บทที่ 616 หรือว่านี่จะเป็นความชอบที่มารดาของนางมักพูดถึง?
บทที่ 616 หรือว่านี่จะเป็นความชอบที่มารดาของนางมักพูดถึง?
เจี่ยงเถิงรู้ว่าการกระทำของตัวเองอาจจะทำให้อาซือหวาดกลัว แต่ในเมืองหลวงยังมีองค์รัชทายาทคอยจับจ้องอยู่ อาซือก็ยังบริสุทธิ์ ถ้าตัวเองไม่เร่งมือเกิดอาซือถูกคนลักพาตัวไปอีกมีหวังเขาคงได้เสียใจไปตลอดชีวิตแน่
บางทีอาจเพราะอาการบาดเจ็บในครานี้ ทำให้เจี่ยงเถิงยิ่งเข้าใจว่าอาซือมีความสำคัญกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงได้ร้อนใจ และมักจะเก็บงำอยู่ในใจ ยากที่จะเอ่ยออกมา
อาซือยังไม่เปิดใจ เขาจะต้องลงมือเองถึงจะสามารถพิชิตใจของอาซือได้
“พี่อาเถิงเป็นอะไรไป?” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง อาซือคิดว่าเขาไม่สบาย จึงรีบยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเขา พบว่าไม่ได้ร้อนจึงมองเจี่ยงเถิงไม่ละสายตา
ใครจะไปรู้เล่าว่าจะสบสายตากับเขาพอดี ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองนาง นัยน์ตามีเพียงนางผู้เดียว
บางทีอาจเพราะเจี่ยงเถิงไม่ทันสังเกตเห็นว่าตัวเองได้ขยับเข้าไปใกล้อาซือมากขึ้น เขาอยากเข้าใกล้นางยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น
หลินซือรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดของเจี่ยงเถิง จู่ ๆ สมองของนางก็หยุดความคิดทุกอย่าง ยิ่งได้เห็นเจี่ยงเถิงในระยะใกล้ ก็ยิ่งไม่รู้จะพูดอะไร บางทีอาจเพราะความกังวลในใจทำให้นางไม่รู้จะพูดอะไรก็ได้
สุดท้ายก็ยังไม่ได้ใกล้กันเกินไปกว่านี้ เจี่ยงเถิงแค่ฝากรอยจุมพิตบาง ๆ ไว้บนหน้าผากของหลินซือ เหลือระยะความปลอดภัยเอาไว้
เขากลัวว่าถ้าตัวเองใกล้อาซือไปมากกว่านี้ และอาจจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
“กลัวหรือ?” ครั้นเห็นท่าทางอึ้งงันของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็อดยิ้มไม่ได้ เหมือนกับว่าตัวเองมุทะลุเกินไป
“พี่อาเถิง จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่ามีของที่ยังไม่ได้เก็บ ข้าขอตัวไปเก็บของก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยมาหาท่าน” หลังกล่าวจบ หลินซือก็เร่งฝีเท้าวิ่งออกจากห้องไป
โชคดีที่ภายในห้องไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ตัวอื่น มิเช่นนั้นจากปฏิกิริยาของหลินซือในตอนนี้ อาจจะชนจนตัวเองบาดเจ็บก็เป็นได้
วินาทีที่หลินซือออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงเถิงก็หุบลง มีเพียงสายตาที่เย็นชาเข้ามาแทนที่
แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอาซือใกช้ชิดกัน แต่สิ่งที่ต้องแลกกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนบางคนมักไม่รู้จักความตาย ซึ่งเขาก็คงปล่อยไว้ไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้มีตาหามีแววไม่ กล้าแตะต้องดวงใจของเขา เช่นนั้นก็ต้องรับความโกรธของเขาให้ได้
หลังจากที่หลินซือออกจากห้องไป ก็วิ่งตรงไปยังห้องของตัวเอง แล้วทำการปิดประตูแต่ก็ไม่ลืมที่จะกุมหน้าอกของตัวเอง นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นตึกตัก ทำอย่างไรก็สงบลงไม่ได้
การกระทำของพี่อาเถิงเมื่อครู่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ต้องยอมรับว่านางตกใจ แต่ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกดีใจอยู่เลือนราง ดูเหมือนจะมีบางอย่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาระหว่างนางและพี่อาเถิง
นางไม่รู้เช่นกัน ถ้าเมื่อครู่พี่อาเถิงไม่เปลี่ยนทิศทาง นางจะทำอย่างไร? หรือนี่คือความชอบที่มารดามักพูดถึง?
เมื่อสัมผัสได้ถึงหัวใจที่สงบลง หลินซือรีบฟุบหน้าลงบนโต๊ะ แต่มุมปากกลับค่อย ๆ กระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ความหอมหวานในหัวใจค่อย ๆ เกาะกุมอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็กระจายไปทั่วทั้งห้อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเช้า ครั้นถึงเวลามื้อเที่ยง น้อยนักที่หลินซือจะไม่เข้าไปเกาะแกะเจี่ยงเถิง แต่ตอนนี้ตัวเองกลับนั่งกินข้าวอย่างว่าง่าย แม้แต้สายตาก็ยังไม่กล้ามองเจี่ยงเถิงมากนัก
ครั้นเห็นท่าทางของอาซือ เจี่ยงเถิงก็อดยิ้มไม่ได้ ด้วยความเขินอาย อาซือในมุมนี้ ห่างจากคำว่าเปิดใจอีกไม่ไกล เขาจะต้องพยายามต่อไป
“อาซือ”
“หื้อ?” หลินซือที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าวได้ยินเสียงของพี่อาเถิง ก็รีบผงกหัวขึ้นมองเจี่ยงเถิงด้วยจิตใต้สำนึกทันที
“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
“ข้ารู้แล้ว พี่อาเถิง ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่สำลักหรอก แค่ก แค่ก แค่ก พรวด แค่ก แค่ก” ยังไม่ทันพูดจบ หลินซือก็เกิดอาการสำลักอย่างที่ไม่คาดคิด
ทั้งใบหน้าแดงก่ำด้วยอาการสำลัก เจี่ยงเถิงเห็นดังนั้นก็รีบทิ้งตะเกียบและชามข้าวในมือของตัวเอง แล้วเดินมาข้างกายของหลินซือ จากนั้นก็ตบแผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา หวังให้นางหายจากอาการสำลัก
หลังจากที่หลินซือสงบลง เจี่ยงเถิงจึงนั่งลงบนตำแหน่งของตัวเองอย่างช้า ๆ
“ไหนบอกว่าไม่ใช่เด็ก ข้าไม่เคยเห็นเจ้าโตเลย”
“ไม่โตก็ไม่โตสิ ถึงอย่างไรก็มีพี่อาเถิงเคียงข้างข้าอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องโตด้วยเล่า”
“นั้นสิ มีข้าอยู่เคียงข้างเจ้าไม่ต้องโตก็ได้” ครั้นเห็นท่าทางหยอกเล่นของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ถ้าอาซืออยู่ข้างกายเขาไปตลอด ขอแค่อาซือมีความสุขก็พอ เรื่องอื่นไม่สำคัญ
“อื้อ ก็ใช่นะสิ พี่อาเถิงดีที่สุดแล้ว” ครั้นเห็นปฏิกิริยาของเจี่ยงเถิง หลินซือก็ฉีกยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ต่อหน้าพี่อาเถิง นางมักจะกระเง้ากระงอนอย่างไม่เกรงกลัว บางทีอาจเพราะความลำเอียง จึงทำเรื่องที่ตัวเองชอบได้อย่างไร้ซึ่งความกดดัน
“คืนนี้พักผ่อนมาก ๆ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแล้ว”
“เจ้าค่ะ” หลังกินมื้อค่ำเสร็จ เจี่ยงเถิงก็ไม่ได้หยอกเย้าหลินซืออีก หลังจากกินมื้อค่ำเรียบร้อย ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้านอนในห้องของตัวเอง
เช้าวันที่สอง ทั้งสองคนได้เดินอยู่บนเส้นทางขากลับ เพราะมีบทเรียนในคราวที่แล้ว ครานี้จึงเลือกเส้นทางที่มีผู้คนพลุกพล่าน ล้วนเป็นแผนการของเจี่ยงเถิง เพื่อความปลอดภัยของหลินซือ ไม่ว่าสิ่งใดเขาก็ทำได้ทั้งนั้น
อีกด้านหนึ่ง องค์รัชทายาทก็ได้ยินข่าวการกลับเมืองของหลินซือเช่นกัน แม้ว่าจะประทับอยู่ในวัง แต่องค์รัชทายาทก็ยังรับรู้ข่าวสารได้อย่างว่องไว
ช่วงนี้ลู่เหยาก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะไม่เข้าวังมาหาเขาเลย หรือว่าต้องให้เขาไปหานางด้วยตัวเอง?
ครั้นนึกถึงคำพูดของตู้เหิงในคราวที่แล้ว องค์รัชทายาทก็โกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของลู่เหยา เขาคงจะสั่งสอนตู้เหิงไปแล้ว
เพราะไม่รู้ตัว ลู่เหยาได้อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ในหัวใจขององค์รัชทายาทไปแล้ว แต่องค์รัชทายาทไม่ได้ตระหนักรับรู้เองเท่านั้น
“องค์รัชทายาท ฝ่าบาทเหม่อลอยอีกแล้ว”
เซี่ยเชียนกำลังสอนบางอย่างตรงหน้าเขา องค์รัชทายาทและหลินเซินนั่งฟังการสอนอยู่ข้างล่าง
ทันทีที่เซี่ยเชียนอธิบายเรื่องแผนการการบริการบ้านเมือง ครั้นหันกลับไปมองและเห็นองค์รัชทายาทกำลังเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจฟังว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เดิมทีเขาไม่อยากเป็นอาจารย์สอนองค์รัชทายาทอยู่แล้ว แต่องค์จักรพรรดิทรงมาไว้วางใจ เขาก็เดินออกไปไม่ได้ จึงคิดจะถ่ายทอดความสามารถของตัวเองให้แก่องค์รัชทายาทได้แค่ไหนก็แค่นั้น
ปกติแล้วองค์รัชทายาทตั้งใจเรียนมาก แต่ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไมมักจะเหม่อยลอยอยู่เสมอ เซี่ยเชียนพบว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง
“ท่านอาจารย์เซี่ย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ รบกวนท่านสอนอีกครั้งได้หรือไม่”
องค์รัชทายาทคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะนึงถึงลู่เหยาจนเหม่อลอย เขาจึงแอบด่าทอตัวเองพลางขอร้องให้อาจารย์เซี่ยช่วยอิบายอีกครั้งอย่างจริงจัง
เซี่ยเชียนที่มีน้ำโหอยู่แล้วครั้นเห็นองค์รัชทายาทอ่อนน้อมถ่อมตน ความโกรธทั้งหมดจึงทำได้แค่ฝั่งมันกลับเข้าไปในหัวใจ