บทที่ 668 ความเจ็บปวดของคนรัก

ทุกคนพากันพูดว่า รัชทายาทพระองค์ก่อนช่างเหมือนเขามาก เสียดายที่ฮ่องเต้โจวลังเล

เขาเป็นฮ่องเต้ก่อนที่จะเป็นบิดาหรือสามี เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่

หลังจากที่รัชทายาทพระองค์แรกถูกปลดและสิ้นพระชนม์ ความสนใจของพระองค์พุ่งเป้าไปที่องค์ชายสาม แต่จ้าวชูกลับทำให้พระองค์ทรงผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จนหันความสนใจไปที่จ้าวจิ่งซวนแต่กลับล้มเหลว

เมื่อมองดูบรรดาบุตรชายที่เหลือ ล้วนไม่มีใครมีความสามารถ จากอดีตที่ผ่านมาหลายราชวงศ์ได้ล่มสลายลง เพราะทายาทที่ไร้ประโยชน์ หากการแต่งตั้งรัชทายาทล้มเหลวทุกอย่างที่บรรพบุรุษสร้างมาก็ล้มหายไปในพริบตา

“สั่งให้คนไปตามหาจ้าวจิ่งซวน ถ้าไม่พบก็ไม่ต้องกลับมา ฆ่าโจรพวกนั้นให้หมดอย่าได้เหลือใครเอาไว้!”

พระสุรเสียงเย็นเยียบ

ข้าราชบริพารรับพระบัญชาแล้วพากันถอยออกไป

ฮ่องเต้โจวประทับนิ่งบนบัลลังก์

“ฝ่าบาท มีจดหมายจากจิ่งซวนหรือไม่เพคะ ตอนนี้ลูกหกอยู่ที่ไหนแล้ว?” นางสนมเหลียงทูลถาม แต่เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ พระสนมเหลียงถึงกลับตกพระทัย

“ฝ่าบาท…”

พระองค์ทอดพระเนตรไปยังนางสนมเหลียง ตรัสด้วยพระสุรเสียงแหบแห้ง

“พวกโจรไล่ล่าจิ่งซวนจนเขาตกลงไปในแม่น้ำ ตอนนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร” พระสนมเหลียงสีพระพักตร์ซีดเซียว ประชวรพระวาโยจนหมดพระสติไป

ยามที่นางฟื้นคืนสติ ได้ยินเหมือนเสียงจ้าวจิ่งซวนพูดออดอ้อนกับนางว่า

“เสด็จแม่ เสด็จแม่ ท่านทรงดูแลแม่ทัพของข้าดีหรือไม่?”

“แม่ทัพฉางเซิง แม่ทัพฉางเซิงอยู่ที่นี่ มันตัวอ้วนขึ้นมากนะ แม่จะให้นางกำนัลไปเอามาให้เจ้าดู” นางสนมเหลียงตรัส และทรงกลิ้งตกจากแท่นบรรทม

“พระสนม!” นางกำนัลรีบวิ่งเข้ามาหา

“จิ่งซวนอยากได้แม่ทัพฉางเซิงของเขา ไปเอามาให้ข้าเร็วๆ” นางสนมเหลียงร้อนพระทัย

“พระสนม องค์ชายยังไม่กลับมาเพคะ” นางกำนัลทูลตอบ นางสนมเหลียงประทับนิ่ง

“ไร้สาระ เมื่อครู่จิ่งซวนกำลังยืนคุยกับข้าอยู่” นางสนมเหลียงชี้ไป นางกำนัลหันตามไปมอง

ที่นั่นว่างเปล่าไร้ผู้คน

พระสนมเหลียงทรุดลงไปกับพื้น นางจำได้ว่าฝ่าบาทตรัสเรื่องที่จิ่งซวนตกแม่น้ำไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร พระสนมเหลียงทรุดวรกายลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ข้าผิดหรือเปล่า?..” พระสนมเหลียงจับมือนางกำนัลคนสนิท

“พระสนม..” นางกำนัลคนสนิทเศร้าใจ

พระสนมเหลียงทรงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ นางกลายเป็นหญิงที่อ่อนล้า สิ้นหวังเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

“จิ่งซวนไม่อยากไปเหลียงโจวเพื่อปราบโจร…เขากลัว ข้าไม่ควรบังคับเขา”

“เขาไม่อยากเป็นฮ่องเต้ เขาอยากเป็นเพียงองค์ชายที่เกียจคร้านเท่านั้น ข้าไม่ควรบังคับเขาเลย”

เมื่อจิ่งซวนตกลงไปในแม่น้ำเช่นนั้น เขาคงจะหนาวและสิ้นหวังเป็นอันมาก

ในตอนนี้พระสนมเหลียงไม่ต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากขอให้บุตรชายของนางกลับมาปลอดภัยเท่านั้น นางปิดหน้าสะอื้นไห้ออกมา

…..

“ครานั้นดอกไม้ผลิบานสะพรั่ง กิ่งก้านชูช่ออย่างมีชัย ยามลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา กลับทำให้ดอกไม้เหี่ยวเฉาถึงกับถอนรากถอนโคน… ช่างน่าเสียดายนัก ความภูมิใจเย่อหยิ่ง หากรู้เก็บไว้กับตัวอย่าได้เที่ยวไปอวดอ้างจะดีเสียกว่า…”

หวังกุ้ยเฟยพึมพำเบาๆ ด้วยพระสุรเสียงเต็มไปด้วยความยินดี นางทอดพระเนตรพระหัตถ์ของตนพลางคิดถึงสีหน้าของพระสนมเหลียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจยามที่ฝ่าบาทส่งจ้าวจิ่งซวนไปปราบโจร ยามนี้สีหน้าของนางคงทั้งตกใจและสิ้นหวัง คิดแล้วหวังกุ้ยเฟยก็อดมีความสุขจนแทบจะล้นปรี่ออกมาเสียไม่ได้

สนมเหลียงคิดว่า ชูเอ๋อร์ทำผิดพลาดมามากมายหลายครั้ง ทำให้ไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท นางคิดหรือว่าบัลลังก์จะตกเป็นของจ้าวจิ่งซวน?

ฝันไปเถอะ!

ในตอนนี้ชูเอ๋อร์และสกุลหวังเพียงแค่รอนิ่งๆ เท่านั้น วันหนึ่งพวกนางจะต้องก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้

….

ข่าวขององค์ชายหกแพร่กระจายออกไป ทำให้ผู้คนที่ถือหางข้างฝั่งองค์ชายหกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาต้องซ่อนทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาตกใจ เหตุใดจึงมีเรื่องเกิดขึ้นกับองค์ชายหกได้?

ดวงตาของเว่ยจื่ออั๋งเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเงยหน้าขึ้น ในขณะที่สวี่เจวี๋ยยืนอยู่ข้างเขา

“สวี่เจวี๋ย เราไม่ควรโน้มน้าวให้เขาไปเหลียงโจวเพื่อปราบโจรเลย” เว่ยจื่ออั๋งพูด

“พระบรมราชโองการออกมาแล้ว นั่นเป็นภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้องค์ชายหก ต่อให้เราไม่ได้โน้มน้าวเขา อย่างไรเสียเขาก็ต้องไปอยู่ดี” สวี่เจวี๋ยกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นเว่ยจื่ออั๋งก็ยังรู้สึกผิดและเสียใจ

“องค์ชายหก…เขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย” สวี่เจวี๋ยว่า

“จริงหรือ?” เว่ยจื่ออั๋งรีบถาม สวี่เจวี๋ยพยักหน้าหนักแน่น ในตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็นตอนนี้ใบหน้าของสวี่เจวี๋ยฉายแววความคมเข้มและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ท่าทีที่หนักแน่นจริงจังของเขาทำให้ผู้คนเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาพูด พวกเขากินข้าวกันเงียบๆ ไม่นานเว่ยจื่ออั๋งก็วางตะเกียบลงในขณะที่กินไปไม่ถึงครึ่งชาม

ถังหลี่สังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรชาย เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเป็นเด็กหนุ่ม ปกติะกินข้าวสามชามต่อมื้อ ตอนนี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับจ้าวจิ่งซวนเขาย่อมกังวลเป็นธรรมดา ตอนที่ถังหลี่ได้ยินเรื่องนี้ ยังทำใจยอมรับได้ยาก จะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเด็กดีเช่นนั้นได้อย่างไร

ลางร้ายอะไรกันนะ…

หลังมื้อเย็น

ถังหลี่และเว่ยฉิงเรียกเด็กหนุ่มทั้งสองคนมานั่งคุย

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าอยากไปหาองค์ชายหก” เว่ยจื่ออั๋งพูดขึ้น

“เจ้าเป็นบัณฑิตที่อ่อนแอ ถ้าเจ้าไปไกลขนาดนั้นพ่อมิต้องตามไปหิ้วเจ้ากลับมาหรือ?” เว่ยฉิงพูดพร้อมกับตัดความคิดเพ้อเจ้อของบุตรชายทิ้งไป เว่ยจื่ออั๋งพูดต่อด้วยท่าทีสงบ

“ข้าเพียงอยากทำอะไรบ้าง แต่ข้าไม่มีความสามารถเลย”

“ฝ่าบาทส่งคนออกไปตามหาองค์ชายแล้ว อย่างไรก็ต้องพบแน่นอน” เว่ยฉิงพูด

“อย่าคิดมาก พวกเจ้ากินอิ่มนอนหลับให้พอเถอะ”

“จ้าวจิ่งซวนเป็นเด็กโหงวเฮ้งดี เขาไม่ตายง่ายๆ หรอก อย่าได้กังวลไป” เว่ยฉิงพูดย้ำอีกครั้ง ต่อหน้าลูกๆ เขายังคงเด็ดขาด เมื่อได้ยินที่บิดาและสวี่เจวี๋ยพูดตรงกัน เว่ยจื่ออั๋งเริ่มเชื่อแล้วว่าจ้าวจิ่งซวนจะกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งสองคนจากไปทิ้งให้ถังหลี่อยู่เว่ยฉิงสองคน

“สามี ท่านดูโหงวเฮ้งเป็นด้วยหรือ?” ถังหลี่เหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้นมา

“ถ้าข้ารู้วิธีดูโหงวเฮ้ง ข้าจะเช่าแผงดูในตลาดคิดค่าดูคนละสิบตำลึง ข้าคงจะร่ำรวยมากกว่าเป็นเจ้ากรมอาญา”

“ต่อให้เป็นเทพเซียนอมตะก็ไม่สามารถเรียกเงินสิบตำลึงได้ ท่านช่างหน้าเลือดจริงๆ” ถังหลี่ว่า พวกเขาพูดหยอกล้อกันทั้งที่ในใจหนักอึ้ง

“สามี เจ้าคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับองค์ชายหกหรือไม่ เหตุใดถึงเป็นแบบนี้? ”

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับจ้าวจิ่งซวนจริง พวกเขาคงรู้สึกไม่ค่อยดี ประการแรกคือถังหลี่ชอบเด็กหนุ่มมาก เขาเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวา นางจึงไม่อยากให้อะไรเกิดขึ้นกับเขา อีกทั้งเขายังเป็นสหายที่ดีของสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

อีกประการหนึ่ง สามีของนางอยากให้องค์ชายหกเป็นรัชทายาทและฮ่องเต้ เพื่อทวงความเป็นธรรมให้สกุลเซียว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับจ้าวจิ่งซวนแผนนี้ต้องพังไม่เป็นท่า ที่น่าวิตกไปกว่านั้นคือจ้าวชูอาจจะผงาดขึ้นมาแทน

“อาจจะไม่ใช่พวกโจร บางทีอาจเป็นจ้าวชูและสกุลหวังก็เป็นได้” เว่ยฉิงกล่าว