บทที่ 667 อุบัติเหตุของจ้าวจิ่งซวน

“แต่เรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสกุลหลูและหลูเกอไม่มากก็น้อย” ถังหลี่กล่าว ผู้อาวุโสหลูใส่ใจกับชื่อเสียงของตัวเองมาก สุดท้ายแล้วองค์หญิงอันเยว่ก็เป็นเพียงลูกสะใภ้ของเขาเท่านั้น เมื่อมีหนังสือหย่าก็แปลว่าตัดความสัมพันธ์

แต่หลูอันไม่ใช่ เขาเป็นบุตรชายของหลูเกอ

บุตรแอบอ้างขโมยผลงานของผู้อื่นเช่นนี้ บิดาจะไม่เกี่ยวอะไรด้วยจริงๆ หรือ?

ถังหลี่เดาได้ถูกต้อง เพราะไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง

หากคนเลวกระทำสิ่งที่เลวร้าย ผู้คนย่อมชินชา ทว่า หากเป็นคนดีแล้วทำเรื่องชั่วร้ายเล่า ย่อมเป็นที่ฮือฮามากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นคนดีที่ลงมือทำชั่ว ยากที่จะให้อภัยกว่าคนชั่วอยู่แล้ว

หลูอันเป็นตัวแทนของคนดีที่กระทำความชั่ว

การสาดน้ำลายของผู้คนแทบจะทำให้เขาจมน้ำตาย

“ตอนแรกข้าคิดว่าผิงหยางโหวเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะแอบอ้างผลงานของทหารร่วมรบแบบนี้ ส่วนทหารคนนั้นก็ถูกเขาปล้นทุกอย่างไปหมด น่าสงสารจริงๆ”

“ใช่แล้ว เขาเกือบถูกฆ่าตาย แต่กลับไม่ตาย ขาพิการ สภาพของเขาเหมือนหนูวิ่งข้ามถนน ช่างน่าสังเวชนัก”

“วีรบุรุษที่ถูกหลู่อันฆ่าตายเช่นนี้ ใจคอช่างโหดเหี้ยม”

“ข้าเคยคิดว่าเรื่องที่เขาโดนองค์หญิงอันเยว่หลอกลวงนั้นน่าสมเพชมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่า สกุลหลูเป็นรังของงูและหนูหรืออย่างไร? ทุกคนในสกุลช่างชั่วร้ายล้วนหาดีไม่ได้”

“ว่ากันว่าสกุลหลูเป็นสกุลซื่อสัตย์มีความยุติธรรม ตอนนี้ข้าว่าไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว นายท่านหลูเกอเลี้ยงดูบุตรมา คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเบี้ยว ข้าไม่คิดว่านายท่านหลูเกอจะเป็นคนดีอะไร?”

“หลูอันใช้อำนาจของเขาอันกลั่นแกล้งผู้อื่นเขาฉกฉวยผลงานทางทหารของผู้อื่นเช่นนี้ นายท่านหลูเกอจะไม่รู้เห็นด้วยหรือ?”

“ไม่มีทาง นายท่านหลูเกอเป็นคนดี ในตอนที่สกุลจ้าวที่อยู่ในตรอกทำผิด นายท่านหลูเกอเป็นคนที่ล้างแค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้พวกเขา”

“ในความคิดข้า เป็นเพราะฮูหยินม่ายของตระกูลจ้าวหน้าตางดงามต่างหาก นายท่านหลูเกอจึงยื่นมือเข้าไปช่วย”

หัวข้อบทสนทนาเริ่มเอนเอียงไปทางนายท่านหลูเกอ แม้มีคนมาแก้ต่างแต่ก็คนละเรื่องกัน ในอดีตใครก็คิดว่านายท่านหลูเก่อเป็นคนดี แต่ตอนนี้เมื่อย้อนคิด บางทีอาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้ …

เมื่อบทสนทนาเหล่านั้นไปถึงหูหลูเกอ เขาก็กระอักเลือดออกจากปาก ชื่อเสียงที่เขาเพียรสร้างมาหลายสิบปีพังทลายลง ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็ป่วยหนักเพราะความโกรธที่ปะทุออกมา

……

การทักท้วงคำกล่าวหายุติลงในที่สุด เมื่อกรมตุลาการหลวงไม่คัดค้านคำตัดสินจากกรมอาญา และจะดำเนินการลงโทษตามนั้น

ทางด้านหลู่เส้า ราชสำนักได้ชดเชยให้ เนื่องจากเขาอายุมากและขาพิการ จึงไม่สามารถออกรบได้อีก ดังนั้นราชสำนักได้มอบที่ดินและบ้านหลังงามให้เขา พร้อมกับยศตำแหน่งของขุนนางที่เกษียณแล้ว เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่

“ฮูหยิน ข้าเป็นขุนนางแล้วนะ” หลู่เส้าพูดด้วยรอยยิ้ม ในมือของเขาถือป้ายจารึกของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมา

“แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่อยู่กับข้าแล้ว”

…..

กลางเดือนสิบเอ็ดอากาศหนาวเย็นมากขึ้น

ถังหลี่สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ถังเป่าและมู่เป่า เด็กน้อยดูตัวพองอวบอ้วน ทั้งคู่ดูเกียจคร้านจนแทบไม่อยากขยับตัวทั้งวัน มู่เป่ามีชีวิตชีวาเช่นเดิม เขาวิ่งไปรอบๆ ห้องจนเหงื่อออกเต็มตัว

ที่หน้าสำนักฮั่นหลิน รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอด เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยลงมาจากรถม้า พวกเขาสวมเสื้อผ้าตัวหนาที่ด้านใน ส่วนด้านนอกใส่ชุดเครื่องแบบของราชสำนัก ทั้งสองรีบเข้าไปในสำนักฮั่นหลินท่ามกลางลมหนาว หลังจากที่เข้าไปแล้ว ในห้องมีเตาผิงที่ถ่านกำลังลุกโชนอยู่พวกเขาจึงค่อยๆอุ่นขึ้น

สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งนั่งลงทำงานที่วุ่นวายในที่ของตน เว่ยจื่ออั๋งเขียนรายงานอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เสร็จแล้วเขาเงยหน้ามองไปยังเก้าอี้ด้านข้าง ที่ตรงนี้ว่างมาตลอด แต่ว่าไม่มีฝุ่นเกาะเลย เนื่องจากพวกเขาสองผลัดกันเช็ดถูอย่างสม่ำเสมอ

นั่นเป็นที่นั่งของจ้าวจิ่งซวน

เขาชอบเอาจิ้งหรีดซ่อนไว้ใต้ที่นั่ง ในช่วงพักเขาก็แอบอยู่ใต้โต๊ะแล้วดูจิ้งหรีดสู้กัน

บางครั้งเขาชอบเข้ามาเงียบๆ ที่ด้านหลังของเว่ยจื่ออั๋งหรือสวี่เจวี๋ยแกล้งทำให้เขาตกใจ ทั้งสองคนชอบบ่นเขา องค์ชายหกไม่ชอบฟังเสียงบ่นของทั้งคู่ เขาจะทำตัวดีอยู่สักพัก พอลืมก็กลับมาเย้าแหย่ใหม่ เว่ยจื่ออั๋งรำคาญ แต่เมื่อเขาหายไปนานเช่นนี้…

“สวี่เจวี๋ย องค์ชายหกหายไปเกือบสี่เดือนแล้ว” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว

“ใช่แล้ว เป็นหนึ่งร้อยสิบสามวันที่เงียบมาก” สวี่เจวี๋ยพูดเสียดสี เว่ยจื่ออั๋งยิ้ม

“เจ้าจำได้อย่างชัดเจนเลย”

“ข้ามีความสุขมากตอนเขาไม่อยู่ ข้าเลยจำได้แม่น” สวี่เจวี๋ย ร้องเพลงในลำคอเบาๆ

“ปากแข็ง เจ้าก็คิดถึงเขา” เว่ยจื่ออั๋งเปิดโปงเขาอย่างไร้ปราณี สวี่เจวี๋ยไม่ได้หงุดหงิดเมื่อถูกจับได้ เขายิ้มและโค้งให้กับเว่ยจื่ออั๋ง

“จื่ออั๋งรู้ทันข้าอีกแล้ว” เว่ยจื่ออั๋งยิ้มพลางขมวดคิ้ว

“ข้าคิดถึงเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

เว่ยจื่ออั๋งค่อนข้างกังวล โจรพวกนั้นดุร้ายมาก แม้ว่าจะมีคนปกป้องจ้าวจิ่งซวนมากมายแต่องค์ชายหกเป็นพวกโง่เขลาขี้ขลาด หากมีอะไรเกิดขึ้น….

หายไปนานแล้ว…เหตุใดยังไม่กลับอีกนะ?

“หากปราบโจรได้สำเร็จ เขาน่าจะกลับมาเร็วๆนี้” สวี่เจวี๋ยกล่าว

สวี่เจวี๋ยตัดสินใจว่าแล้วว่า ยามที่องค์ชายหกกลับมาเขาจะงดเว้นการบ่นว่าเขาสักหนึ่งเดือน เพื่อเห็นแก่ที่เขาไปปราบโจรทั้งจะคอยกำชับไม่ให้สวี่เจวี๋ยบ่นว่าเขาอีกด้วย ทว่าทั้งสองคนไม่รู้ว่าในยามนี้วังหลวงได้รับจดหมาย

จดหมายฉบับนี้มาจากเหลียงโจวเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก เมื่อฮ่องเต้ทรงเปิดจดหมายออก เนื้อความในจดหมายทำให้พระองค์รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน

ข่าวเรื่องการปราบปรามโจรผู้ร้ายในเหลียงโจวนั้นถือข่าวดี แต่จ้าวจิ่งซวนทำให้พระองค์ประทับใจ แน่นอนว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่อย่างเช่นการวางกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดหรือตัดหัวของโจรอย่างกล้าหาญ แต่ฮ่องเต้ไม่คิดว่าเขาจะทำสำเร็จด้วยดี

เขาเป็นเด็กดีไม่เอาแต่ใจ รับฟังคนรอบข้างและจัดการปัญหาโจรได้สำเร็จ ขัดกับท่าทีที่ไม่เชื่อมั่นในตอนแรกอย่างมาก

พระองค์รู้สึกว่าเด็กคนนี้เติบโตขึ้นและดีกว่าจ้าวชูมากนัก หลังจากการปราบโจรในครั้งนี้ฮ่องเต้ตั้งพระทัยว่าจะเอาเขามาฝึกฝนและมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่เขา แต่จดหมายฉบับนี้ทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัย

สิบห้าวันก่อนตอนที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับ ได้ถูกกลุ่มโจรตามล่า องครักษ์ที่อยู่รอบตัวจ้าวจิ่งซวนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จ้าวจิ่งซวนตกลงไปในแม่น้ำ ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีประการใด

แม่น้ำแห่งนี้ไหลเชี่ยวมาก พวกเขาค้นหามาหลายวันแล้วแต่ยังไร้ร่องรอย จนพวกเขาคิดว่าองค์ชายไม่น่าจะมีชีวิตรอด ฮ่องเต้โจวปวดพระเศียร ทั้งๆ ที่ในตอนนี้ทรงตัดสินใจเลือกโอรสที่ไร้ประโยชน์ของเขาแล้ว แต่เหตุใดสวรรค์ถึงกลั่นแกล้ง ราวกับไม่อยากให้พระองค์ได้มีผู้สืบทอดในราชบัลลังก์เช่นนี้