บทที่ 617 ข้ารู้ผิดแล้ว
บทที่ 617 ข้ารู้ผิดแล้ว
“องค์รัชทายาท เหม่อลอยตอนฟังกลยุทธิ์บ้านเมืองกระหม่อมยังอธิบายอีกรอบได้ แต่ถ้าอยู่ในสนามรบจริง ผลลัพธ์จากการเหม่อลอยคือการนำชื่อเสียงมอบให้กับศัตรูเชียวนะ แม้ว่าฝ่าบาทจะเป็นองค์รัชทายาท แต่ก็เป็นว่าที่องค์จักรพรรดิของแผ่นดินในอนาคต หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทำเรื่องที่ตัวเองจะต้องเสียใจภายหลังเพราะเรื่องของตัวเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“คำสอนของอาจารย์ ข้ารู้ผิดแล้ว”
“ช่างเถอะ กระหม่อมจะอธิบายอีกครั้ง องค์รัชทายาทต้องตั้งใจฟังนะพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเชียนหันกลัยบไปและเริ่มอธิบายอีกครั้ง
ช่วงนี้หลินเซินก็รู้สึกว่าองค์รัชทายาทมักผิดแปลกไป แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน ทำได้เพียงกระซิบกับองค์รัชทายาทอยู่ข้างล่างอย่างเงียบ ๆ
“องค์รัชทายาท ช่วงนี้ฝ่าบาทเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร พี่สาวของเจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานเพิ่งได้รับจดหมายจากท่านพี่ บอกว่านางและพี่เจี่ยงเถิงกำลังเดินทางกลับแล้ว คาดว่าคงจะถึงเร็ว ๆ นี้ องค์รัชทายาททรงทราบได้อย่างไร?”
“ข้ารู้ได้อย่างไร ต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ?” องค์รัชทายาทมองหลินเซิน พลางเอ่ยอย่างมีความหมายแอบแฝง
หลินเซินรู้ว่าตัวเองถูกปฏิเสธ จึงกลับไปตั้งใจฟังเซี่ยเชียนสอนบทเรียนต่อ
เห็นได้ชัดว่าทุกครั้งองค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายถามเขา ตัวเองเพิ่งจะถามเพียงคำถามเดียว เหตุใดองค์รัชทายาทถึงไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นหลินเซินกลับไปนั่งอย่างว่าง่าย องค์รัชทายาทก็ทรงเริ่มนึกถึงเรื่องราวในช่วงนี้อีกครั้ง
แม้ว่าช่วงนี้จะทรงถูกขังอยู่ในวัง แต่เสด็จพ่อมักบอกเสมอว่าช่วงนี้เขาว่านอนสอนง่าย ดังนั้นจึงยอมให้เขาเสด็จออกนอกวังไปพักผ่อนหย่อนใจได้
แม้ว่าเขาจะได้รับการยอมรับจากองค์จักรพรรดิ แต่การจะเสด็จออกจากวังกลับไม่ง่าย
ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลินซือ ต่อให้เขาเสด็จออกนอกวังไปก็ไร้ความหมาย ช่วงนี้เขาค่อนข้างคิดมาก เจี่ยงเถิงผู้นั้นก็เป็นเพื่อนในวัยเด็กของหลินซือ ถึงได้ภาคภูมิใจมากเพียงนี้ใช่ไหม?
ตราบใดที่เขาปฏิบัติกับหลินซือดีกว่า ก็ไม่ต้องกลัวว่าหลินซือจะไม่ชอบเขา
อีกอย่างเด็กผู้หญิงล้วนชอบการเอาใจ เขาต้องแสนดีกับนางมากหน่อย ซื้อของที่นางชอบกิน แบบนี้หลินซือจะกลัวเขาได้อย่างไรกัน?
ครั้นคิดได้ ความรู้สึกขององค์รัชทายาทจึงดีขึ้น
หลินซือเป็นความหลงใหลหลังจากที่เขากลับมาเกิดใหม่ และเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา ถ้าชาตินี้ได้แต่งงานกับหลินซือนับว่าภารกิจของเขาสมบูรณ์โดยแท้จริง
แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับกลัวที่จะได้เห็นสายตาผิดหวังของหลินซือ สายตานั้นเหมือนกับดาบเล่มคมก็มิปาน มันปักลงมากลางใจของเขา
หลังจากเรียนเสร็จ เซี่ยเชียนก็จากไป แต่ก่อนจากไปเขาได้มอบหมายแบบฝึกหัดไว้ไม่น้อย ให้ทั้งสองคนทำ
ในตอนที่หลินเซินอยู่เรือนเซี่ยเชียนมักจะเข้มงวดต่อความต้องการของเขา ดังนั้นการทำแบบฝึกหัดนับว่าไม่นักหนาอะไร
แต่องค์รัชทายาททรงแตกต่างกัน ความวุ่นวายเมื่อครั้งอดีตชาติใครเล่าจะคาดการณ์ได้ แต่บัดนี้ตัวเองเป็นถึงองค์รัชทายาท ย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างรอบคอบในทุกด้าน
ครั้นเห็นแบบฝึกหัดหนาเตอะ องค์รัชทายาทถึงกับเวียนศีรษะ แต่ครั้นนึกถึงองค์จักรพรรดิ เขาจึงต้องฝืนทำต่อไป
หลินเซินดีเสียทุกอย่าง แต่ดื้อรั้นเกินไปหน่อย เซี่ยเชียนบอกไม่ให้เขาช่วยตนทำแบบฝึกหัด หลินเซินจึงไม่ช่วยตนทำ ไม่ว่าตนจะบีบบังคับหรือว่าหลอกล่อก็ล้วนแต่ไม่ได้ผล
บัดนี้หัดฉลาดขึ้น ถ้ามีแบบฝึกหัด หลินเซินจะเป็นคนที่ชิ่งหนีได้เร็วที่สุด เพราะกลัวองค์รัชทายาทจะรั้งตัวเขาไว้
ครั้นเห็นหลินเซินจากไป เหล่านางกำนัลก็เข้ามา
“องค์รัชทายาท เรากลับตำหนักกันเถอะเพคะ”
“ไม่ เราจะไปตำหนักกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
“เพคะ เช่นนี้ทุกคนจะต้องชื่นชมในความกตัญญูขององค์รัชทายาทแน่นอนเพคะ” นางกำนัลเหมือนจะน้อมรับคำสั่ง แต่ครั้นได้ยินองค์รัชทายาทตรัสว่าจะไปตำหนักสวีกุ้ยเฟยก็รีบชื่นชมทันที
แม้ว่าสวีกุ้ยเฟยจะเป็นแม่เลี้ยงขององค์รัชทายาท แต่กลับไม่ได้รู้สึกพิเศษกับองค์รัชทายาทแต่อย่างใด ดังนั้นนับตั้งแต่องค์รัชทายาททรงย้ายออกมาก็ทรงเสด็จไปยังตำหนักของสวีกุ้ยเฟยน้อยมาก แต่วันนี้องค์รัชทายาททรงเอ่ยปากเอง สถานการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าน้อยครั้งจะเกิดขึ้น
“เจ้ามัวพล่ามอะไรอยู่อีก รีบเก็บของไปกันได้แล้ว” เขากล่าวพลางมองนางกำนัลผู้ติดตามด้วยสายตาไม่พอใจ
เหตุใดองค์รัชทายาทจะไม่รู้จักวังแห่งนี้ นี่เป็นคำสั่งของสวีกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้
“เพคะ” ครั้นได้ยินคำสั่งขององค์รัชทายาท นางกำนัลก็รีบเก็บของอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตามองค์รัชทายาทไปยังตำหนักของสวีกุ้ยเฟย
สวีกุ้ยเฟยคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะปรากฏตัวตรงหน้า จึงทรงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ลูกขอน้อมทักทายเสด็จแม่”
“จ้ะ องค์รัชทายาททรงลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ายังไม่รีบนำเก้าอี้มาให้องค์รัชทายาททรงนั่งอีกหรือ?” สวีกุ้ยเฟยนำเก้าอี้มาให้องค์รัชทายาท จากนั้นก็ให้นางกำนัลยกขนมและน้ำที่องค์รัชทายททรงชื่นชอบเข้ามา
“ช่วงนี้สุขภาพร่างกายของเสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“แม่สบายดี ช่วงนี้องค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องเสวยแต่ของมีประโยชน์นะ ช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน ระวังเป็นลมแดด” สวีกุ้ยเฟยลูบศีรษะขององค์รัชทายาท แต่ครั้นเห็นสีหน้าขององค์รัชทายาท สุดท้ายก็ทำได้แค่ตบไหล่ของเขาเบา ๆ
ไม่รู้ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่องค์รัชทายาทเพิ่งจะมีพระชนมายุไม่ถึงสิบพรรษา แต่กลิ่นอายรอบตัวกลับทำให้ไม่อาจละเลยได้
สวีกุ้ยเฟยทรงเฝ้ามององค์รัชทายาทเติบใหญ่มาตลอด บางครั้งอาจจะก่อเกิดภาพลวงตา ว่านั้นคือองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนกับเป็นองค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินแล้ว
“ขอบพระทัยในความห่วงใยของเสด็จแม่ ลูกสบายดี คนรอบตัวต่างปรนนิบัติอย่างดี”
“วันนี้มาหาแม่ถึงที่นี่ทรงมีเรื่องอันใด?”
“ลูกแค่รู้สึกว่าไม่ได้มาเยี่ยมเสด็จแม่นานแล้ว จึงอยากมาเยี่ยมเยือนเสียหน่อย มาพูดคุยกับเสด็จแม่บ้าง” องค์รัชทายาททรงกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ทั่วร่างกายดูเหมือนเด็กที้มีความกตัญญูอย่างไรอย่างนั้น
“องค์รัชทายาททรงมีน้ำใจ แม่สบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าห่วงแต่เล่น มิเช่นนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงตำหนิเจ้าได้”
ตอนนี้สวีกุ้ยเฟยยังจดจำคำสบประมาทที่ตัวเองได้รับในห้องทรงอักษรครานั้นได้เสมอ องค์จักรพรรดิมักเป็นเช่นนี้ ยามชื่นชอบก็ทะนุถนอมดุจหยกล่ำค่า ยามไม่ชอบก็ทิ้งอย่างไร้ค่า บางครั้งก็รู้สึกละอายแก่ใจจะต้องชดใช้ด้วยบางสิ่ง สถานที่ที่ตัวเองดึงดันจะมาในตอนแรก กลับกลายเป็นคุกที่กักขังตัวเองไว้
ส่วนชายที่ตนชื่นชอบ ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตลอดชีวิต
ตัวเองในตอนนี้ แม้ว่าปรารถนาจะได้เจอเขาเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ก็ยังสามารถยืมชื่อขององค์รัชทายาทเข้าไปเจอเขาในยามที่องค์รัชทายาทเลิกเรียนได้ แม้ว่าเขาจะเมินเฉยนางก็ตาม
“ลูกเข้าใจแล้ว เสด็จแม่วางใจเถอะ”
“เช่นนั้นก็ดี องค์รัชทายาททรงโตแล้ว รู้ความ แม่ขอชื่นชม”
เสด็จแม่ ช่วงนี้เหตุใดคุณหนูลู่ถึงไม่เข้าวังเลย?”
“คุณหนูลู่? เจ้าคงจะหมายถึงลู่เหยาแห่งจวนตู้เหิงสินะ”
จู่ ๆ ก็ได้ยินองค์รัชทายาทเอ่ยถึงชื่อของผู้อื่นจากปากตัวเอง สวีกุ้ยเฟยไม่ค่อยคุ้นชินนัก
ครั้นได้เห็นองค์รัชทายาท…