บทที่ 650 โจมตีศัตรูต้องจัดการหัวหน้าก่อน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

แล้วในเวลานี้

“ฆ่าคนแล้ว สำนักหู้เสินต้องการฆ่าล้างเมืองแล้ว ทุกคนรีบหนี”

ประชาชนกลุ่มหนึ่ง มีคนร้องขอความช่วยเหลือ มีคนสนใจเพียงหนีเอาชีวิตรอด แทบจะไม่มีคนพกพากระเป๋าเดินทาง ราวกับว่าสนใจเพียงนำพาญาติพี่น้องเท่านั้น

จวนเซียวมีระยะห่างพอประมาณจากถนนหลัก แต่คนส่วนมากเลือกเส้นทางนี้

ราวกับว่าทางนี้สามารถช่วยเหลือพวกเขาหนีเอาชีวิตรอดจะความตายได้

จื่อซีเข้าไปคว้าประชาชนผู้หนึ่งที่รีบร้อนกับการวิ่งหนี ขมวดคิ้วแล้วถามจึงได้รู้ว่า

สำนักหู้เสินที่ปรากฏตัวน้อยมากต่อหน้าผู้คน พรั่งพรูลงมาจากภูเขาเป็นผืนสีดำอย่างกะทันหัน คนจำนวนมากมาย ราวกับปลาเป็นฝูงที่ข้ามแม่น้ำ เมื่อมาถึงถนนเห็นคนก็จับ เห็นบ้านก็เผา ราวกับว่ากำลังบีบให้ใครออกมา

สภาพของเรื่องราวรุนแรงมาก

ประชาชนที่ถูกสำนักหู้เสินจับได้ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

จื่อซีจื่อเฟิงรีบไปหาหลานเยาเยา แต่ทว่าหลานเยาเยารู้ข่าวนี้เร็วกว่าก้าวหนึ่งตั้งนานแล้ว พาเย็นหงและฮัวหยู่อันออกจากจวนเซียวแล้ว ไม่รู้ว่าไปทางไหน

……

ในป่าไม้เมืองเลยหมิง

หญิงผู้หนึ่งสวมชุดธรรมดา แบกสัมภาระบ่ายเบน วิ่งผลุนผลันอยู่ในป่าไม้ บางเวลามีเสียงร้องไห้สองสามเสียง อีกทั้งหันหน้ากลับไปมองเป็นระยะ เหมือนกับว่าถูกปีศาจภูเขาไล่ตามเช่นนั้น

การล้อมเมืองค้นหาในป่าของสำนักหู้เสิน เวลานี้มีคนส่วนหนึ่งกำลังอยู่ในป่า ก็เพื่อป้องกันว่าจะมีคนหลบหนีขึ้นภูเขา ทันใดนั้นเห็นหญิงผู้หนึ่งที่ไร้เรี่ยวแรงวิ่งอยู่ในภูเขา ทั้งยังหน้าตางดงาม วางจิตใจที่มีความระแวงลงในพริบตา ด้วยเหตุนี้มีสองสามคนโอบล้อมเข้าไปข้างๆ

เห็นมือของพวกเขาถือมีดที่แหลมคม แต่ละคนสีหน้าโหดเหี้ยมชั่วร้าย ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่ประสงค์ดี ผู้หญิงที่หนีภัยยิ่งกลัวมากขึ้นจนขวัญหนีดีฝ่อ

“แม่นาง เจ้าผู้เดียวต้องการจะหนีไปที่ไหนหรือ?”

“ข้า ข้าไม่รู้ ข้าจะไม่บอกจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่กับเจ้า ข้าก็คือคนลี้ภัยผู้หนึ่ง ขอท่านสองสามคนโปรดทำความดี ปล่อยข้าไปเถอะ?”

พูดจบ หญิงผู้นั้นก็ไม่รอให้สองสามคนนั่นตอบ หมุนตัวก็ต้องการหนี แต่ทางด้านหน้าและด้านหลังของนางล้วนถูกสกัดไว้ ไม่มีทางหลบหนีโดยสิ้นเชิง ยังวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกล้อมไว้

“จุดประสงค์?” มีคนฟังจุดสำคัญในคำพูดของหญิงสาวออก “เจ้าหนีมาถึงบนภูเขาด้วยจุดประสงค์อะไร?”

ดูเหมือนหญิงสาวถูกทำให้ตกใจ อ้ำๆอึ้งๆ เป็นเวลานานก็พูดไม่ออกสักคำ สองสามคนนั้นไม่ได้มีความอดทนมากมายขนาดนั้น เห็นว่ามีคนต้องการลงมือ หญิงสาวพูดออกมาในอึดใจเดียวอย่างฉับพลัน

“มีเมืองมีคนไม่กี่คนของราชสำนักมา เหมือนจะเป็นลูกน้องของอ๋องเย่ ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการออกอุบายอะไร……”

ทันทีที่คำพูดนี้โพล่งไป!

เห็นได้ชัดว่าสองสามคนนั้นตกตะลึงแล้ว

อ๋องเย่คือผู้ใด? คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเป็นธรรมดา นั่นคือคนที่สำนักหู้เสินของพวกเขาไม่กล้าหาเรื่อง

คิดไม่ถึงว่าคนของอ๋องเย่มาแล้ว หากว่าเป็นเจ้าพระยาเซียวที่ลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด พวกเขายังไม่เกรงกลัว อย่างไรเสียคนที่ลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด แม้ว่าจะเป็นที่นับหน้าถือตาของฝูงชนและไม่ได้มีอำนาจแล้ว โดยปกติสามารถไว้หน้าได้ระดับหนึ่ง ตอนนี้เทพเจ้าที่พวกเขาเลี้ยงดูถูกสังหาร พวกเขาจำเป็นต้องหาคนที่สังหารออกมา

และเทพเจ้าถูกฆ่า จะเกี่ยวข้องกับคนของอ๋องเย่หรือไม่?

นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาลูกกระจ๊อกเหล่านี้จะสามารถจัดการอย่างดีได้ ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวผู้นั้นถูกจับไว้ ถูกคนของสำนักหู้เสินพากลับไปในสำนักหู้เสิน

ภายในสำนักหู้เสิน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของคนของสัตว์ สามารถเห็นได้ทุกที่ บ้างถูกเสียบไว้บนรั้ว เหมือนทำเป็นของตกแต่งหรือของจัดแสดง คนของสำนักหู้เสินเห็นจนคุ้นเคยไม่รู้สึกแปลกแล้ว แต่หลังจากคนนอกที่มาเห็นแล้วเหน็บหนาวทะลุจิตใจ ความหวาดกลัวและความเย็นยะเยือกขึ้นมาจากใต้เท้า บรรยากาศก็ค่อยแปลกประหลาดน่าหวาดกลัว

กลางบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในสำนัก รูปร่างและรั่วแปลกประหลาดเช่นเดียวกัน บนหลังคาเสียบกระดูกเต็มไปหมด แม้แต่ด้านข้างประตูใหญ่ก็ล้วนเป็นฟันซี่ใหญ่ๆที่ไม่เข้าตาและเตะตา ถูกร้อยเป็นพวง เป็นแถวๆเหมือนดั่งแขวนผ้าม่านเช่นนั้น

ในบ้านหลังใหญ่คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เป็นเจ้าสำนักของสำนักหู้เสิน

มองไปจากด้านนอก เห็นเพียงเงาร่างเงาหนึ่ง หลังจากเข้าไปด้านใน เงาคนค่อยๆชัดเจนขึ้น

สวมชุดหนังสัตว์ ข้อมือข้อเท้าล้วนเป็นกำไลเงินอันใหญ่ ที่แขวนคอและล้อมบนหน้าผากล้วนเป็นฟันที่แหลมคม บนศีรษะยังใส่ขนนกที่สวยงามวงหนึ่งอีกด้วย

การแต่งตัวแปลกประหลาด ใบหน้าหยาบกระด้าง จมูกใหญ่ปากกว้าง ผิวดำ นอกจากมีความโหดเหี้ยมอยู่บ้าง หน้าตาน่าเกลียดเป็นที่สุด

หญิงผู้หนึ่งถูกควบคุมตัวบังคับเข้าไปในบ้านใหญ่

ในความหยาบคายของคนของสำนักหู้เสินไม่กี่คน บังคับหญิงสาวให้คุกเข่าลงโดยตรง

เดิมทีเจ้าสำนักไม่ได้ใส่ใจ แม้มองก็ไม่มองสักแวบ กล่าวด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์:

“เทพเจ้าก็ไม่มีแล้ว ยังพาคนมาทำไมอีก?”

“รายงานเจ้าสำนัก ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าใครสังหารเทพเจ้าขอรับ นี่เหมือนกับว่าพัวพันกับบุคคลที่เก่งกาจของราชสำนักเข้าแล้วขอรับ”

ลูกน้องผู้หนึ่งรายงานจบ เจ้าสำนักลืมตามองดูพวกเขาทันที สังเกตหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่กลางบ้านใหญ่อย่างละเอียด ยิ่งมองดูแววตายิ่งเปล่งประกาย ราวกับว่าไม่ได้เห็นผู้หญิงที่หน้าตาเช่นนี้นานแล้ว

สำหรับการพัวพันกับคนในราชสำนักหรือไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิจารณาตอนนี้

“หญิงสาวผู้นี้จับมาจากที่ใด?”

“ในภูเขาขอรับ”

“อ๋อ? ในภูเขา พูดขั้นตอนออกมาฟังอย่างละเอียด” ดูเหมือนเจ้าสำนักเป็นคนเจ้ารู้ แต่ในสายตาปรากฏความฉลาดหลักแหลม

รอลูกน้องรายงานจบ

“คนของอ๋องเย่?” เจ้าสำนักตกอยู่ในห้วงความคิด แต่สุดท้ายก็ยังเงยหน้าขึ้นมา พูดกับลูกน้อง: “เอาหญิงผู้นี้ไปอาบน้ำให้สะอาดพาเข้าไปในห้องของข้าก่อน หลังจากจัดการเรื่องราวเรียบร้อย ข้าค่อยกลับมาเสพสุขให้ดีๆ”

ก็เช่นนี้ หญิงสาวถูกพาไปแล้ว

ต่อจากนั้นเจ้าสำนักรีบออกคำสั่งให้คนลงเขาไปสืบดูสถานการณ์ ดูว่าคนของอ๋องเย่มาที่เมืองเลยหมิงจริงหรือไม่

ล้อมเมืองเลยหมิง คุมขังประชาชน ก่อความเคลื่อนไหวใหญ่โตไปหน่อย แต่คาดไม่ถึงเวลาหนึ่งวัน คนของอ๋องเย่ยังสามารถรู้ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?

อีกทั้ง พวกเขาต้องการออกแผนการอะไร?

มีความเกี่ยวข้องกับสำนักหู้เสินของพวกเขาหรือ?

ครุ่นคิดไปมา เจ้าสำนักของสำนักหู้เสินรู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องป้องกัน อย่างไรเสีย อิทธิพลของสำนักหู้เสินของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใดในเมืองเลยหมิง ก็ไม่ใหญ่ไปกว่าข้าราชการราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นยังเป็นอ๋องเย่อีก

ด้วยเหตุนี้ เขาโบกมือเรียกคนเข้ามาอีก

“จงไปที่ตีนเขาบอกแก่บรรดาพี่น้อง ตอนนี้จับคนมามากพอแล้ว ไม่จะเป็นต้องจับแล้ว จากนั้นให้พวกเขาคิดวิธีบีบคนที่สังหารเทพเจ้าออกมา ฆ่าคนวางเพลิง ล้วนทำได้ทุกวิถีทาง แต่จำเป็นต้องหาคนให้พบ ข้าต้องการเอาเขาเซ่นไหว้เทพเจ้า”

พูดจบ เจ้าสำนักตบโต๊ะและลุกขึ้น แสดงความโกรธของตัวเอง

หลังจากครึ่งวัน

คนที่ไปตีนเขากลับมาแล้ว

รายงานเรื่องเรื่องหนึ่งที่ไม่มีเรื่องดีแม้สักนิด คนของอ๋องเย่มาที่เมืองเลยหมิงจริงๆ และคนที่สังหารเทพเจ้าก็เหมือนจะเป็นคนของอ๋องเย่ด้วย เหมือนกับว่าพวกเขาจะเป็นพวกเดียวกันกับเจ้าพระยาเซียว ตอนนี้ก็อยู่ในจวนเซียว

เจ้าสำนักหน้าตาหน้าครุ่นคิด สีหน้าโกรธเคือง

แต่ทว่าคลื่นลูกหนึ่งยังไม่สงบคลื่นอีกลูกก็เกิดขึ้นแล้ว มีคนมารายงานอีกแล้ว ลู่ทางหลักที่ไม่ไกลจากเมืองเลยหมิง มีทหารหลายแสนคนกำลังรีบไปที่ชายแดนอย่างดำทะมึน

นี่กลับไม่มีอะไร ทหารไปชายแดน ไปตามลู่ทางหลักรอบๆเมืองเลยหมิงกลับเป็นเรื่องปกติ ไม่ดีก็ไม่ดีที่ ทหารหลานแสนนายนี้ แยกเป็นหลายพันนายมาทางเมืองเลยหมิงอย่างรวดเร็ว

เจ้าสำนักของสำนักหู้เสินรู้ว่าไม่ดีแล้ว

ดูท่าคนของอ๋องเย่รู้เรื่องแล้วว่าสำนักหู้เสินของพวกเขาเอาคนเป็นๆทำเป็นอาหารให้เทพเจ้า เกรงว่าทหารหลายพันนายก็คือมาปราบปรามสำนักหู้เสินของพวกเขาโดยใช้กำลังและอาวุธ

“คนที่ไม่เหลืออะไรแล้วกล้าทำทุกอย่าง จากสถานการณ์ใช้ความปราดเปรื่องต่อกร” เจ้าสำนักมองไปทางลูกน้องที่ค่อนข้างหวาดผวา รีบกล่าวทันที: “ไปสั่งคนที่ลงเขาไป ให้พวกเขาไม่ว่าต้องเสียอะไรเท่าไหร่ ก็ต้องจับทุกคนในจวนเซียวขึ้นเขามา”

ก็ทำเป็นว่าทหารหลายพันนายมาปราบปรามสำนักหู้เสินของพวกเขาก็ได้แล้ว

พวกเขาได้เปรียบ อีกทั้งมีตัวประกันในมือ เข้าป่าเขาแล้ว พวกเขาก็ได้เปรียบโดยธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทหารหลายพันนายนั่นจะเสียเวลากับพวกเขาอยู่ที่นี่ทั้งชีวิต ท้ายที่สุดพวกเขาจะต้องไปสนามรบบนชายแดน

ถึงเวลา ให้ประโยชน์กับพวกเขาเล็กน้อย ปล่อยคนของจวนเซียว พวกเขาก็ถอยไปเป็นธรรมดา

แต่ทว่าจินตนาการสวยงาม ความเป็นจริงคือโหดร้าย

เจ้าสำนักสั่งการเรื่องราวเรียบร้อย กลับห้องอารมณ์ดี วางแผนพะเน้าพะนอหญิงสาวที่จับกลับมาวันนี้ ใครจะรู้เสื้อด้านบนถอดแล้ว หญิงสาวกลับไม่กลัวแล้ว ยืนอยู่ข้างเตียงยื่นมือเล็งเจ้าสำนักอย่างแม่นยำ บนข้อมือใส่ลูกศรที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ

“ที่แท้เจ้าก็เป็นเหยื่อล่อ” เจ้าสำนักของสำนักหู้เสินเพิ่งจะตระหนักได้

“สำนักหู้เสิน ทำความชั่วมากมาย ทำให้คนตายไปไม่น้อย ตอนนี้ก็ดั่งความปรารถนาของคุณชายซ่างกวน โจมตีศัตรูต้องจัดการหัวหน้าก่อน”

เย็นหงเปลื้องความเสแสร้งออก ถอยความขลาดไป เผยให้เห็นความห้าวหาญ

ระหว่างที่ตกตะลึง

เจ้าสำนักของสำนักหู้เสินกลับหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังขึ้นมา

“แค่เจ้า? หญิงอัปลักษณ์ผู้หนึ่งที่ไม่มีแม้แต่กำลังภายใน? คิดว่าใช้เพียงลูกศรที่แอบในแขนเสื้อบนข้อมือก็สามารถสังหารข้าได้แล้ว?”

“แน่นอนไม่เพียงแค่ข้าผู้เดียว!” เย็นหงยิ้มแล้ว

แต่เจ้าสำนักกลับลุกลี้ลุกลนแล้ว

เพราะเวลานี้ในห้องมีอีกผู้หนึ่งปรากฏตัวแล้ว แต่เขาไม่รู้สึกตัวสักนิด กำลังภายในของคนผู้นั้นล้ำลึกถึงจุดที่ไม่สามารถคาดเดาได้

“ฉึบ” เสียงหนึ่ง ประตูใหญ่ด้านหลังถูกปิดสนิท

คนอีกผู้หนึ่งปรากฏตัวด้านในอีกแล้ว คือฮัวหยู่อันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยแรงสังหาร

“คุณชายซ่างกวนเปลี่ยนโฉมหน้าแล้ว ปลอมไปเป็นเขา ออกคำสั่งไปแล้ว เย็นหง ตอนนี้เจ้ายังไม่ลงมือ ดูท่าต้องการให้ข้ามาสังหารคนแล้ว”

เห็นฮัวหยู่อันต้องการจะลงมือ

ส้งเย่นกุยที่ยืนด้านหน้าหน้าต่างไม่พอใจแล้ว “ยุ่งยาก!”

เมื่อเขาโบกมือ กำลังภายในระเบิดออกในพริบตา เจ้าสำนักของสำนักหู้เสินอยู่ห่างไกลมากก็ถูกปัดกระเด็นแล้ว ชนบนเสาหิน กระอักเลือด คนยังไม่ตาย ส้งเย่นกุยก็เหาะไปแล้ว ไปตามหาเจ้านายของตัวเองแล้ว