงบุตรสาวสุดที่รัก อีกข้างหนึ่งของเฉียวเวยคือสวินหลัน
สวินหลันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทางการของเมื่อเช้าไปแล้ว เวลานี้อยู่ในอาภรณ์เรียบง่ายสีขาวแขนกว้างกับกระโปรงหลิวเซียน ช่วงเอวรัดคอดจนเรียวบาง แผ่นหลังตั้งตรงราวกับต้นไผ่ ชายเสื้อและชายกระโปรงใช้ด้ายทองปักเป็นลายดอกมู่ฝูหรงอันงดงาม ซึ่งคล้ายช่วยแต่งแต้มให้นางมีรัศมีเปล่งประกายโดดนเด่นเหนือคนในโลกหล้า สูงส่งงดงามหาใดเทียม
นี่หากไม่ใช่แม่เลี้ยงสาวของตน เฉียวเวยยังรู้สึกว่าตนอาจถูกนางทำให้ไขว้เขวได้
ช่างงดงามยิ่งแล้ว
ในสายตาจีซวงมีแววริษยาที่ยากจะปกปิด
หรงมามาอาศัยจังหวะวางอาหาร เขยิบเข้าหาเฉียวเวยเพื่อกระซิบบอกบางอย่าง
เฉียวเวยถึงได้รู้ว่า เหลียนเอ๋อร์ถูกจีเหล่าฮูหยินไล่ออกไปแล้ว จีเหล่าฮูหยินเรียกมารดาของนางมา ให้เงินไปเล็กน้อยแล้วให้นางกลับบ้านไปและไม่ได้บอกว่าจะรับกลับมาอีก
คนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องคลื่นลมที่เกิดขึ้นในบ้านชิงเหลียน ยังคงยิ้มแย้มรอให้จีเหล่าฮูหยินเปิดงาน
จีเหล่าฮูหยินจับมือเฉียวเวยมาเอ่ยว่า “หมิงซิวบอกว่าเจ้าเตรียมของขวัญเอาไว้ใช่หรือไม่”
“ของขวัญอะไรหรือ” จีซวงถามพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เฉียวเวยหันไปพยักหน้าให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์เอากล่องผ้าไหมที่นำมาที่เรือนลั่วเหมยส่งให้สตรีทุกนางที่นั่งอยู่คนละกล่อง
ทุกคนเปิดออกดู ก็เห็น…ไข่สิบหกฟองวางอยู่บนผ้าไหมแดง
ซ้ำยังเป็นสีเทาเสียด้วย คงไม่ใช่ว่าเป็นไข่เน่ากระมัง
สะใภ้คนใหม่ผู้นี้ออกจะตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อยแล้ว ของขวัญยามแต่งเข้าเรือนถึงขั้นให้เป็นไข่อย่างนั้นหรือ จะไม่ให้พูดว่าเป็นหญิงชนบทได้อย่างไร
ฮูหยินรองหลี่ซื่อยิ้มบางๆ “ไข่เหล่านี้คงไม่ใช่ไข่ที่หลานสะใภ้ปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บมาเองกระมัง”
เหล่าสาวใช้พากันหัวเราะคิกคัก
จีเหล่าฮูหยินก็เริ่มรักษาสีหน้าไม่อยู่ นางเป็นกังวลอยู่ทีเดียวว่าหลานสะใภ้คนใหม่นี้จะไม่มีของที่พอเป็นหน้าเป็นตามาให้เป็นของขวัญ ถึงได้ให้เครื่องประดับกล่องใหญ่กับนางไป นางแค่เอาชิ้นไหนออกมาให้ก็ดีกว่าไข่หน้าตาประหลาดเช่นนี้ทั้งสิ้น
จู่ๆ สวินหลันก็เอ่ยปากว่า “ไข่พวกนี้ดูแล้วคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ดมกลิ่นดูก็คล้ายเคยกินที่ไหนมาก่อน”
ทุกคนเลยลองดมดู จริงเสียด้วย!
เฉียวเวยอธิบายว่า “นี่คือไข่เยี่ยวม้านกกระทาเจ้าค่ะ ในตลาดยังไม่เริ่มวางขาย ข้าลองทำชิมเองเพื่อให้ได้ความแปลกใหม่เจ้าค่ะ”
“ไข่เยี่ยวม้า? เจ้าเป็นคนทำ? เจ้าทำไข่เยี่ยวม้าเป็น?” จีซวงตกใจ
ไข่เยี่ยวม้านับเป็นของชั้นดี ในตลาดยังหาซื้อไม่ค่อยได้ บางครั้งเหล่าฮูหยินได้มาสองสามโหล ยังไม่พอแบ่งให้ทุกคนด้วยซ้ำ ช่วงนี้ได้ยินว่าในวังมีกินกันแล้ว แต่ใครจะวิ่งโร่ไปขอแบ่งมาจากในวังเล่า
จีซวงเอ่ยอีกว่า “เล็กขนาดนี้ข้ายังไม่เคยเห็นขายเลย เมื่อกี้เจ้าบอกว่าอะไรนะ ทำจากไข่นกกระทา?”
เฉียวเวยบอกว่า “ใช่แล้ว ไข่นกกระทา”
“ค่อยใช้ได้หน่อย” จีซวงปอกฟองหนึ่งอย่างแทบทนรอไม่ไหวแล้วเอาเข้าปากไปทันที อร่อยจนน้ำตาแทบร่วง นางคว้าตัวสาวใช้ยกอาหารคนหนึ่งไว้แล้วยื่นไข่เยี่ยวม้าฟองเล็กไปให้ “มานี่ เอานี่ไปให้ท่านเขยที”
สาวใช้รับไปอึ้งๆ
จีเหล่าฮูหยินค่อยโล่งอก ตอนแรกนางยังเป็นกังวลว่าเฉียวเวยจะชาติกำเนิดไม่สูงพอ ไม่มีอะไรดีๆ มาให้ จึงตั้งใจยัดกล่องเครื่องประดับให้นางไป เวลานี้ดูท่าคงจะเป็นตนที่กังวลมากเกินไปเอง
ของหายากมักสูงค่า คนตระกูลจีไม่ขาดแก้วแหวนเงินทอง ขาดก็เพียงของที่ใช้แก้วแหวนเงินทองซื้อไม่ได้
จีซวงปอกเปลือกไข่เยี่ยวม้าอีกหนึ่งฟองพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะแหะๆ ว่า “ให้ตายสิ เจ้าของสิ่งนี้ทั้งหน้าตาดีทั้งอร่อย ดีกว่าพวกของไร้รสชาติอย่างภาพอักษรภาพวาดเหล่านั้นมากนัก เจ้าว่าจริงหรือไม่ พี่สะใภ้ใหญ่”
ยามสวินหลันแต่งงานเข้ามา สิ่งที่นางนำมาให้คือภาพวาดอักษรฝีมือตนเอง นางเกิดในครอบครัวบัณฑิตที่มีชื่อเสียง ตัวอักษรที่นางเขียนดูราวมีจิตวิญญาณแห่งองค์เทพ แม้แต่ไท่ฟู่คนปัจจุบันยังชื่นชมว่ามีกลิ่นอายแห่งนักวาดชั้นครู ผลงานภาพวาดของนางยิ่งงดงามเข้าไปใหญ่ ได้รับการชื่นชมจากช่างวาดชั้นครูของในวังว่าเป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นเลิศ แม้แต่ในตำหนักบรรทมของไท่จื่อยังมีภาพวาดภูผากับสายธารฝีมือนางแขวนอยู่
ทุกคนต่างรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับภาพวาดจากนาง แต่คนหัวทึบอย่างจีซวงที่ท่องไม่ได้แม้กระทั่งกลอนราชวงศ์ถังมีหรือจะรู้จักชื่มชมภาพวาดพวกนี้ แต่กระนั้นทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าดี นางเลยไม่รู้จะบ่นกับใคร นางอดกลั้นมาหลายปี เวลานี้นับว่าได้ของที่หากยากยิ่งกว่าภาพวาดของสวินหลันแล้ว
จีซวงยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา “อร่อยจริงเชียว!
บนใบหน้าของสวินหลันแทบดูไม่ออกว่ามีแววไม่พอใจจากการโดนดูหมิ่น แต่ขนตานางขยับเล็กน้อย นิ้วมือที่จิกผ้าเช็ดหน้าเริ่มซีดขาว เฉียวเวยนั่งอยู่ข้างนาง จึงเห็นทุกอย่างชัดเจน
สถานภาพของสวินหลันเอาเข้าจริงคงน่าประดักประเดิดยิ่งกว่านางอีกกระมัง ดีร้ายอย่างไรข้างหลังนางยังมีตระกูลเฉียว ถึงแม้สำหรับตระกูลจีแล้ว ตระกูลเฉียวจะตัวเล็กราวกับมดตัวหนึ่ง แต่มดต่อให้ตัวเล็กเพียงใดก็ยังมีเนื้อ สวินหลันกลับไม่มีอะไรเลย สิ่งเดียวที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาได้ นอกจากใบหน้าที่งดงามพอล้มบ้านล้มเมืองแล้ว ก็คือความสามารถที่นางมีติดตัวนั่นเอง
จีซวงเหยียบย่ำภาพวาดของนาง ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่ำตระกูลเดิมของนาง เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้ากันอย่างรุนแรง
จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่บุตรสาว “เจ้าจะกินก็กิน เหตุใดจึงพูดมากเช่นนี้ หากยังพูดจาพล่อยๆ อีก ข้าจะให้พี่ใหญ่เจ้ามาจัดการเจ้า!”
จีซวงไม่กลัวเหล่าฮูหยิน แต่กลับกลัวจีซั่งชิงมาก จึงทำปากมุ่ย ไม่พูดจาเหน็บแนมสวินหลันอีกจริงๆ
จากเรื่องนี้ เฉียวเวยได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น นั่นคือเหล่าฮูหยินคอยปกป้องภรรยาใหม่ของบุตรชายคนโตผู้นี้มากทีเดียว ต่อให้เมื่อกลางวันจะกล่าวสั่งสอนนางก็เถอะ แต่นั่นเพราะมีเหตุ
หลี่ซื่อของเรือนรองปิดกล่องผ้าไหม เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คุณหนูตระกูลเฉียวมีฝีมือเพียงนี้ ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ที่พูดนั้นฟังดูดี แต่เหตุใดถึงฟังดูแปร่งๆ ไปได้
เฉียวเวยยิ้มบาง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่เพียงชะตาชีวิตบังคับ จำต้องหาวิชาความรู้มาเลี้ยงชีพเท่านั้น”
หลี่ซื่อเอ่ยว่า “หากกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าเรียนรู้หลังออกจากตระกูลเฉียวมาแล้วงั้นสิ หลานสะใภ้ระหกระเหินอยู่ในหมู่ชาวบ้านมาหกปี อันที่จริงข้าอยากรู้นักว่าหลานสะใภ้ตัวคนเดียวให้กำเนิดบุตรมาได้อย่างไร แล้วทำอย่างไรถึงเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่มาได้”
เฉียวเวยเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง ยังคงมีรอยยิ้มไม่เปลี่ยน “เรื่องนี้หากจะให้เล่าก็คงยาว แค่หนึ่งมื้ออาหารคงจะเล่าไม่จบ สู้วันหน้าเชิญอาสะใภ้รองไปที่ห้องข้า ข้าจะเล่าให้อาสะใภ้รองฟังทั้งหมดเลยดีหรือไม่”
หลี่ซื่อยิ้ม “เล่าหมดเล่าไม่หมดอะไรกัน พูดราวกับว่าข้ากำลังสอบสวนเจ้ากระนั้น”
เฉียวเวยยิ้ม “หรือไม่ใช่”
หลี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก “ย่อมไม่ใช่ ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่อยากเล่า ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้เอ่ยถึงก็แล้วกัน”
เฉียวเวยไม่ใช่มะเขือเทศนิ่มๆ ที่ใครคิดจะบีบอย่างไรก็ได้ นางเองไม่ชอบแสดงเป็นหมูกินราชสีห์ จึงหุบยิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่อารมณ์ว่า “ในเมื่อเอ่ยขึ้นมาแล้ว อย่างไรพูดให้ชัดเจนไปเลยก็ดีกว่า ไม่อย่างนั้นวันนี้อาสะใภ้รองถามข้า วันหน้าก็จะมีอาสะใภ้เจ็ดอาสะใภ้แปดมาถามข้าอีก ข้าคงอธิบายทุกคนไม่ไหว”
นางพูดเช่นนี้นับว่าไม่เกรงใจกันจริงๆ!
สวินหลันอดเหลือบมองไปทางเฉียวเวยไม่ได้ สีหน้ามีแววซับซ้อนขึ้น
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ท่านแม่ข้าเคยรักษาฮองเฮาจนหายดี เชื่อว่าอาสะใภ้รองคงพอได้ยินชื่อเสียงของนางมาบ้าง ท่านแม่ข้าไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่อะไร นางเป็นคนในยุทธภพ ฝีมือการทำอาหารของข้าก็เป็นท่านแม่ที่สอนให้”
หลี่ซื่อพูดต่อว่า “ตอนเกิดเรื่องกับแม่เจ้า ดูเหมือนเจ้ายังเด็กอยู่”
เฉียวเวยพยักหน้า “ท่านแม่ทิ้งหนังสือแพทย์และสมุดบันทึกเอาไว้ให้ข้าบ้าง หนึ่งในนั้นที่จดบันทึกไว้ก็คือวิธีการทำไข่เยี่ยวม้า หากอาสะใภ้รองอยากได้ ข้าคัดลอกสูตรให้ท่านฉบับหนึ่งก็ยังได้”
หลี่ซื่อกระแอมเบาๆ “สูตรที่ท่านแม่เจ้าทิ้งไว้ให้ ข้าจะกล้าเอามาได้อย่างไร ข้าเพียงแต่ถามเพราะอยากรู้เท่านั้น กินข้าวเถอะ”
เรื่องนี้จึงจบลงที่ตรงนี้ ทุกคนได้รู้ว่าสะใภ้คนใหม่ผู้นี้หาเรื่องได้ไม่ง่าย อย่างน้อยก็ไม่ใช่มะเขือเทศที่ให้บีบเล่นง่ายๆ
…
อาหารมื้อนี้ เจ้าเด็กน้อยกินกันจนอิ่มหนำ พุงป่องจนจะเดินยังไม่ไหว เฉียวเวยกับจีหมิงซิวจึงอุ้มกลับบ้านชิงเหลียนไป
เฉียวเวยไปที่ห้องเก็บของเพื่อจำแนกของที่แต่ละเรือนให้มา นางคัดเลือกของที่ดูดีหน่อยเตรียมไว้สำหรับกลับบ้านในวันมะรืนจะได้เอากลับไปให้เฉียวเจิงด้วย ครั้นเมื่อกลับไปถึงห้องนอนก็ไม่เห็นสามคนพ่อลูก แต่ได้ยินเสียงจ๋อมแจ๋มของน้ำกับเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากในห้องอาบน้ำแทน
เฉียวเวยเข้าไปดู สามคนพ่อลูกกำลังชำระร่างกายอยู่ในอ่างที่มีกลีบดอกไม้โรยอยู่เต็มไปหมด
จีหมิงซิวอยู่ในชุดอาบน้ำ ส่วนตัวแสบทั้งสองตัวเปล่าล่อนจ้อน
จิ่งอวิ๋นกำกลีบดอกไม้ขึ้นมาโยนใส่หน้าน้องสาว
วั่งซูที่ถูกปาใส่หน้าหัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดัง แล้วกำกลีบดอกไม้มาโยนใส่หน้าพี่ชายบ้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังตึง จิ่งอวิ๋นถูกโยนใส่จนล้มหงายหลังไป
จีหมิงซิวรีบอุ้มตัวบุตรชายขึ้นมา ลูกสาวพละกำลังมากเพียงนี้ ดูจะมีบางอย่างแปลกๆ หรือไม่นะ…
“ท่านแม่ๆ! ท่านก็มาอาบด้วยกันสิ! สบายมากเลย!” วั่งซูหัวเราะร่าพลางเอ่ยชวน
จะไม่สบายได้อย่างไร ด้านบนไม่รู้มีหัวหมาป่าเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร กำลังพ่นน้ำร้อนใส่ลงมาในบ่อ อาบนานแค่ไหนก็ไม่รู้สึกหนาวเย็น
เฉียวเวยกระแอมทีหนึ่ง “พวกเจ้าอาบก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระต้องทำ”
วั่งซูคอตกด้วยความผิดหวัง เอ่ยอย่างน่าสงสารและน้อยใจว่า “แต่ข้าอยากให้ท่านแม่กับท่านพ่ออาบด้วยนี่”
อยากจะอาบด้วยกันก็ควรให้ข้าเข้าไปก่อน แล้วค่อยให้พ่อเจ้าตามเข้ามาสิ!
คนใจกล้าหน้าด้านเช่นนี้จะต้องกระโดดลงมาร่วมด้วยด้วยความลิงโลดแน่นอน แต่ท่านแม่ของพวกเจ้าอย่างข้าทั้งเรียบร้อยทั้งเหนียมอาย กระโดดไปร่วมด้วยไม่ลงหรอก!
“ตายแล้ว!”
เท้า “ลื่น” หรืออะไรกันนี่ น่ารังเกียจจริงเชียว!
เฉียวเวยล้มลงไปในบ่ออย่างงดงาม สีหน้าดูขุ่นเคือง “ใครทำพื้นเปียกน้ำไปหมดเลยเนี่ย ข้าเลยลื่นตกลงมาเลย!”
มุมปากจีหมิงซิวกระตุกขึ้นเล็กน้อย พยายามเต็มที่ไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูท่าคงเป็นพวกบ่าวที่ใช้การไม่ได้สักคน สู้จัดการโบยสิบไม้แล้วไล่ออกไปเลยดีหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใจดีว่า “คงไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ข้าก็ไม่ได้เจ็บอะไร พรุ่งนี้ข้าต่อว่าสักประโยคสองประโยคก็พอ”
จีหมิงซิวหัวเราะออกมาเบาๆ
เขาสวมชุดอาบน้ำตัวบาง ตัวเสื้อเปียกน้ำจนโปร่งใส ลู่ติดตัวไปหมด กล้ามหน้าท้องแน่นๆ อันสมบูรณ์แบบพอให้เห็นวับๆ แวมๆ ดูเย้ายวนยิ่งนัก
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีมองไปยังซาลาเปาน้อยทั้งสอง “มานี่ เดี๋ยวแม่สระผมให้พวกเจ้าเอง”
ซาลาเปาน้อยส่ายหน้าพร้อมกัน แล้ว “ว่าย” เข้าไปหาจีหมิงซิว
จีหมิงซิวหัวเราะ “เดี๋ยวพ่อสระให้”
ซาลาเปาน้อยพร้อมใจกันพยักหน้า!
ผมของทั้งสองไม่มากไม่น้อย อ่อนนุ่มดุจเส้นไหม เมื่อจับอยู่ในมือ ใจก็พลอยอ่อนยวบไปด้วย
จีหมิงซิวสระผมให้พวกเขาทีละคน ทั้งสองรู้สึกสบายจนเกือบหลับอยู่ในอ้อมแขนของบิดา
“ภรรยาอยากสระด้วยหรือไม่” จีหมิงซิวหันไปถามเฉียวเวยที่นั่งอิจฉาอยู่เงียบๆ
เฉียวเวยทำเสียงหึ “ข้าจะสระเอง!”
จีหมิงซิวเขยิบมาอยู่ด้านหลังแล้วจับเส้นผมที่ดำขลับราวกับสีหมึกของนางขึ้นมา “ข้าทำให้”
เฉียวเวยเบี่ยงหนี “ไปสระให้เพื่อนเล่นในวัยเด็กของเจ้าเถอะ ยังมีสาวใช้ในห้องหับของเจ้าอีกคน!”
จีหมิงซิวพลันเลิกคิ้ว “เจ้าหึงหรือ”
เฉียวเวยทำเสียงหึหึ “ใครหึงกัน บุรุษในราชวงศ์ต้าเหลียงอย่างพวกเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้กันหมดหรอกหรือ ปากกินในชามตาก็คอยมองในหม้อ โปรดปรานสาวใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับกินชาดื่มข้าว!”
“กินข้าวดื่มชา” จีหมิงซิวช่วยแก้ให้
“กินข้าวดื่มชา!” เฉียวเวยเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว
จีหมิงซิวอมยิ้ม “สาวใช้คนนั้นข้าเคยเห็นหน้าอยู่ไม่กี่ครั้งด้วยซ้ำ หากวันนี้เจ้าไม่บอก ข้ายังไม่รู้เลยว่านางเป็นคนที่ท่านย่าส่งมาคลายความเปลี่ยวเหงาให้ข้า หากรู้แต่แรกข้าคงใช้งานนางไปแล้ว หือ?”
เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย!
เขาเลยยิ้มแล้วหอมแก้มนาง “ไม่เคยแตะต้องนางเลย”
เฉียวเวยหน้าแดงก่ำไปหมด “เจ้าแตะต้องหรือไม่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
จีหมิงซิวเอ่ยถึงสวินหลันขึ้นมาอีก “สวินซื่อมาหาข้าเพราะอยากอธิบายเรื่องเมื่อตอนเช้า นางไม่รู้ว่าเนื้อแดดเดียวที่หลิวเกอร์กินใครเป็นคนให้มา หลิวเกอร์ไม่ได้บอก นางคิดแค่ว่าเป็นสาวใช้สักคนในบ้านชิงเหลียน หากรู้แต่แรกว่าเป็นเจ้า นางคงไม่เอ่ยขึ้นมา”
“ไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้กันแน่” เฉียวเวยพึมพำ
จีหมิงซิวเลยถามว่า “ทำไมหรือ เจ้าสงสัยว่านางจะโกหก?”
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นนะ” เฉียวเวยรับรู้ได้ว่าจีหมิงซิวเชื่อที่สวินหลันบอก บางทีสวินหลันอาจจะเป็นคนดีจริงๆ นางคงแค่เอาความคิดของคนใจแคบไปตัดสินคนใจกว้างเท่านั้นกระมัง “เท่านี้หรือ”
จีหมิงซิวยิ้ม “เท่านี้เอง”
เฉียวเวยกะพริบตา “เจ้ากับนางโตมาด้วยกัน ไม่มีหวั่นไหวบ้างเลยจริงๆ หรือ”
จีหมิงซิวปรายตามองนาง “เจ้าสำนักเฉียวคิดว่าหากข้าหวั่นไหวจริงๆ จะมีเจ้าเข้ามาหรือ”
เฉียวเวยไม่รู้จะตอบอย่างไร วิธีจัดการของเขานางเคยเห็นมาก่อน เขาอยากแต่งงานกับใครไม่อยากแต่งงานกับใคร ไม่มีใครสามารถก้าวก่ายได้ทั้งสิ้น หากเขานึกชอบพอสวินหลันจริงๆ ต้องไม่มีทางให้สวินหลันมีโอกาสได้เป็นแม่เลี้ยงของเขาแน่นอน
สิ่งที่ได้รู้นี้ทำให้เฉียวเวยอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย และปล่อยผมที่อยู่ในมือออก
จีหมิงซิวจับผมที่ดำขลับราวน้ำหมึกขึ้นมาถูเบาๆ ปลายนิ้วอบอุ่นกดลงบนหนังศีรษะนาง แสนสบายจนทำให้คนอยากเปลี่ยนเป็นแมวขี้เกียจตัวหนึ่ง
“หากเจ้าชอบ ข้าจะสระให้เจ้าตลอดชีวิตเลย”
ใบหูของเฉียวเวยพลันแดงก่ำ ในใจรู้สึกคันยุบยิบไปหมด
“ไปบนเตียง?” เขาถาม
เฉียวเวย “!”
“อย่าอย่างนี้สิ ข้ากลัวข้าทนไม่ไหวจะจัดการเจ้าเสียแต่ในน้ำนี่”
เพิ่งซาบซึ้งได้แวบเดียว อีตานี่ก็เผยธาตุแท้ออกมาเสียแล้ว อีตาบ้าป่าเถื่อนตัวร้าย!
เฉียวเวยกำลังเตรียมจะสับสันมือใส่ ก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นว่า “อย่าซุกซนเป็นลิงเช่นนี้ได้หรือไม่ หากยังอยู่ไม่นิ่งอีก กางเกงจะหลุดจริงๆ แล้วนะ เด็กๆ ยังอยู่ด้วยอยู่เลย”
กางเกง?
ซุกซน?
เฉียวเวยที่เริ่มรับรู้ได้ถึงบางอย่าง หันขวับกลับไปแล้วมองลงไปข้างล่างทันที!
จีหมิงซิวตกใจจนอึ้งงัน: ภรรยาลวนลามทางสายตา?!
เฉียวเวยกระชากตัวเจ้าลามกเสี่ยวไป๋ขึ้นมาจากน้ำ จัดการฟาดผัวะผะๆ ไปยกหนึ่ง “เจ้าอยากโดนดีมากสินะ!”
กางเกงของผู้ชายข้า ข้ายังไม่เคยถอดมาก่อนเลย! แต่กลับถูกเจ้าถอดเสียแล้ว!
เสี่ยวไป๋จมูกเขียวหน้าบวม
เสี่ยวไป๋เสียใจ
ไม่ให้ดูหน้าอกก็แล้วไปเถอะ แต่นี่น้องชายก็ยังไม่ให้…
ชีวิตพังพอนช่างแสนรันทดนัก!