บทที่ 649 แผนการที่รอบคอบ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

จวนเซียวอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเลยหมิง เป็นจวนที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ที่นี่ไม่มีกำแพงล้อมรอบสูงๆ และไม่มีทหารคุ้มกันอย่าหนาแน่น ห่างกันไม่ไกลกับจวนข้างๆ มีเพียงรั้วที่เตี้ยกว่าความสูงคนล้อมไว้ แม้จะดูแล้วไม่ทรงอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ แต่มีสง่าราศี อีกทั้งยังแสดงออกถึงความเป็นกันเองอย่างมาก

แต่เวลานี้เจ้าพระยาเซียวที่ได้รับความเคารพเป็นที่สุดจากคนเมืองเลยหมิง ตอนนี้นอนอยู่บนเตียง ยังหมดสติไม่ฟื้นขึ้นมา

กลับเป็นส้งเย่นกุย ออกจากถ้ำ หลังจากที่ลงมาจากวิหารเทพแห่งภูเขา เขาก็ฟื้นแล้ว ฟื้นคืนเป็นท่าทางของปัญญาชนแบบที่ผ่านมา

แต่เขากลับซึมเศร้ากว่าปกติมาก

เพียงเพราะครั้งนี้ไม่เพียงไม่ได้ช่วยเหลือ กลับยังเป็นตัวถ่วง ความสามารถที่มีเปล่าประโยชน์ และไม่สามารถปกป้องเจ้านายของตัวเองได้ เขาเริ่มสงสัยการมีชีวิตอยู่แล้ว

ยุคแรกเป็นเช่นนี้

ปัจจุบันนี้ก็เป็นเช่นนี้

ความคงอยู่ของเขามีประโยชน์อย่างไรกันแน่?

หลานเยาเยาเดินมาจากด้านข้าง เห็นส้งเย่นกุยความรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจยืนอยู่ที่ศาลา นางเดินขึ้นไปไม่ช้าไม่เร็ว เดินเข้าไปในศาลา

“อาส้งกำลังสงสัยการมีชีวิตอยู่ของคนหรือ?”

“ข้าเพียงถอนหายใจที่ตัวเองไร้ความสามารถ และไม่สามารถคุ้มครองท่านได้ตลอดไป ทุกครั้งที่ถึงเวลาคับขันก็โดนผลกระทบของอุกกาบาต หากว่าในยุคแรก ข้าสามารถมาถึงได้ทันเวลา ท่านกับเขาก็คงไม่……”

คำพูดด้านหลังส้งเย่นกุยไม่ได้พูดแล้ว

ก่อนหน้านี้สำหรับเรื่องประเภทนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ แต่ตอนนี้ ในใจเขารู้สึกถึงอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ความรู้สึกแบบนี้เขาไม่ชอบ

“เรื่องราวของอดีตผ่านไปแล้ว แม้ว่าพยายามเต็มที่ทุกอย่าง พวกเราก็ไม่มีทางย้อนกลับได้ พวกเราต้องการทำให้ได้ก็คือทำตอนนี้ให้ดี ตอนนี้เจ้าเป็นคนจริงๆแล้ว การกระทำการเคลื่อนไหวทุกอย่างของบรรดาผู้คนและเรื่องที่เผชิญมาทั้งหมด ล้วนสามารถกระทบถึงอารมณ์ของเจ้าได้ รสชาติความเป็นคนเป็นอย่างไรบ้าง?”

หากบอกว่าก่อนหน้านี้ส้งเย่นกุยสัมผัสไม่ได้เท่าไหร่

เช่นนั้นตอนนี้เป็นนาทีที่เขาสัมผัสได้อย่างล้ำลึกที่สุดแล้ว แต่การสัมผัสได้เช่นนี้ไม่สวยงามเป็นที่สุด

เป็นจริง!

ดั่งที่นางคาดคิด ส้งเย่นกุยส่ายหัว กล่าวพึมพำ:

“ไม่มีความสุขมากๆ เป็นระบบยังดีซะกว่าขอรับ!”

เห็นเขาท่าทางเช่นนี้ เหมือนได้รับความรู้สึกน้อยใจ แต่หลานเยาเยากลับยิ้มแล้ว

“นี่เพิ่งจะเริ่ม ไม่สามารถสรุปได้ ต่อจากนี้พวกเรายังมีหนทางต้องเดินอีกไกลมาก ยังต้องรับรู้อารมณ์ความรู้สึกแต่ละชนิด จะต้องมีความรู้ประเภทหนึ่งที่ทำให้เจ้าลืมไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

เวลานี้ส้งเย่นกุยมองรอยยิ้มที่มุมปากของหลานเยาเยา งดงามอย่างบริสุทธิ์เพียงนั้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก ความอบอุ่นชนิดนี้ กับการปฏิบัติตัวอย่างดีต่อเขาของคนในหมู่บ้านที่เขาอยู่ด้วย ความรู้สึกแตกต่างกันเป็นที่สุด

ราวกับว่าเพียงมีนางอยู่

จิตใจของเขาก็สงบสุข

ตอนนี้เห็นรอยยิ้มของนาง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเมื่อครู่นั้นก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“เพียงแค่ได้ติดตามข้างกายของเจ้านาย ข้าก็พอใจมากแล้ว อย่างอื่นสำหรับข้าแล้วไม่สำคัญ”

“ดี อาส้งของพวกเราเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว”

ส้งเย่นกุยเดิมที่ที่อยู่อย่างเซื่องซึมโดดเดี่ยวในศาลา หลังจากที่หลานเยาเยาไปหารอบหนึ่ง จิตใจก็ดีแล้ว

ทั้งสองเดินออกมาจากศาลา เห็นเซียวจิ่นหยูกำลังหารือเรื่องราวกับทหารที่มาอย่างรีบร้อนพอดี สีหน้าของทหารผู้นั้นไม่ดีเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกแล้ว

หลานเยาเยาเดาได้แล้ว!

ก่อนหน้านี้บนหน้าผานางให้คนโปรยยาผงจุดเป็นควันที่ทำให้สติเลือนราง หลังจากช่วยพวกเขาออกมา ก็ลงเขาอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ผ่านวิหารเทพแห่งภูเขา เพราะตัวภูเขาสั่นไหว รวมทั้งเสียงฟ้าร้องที่แปลกประหลาดช่างน่ากลัวเกินไป คนในนั้นวุ่นวายอลหม่าน

แต่วิหารเทพแห่งภูเขายังไม่ได้วุ่นวายที่สุด

ที่วุ่นวายที่สุดต้องเป็นถนนหนทางของเมืองเลยหมิง เพราะคนในเมืองที่นั่น อีกทั้งคนที่มาท่องเที่ยวด้วยความชื่นชมก็มีมากมาย

ทันทีที่อลหม่านขึ้นมาเช่นนี้

ก็เหมือนดั่งกลุ่มโจรที่เผาปล้นฆ่าแย่งชิงประชาชนวิ่งหลบหนีเอาชีวิตรอดไปทุกระแหงเช่นนั้น

แต่ทว่านี่ยังไม่ได้ย่ำแย่ที่สุด

หากความสงบเรียบร้อยของสังคมเกิดความวุ่นวายแล้ว ข้าราชการขุนนางและเหล่าทหารจะไปจัดการความสงบเรียบร้อยของสังคมบนถนนหนทางล่วงหน้าแล้ว จะรีบร้อนมาที่นี่ได้อย่างไร? เกรงว่าไม่เพียงเพราะเมืองเลยหมิงวุ่นวาย อาจเป็นเพราะสำนักหู้เสินมาหาถึงที่แล้ว

แต่ยาผงที่สามารถเกิดควันที่นางได้โปรยไปก่อนหน้านี้ พวกเซียวจิ่นหยูก็ได้ประมือกันกับคนของสำนักหู้เสินแล้ว

ตอนนี้พวกเขาน่าจะพบว่าเทพเจ้าที่พวกเขาทั้งหมดศรัทธา ถูกฆ่าตายแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องการหาคนที่รู้จักอีกทั้งน่าสงสัยเป็นที่สุดเพื่อทำให้กระจ่าง

แน่นอน!

จากการกระทำของสำนักหู้เสินใช้คนมีชีวิตป้อนเป็นอาหารเทพเจ้าที่ศรัทธา แน่นอนว่าไม่ใช่สำนักที่ลงโทษความชั่วเสริมส่งความดีอะไร เกรงว่าไม่ใช่ไปหาขุนนาง แต่คือพาคนไปล้อมรอบจวนขุนนางแล้ว

หลังจากขุนนางทหารเดินไปอย่างรีบร้อนอีกครั้ง

เซียวจิ่นหยูเดินมาทางหลานเยาเยาทางนี้ พูดอย่างเปิดอกตรงไปตรงมา

“พวกท่านสังหารเทพเจ้าของสำนักหู้เสิน ตอนนี้พวกเขาหาพวกท่านไปทุกหัวระแหง พวกท่านรีบไปเถอะ!” พูดถึงตรงนี้ เซียวจิ่นหยูชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ: “ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถ คุ้มกันพวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะช่วยพาท่านพ่อและพระราชธิดาจาวหยางไปด้วย”

“วางใจ ข้าคิดแผนการที่รอบคอบได้แล้ว จะไม่พัวพันกันจวนเซียว ยิ่งไปกว่านั้น ที่พวกเราฆ่าก็ไม่ใช่เทพเจ้าอะไร แต่คือคนที่มีรูปร่างใหญ่โตประเภทหนึ่งที่มาจากนอกแผ่นดิน พวกเขากินสัตว์และคนของแผ่นดินใหญ่ของพวกเราเป็นอาหาร สำนักหู้เสินก็ใช้คนมีชีวิตป้อนเป็นอาหารให้เขา ในถ้ำนั่นกระดูกขาวขาวโพลน ก็คือกระดูกที่คนจากนอกแผ่นดินกินทิ้งไว้

หากว่าไม่เชื่อ รอเจ้าพระยาเซียวฟื้นมา ท่านสามารถถามสิ่งที่เขาได้ยินได้เห็นทั้งหมดด้วยตัวเองได้”

หลานเยาเยาพูดจบอย่างราบเรียบ

เรื่องสยดสยองประเภทนี้ หากว่าเป็นคนธรรมดาเห็นด้วยตาของตัวเอง จะไม่เชื่อเด็ดขาด

แต่เซียวจิ่นหยูฟังจบ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย

“คนจากนอกแผ่นดินนั่นตายแล้วหรือ?”

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักคนจากนอกแผ่นดิน และเชื่อที่นางพูด

“มีชีวิตรอดไม่ได้” จื่อเฟิงไม่ได้แทงเพียงดาบเดียว อานุภาพยาพิษของนางก็รุนแรงถึงระดับ เพียงพอที่จะฆ่าคนจากนอกแผ่นดินให้ตายสองรอบแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี คุณชายซ่างกวน แผนการที่รอบคอบของท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่? บางทีข้าอาจจะสามารถทำให้ดีที่สุดด้วยแรงอันน้อยนิด”

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาพยักหน้า

“มีท่านอยู่ แน่นอนว่ามีโอกาสชนะมากขึ้นแน่นอน”

จากนั้น หลานเยาเยาบอกแผนการอันรอบคอบที่นางคิดดีแล้วออกมา

เซียวจิ่นหยูพยักหน้า กล่าวอย่างเห็นด้วย: “นี่เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมาก!”

……

ด้านนอกจวนเซียว ในอากาศมีความเคลื่อนไหว

จื่อเฟิงออกมาจากในที่ลับ มองดูประชาชนในเมืองที่รีบร้อนย้ายที่ไป ขมวดคิ้ว ปลายเท้าจรดเล็กน้อย ก็ต้องการเหาะจากไป แขนกลับถูกคนดึงไว้

“จื่อเฟิง เจ้าต้องการไปที่ไหน?”

คนที่มาคือจื่อซี

ตั้งแต่นาทีนั้นที่จำหลานเยาเยาได้ จื่อซีก็พบว่าสีหน้าท่าทางของจื่อเฟิงผิดปกติไปเล็กน้อย ดังนั้นหลังจากลงจากภูเขาหนาน เขาก็ตั้งใจสังเกตการกระทำการเคลื่อนไหวทุกอย่างของจื่อเฟิงโดยตลอด ตอนนี้เขาจะไปแล้ว แน่นอนว่าจื่อซีต้องการหยุดยั้งไว้

“ไปหาเจ้านาย!”

“ด้วยเหตุใด? ตอนนี้ศัตรูใหญ่อยู่เบื้องหน้า พวกเราจะสามารถถอยหนีไปตอนใกล้จะถึงสงครามได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราล้วนมีความละอายใจต่อคุณหนู ตอนนี้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ควรจะมีชีวิตเป็นตายไปพร้อมนางหรือ?”

จื่อซีรู้มาตลอด จื่อเฟิงไม่คนที่รักตัวกลัวตาย

เพียงแค่วิธีการกระทำของเขาตอนนี้ ทำให้เขาเข้าใจได้ยากยิ่ง ดังนั้นจำเป็นต้องถามให้กระจ่าง

“ความสามารถของคุณหนู เจ้าข้าไม่ใช่เพิ่งจะรู้วันนี้ นางได้บอกแผนการอันรอบคอบที่นางคิดทั้งหมดกับข้าแล้ว เพื่อกันไว้ก่อน ข้าจำเป็นต้องไปจากที่นี่ ไปหาเจ้านาย ให้เจ้านายรู้ คุณหนูของพวกเรา พระชายาของจวนอ๋องเย่ยังมีชีวิตอยู่”

หลังจากที่เขาเคยเห็นเจ้านายสูญเสียคุณหนูด้วยตาของเขาเอง เป็นท่าทางยังไง

ตอนนี้คุณหนูกลับมาแล้ว สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือทำให้เจ้านายรับรู้ ถือโอกาสหาทหารมาช่วยมากขึ้น ทำให้แผนการของคุณหนูไร้ข้อผิดพลาดอย่างแท้จริง

ได้ยินเหล่านี้

จื่อซีกลับหัวเราะแล้ว

เขาโล่งใจอย่างมาก กล่าวอย่างจนปัญญาเล็กน้อย: “จื่อเฟิง ติดตามเจ้านายหลายปีเพียงนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจเจ้านายอีกหรือ? เริ่มตั้งแต่ที่คุณหนูเปลี่ยนร่างเป็นซ่างกวนหนานซู่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง เจ้านายจึงไม่ได้หดหู่สิ้นหวังอีก อีกทั้งฟื้นคืนเป็นท่าทางแบบที่ผ่านมา ค้ำประกันจวน เอาสัญญาขายตัวมอบไว้ในมือของคุณหนู ยอมทำตามนางแทบจะทุกอย่าง เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมองอะไรไม่ออกอีกเชียวหรือ?”

ก่อนหน้านี้ จื่อซีก็ไม่เข้าใจ

แต่หลังจากที่เห็นซ่างกวนหนานซู่มีความคลึงกับหลานเยาเยามากมาย เขาก็เริ่มเข้าใจแล้ว

ตอนนี้รู้ว่าซ่างกวนหนานซู่ก็คือหลานเยาเยา คุณหนูที่ในอดีตพวกเขาเคยติดตาม เขาเข้าใจทั้งหมดแล้วเป็นธรรมดา

จื่อเฟิงก็เกิดความรู้สึกรักใคร่แล้ว

ตามหลักควรจะเข้าใจอะไรเหล่านี้ถึงจะถูก ทำไม……

จื่อเฟิงสีหน้าแข็งทื่อ: “ในใจเจ้าและข้าล้วนกระจ่าง เจ้านายชอบ…….ผู้ชายด้วยกัน”

คนมากมายล้วนพูดเช่นนี้

แม้ว่าในใจของเขาจะไม่พอใจ แต่ก็คิดเช่นนี้

จื่อซีกุมหน้าผากโดยตรง

“ก็สมองนี้ของเจ้า ไม่รู้จริงๆว่าแม่นางเย็นหงเกิดความรู้สึกกับเจ้าได้อย่างไร”

“ไม่ อย่าขัดจังหวะ พูดเรื่องของเจ้านาย” พูดถึงเย็นหง จื่อเฟิงหน้าแดงอย่างอธิบายไม่ถูก ในดวงตาก็มีความอ่อนโยนเล็กน้อยแล้ว

“ก็ได้! เช่นนั้นก็พูดเรื่องของเจ้านาย เกรงว่าเจ้านายจำคุณหนูได้ตั้งนานแล้ว เพราะพวกเราเองที่ความรู้สึกช้าเท่านั้น”

ฟังจื่อซีพูดเช่นนี้

จื่อเฟิงตกลงในห้วงความคิด รู้สึกว่าจื่อซีพูดมีเหตุผลมาก