บทที่ 621 เทพมารกำเนิดใหม่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 621 เทพมารกำเนิดใหม่

การผงาดขึ้นมาของหานทั่วสร้างแรงกระตุ้นให้เหล่าศิษย์สืบทอด ตอนนี้เหล่าศิษย์สืบทอดส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับเทพไล่เลี่ยกัน ยังข้ามไม่พ้นธรณีประตูระดับต้าหลัว

หานทั่วเข้าสู่วิถีบำเพ็ญทีหลังพวกเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะนำหน้าพวกเขาไปแล้ว!

แรงกระตุ้นนี้มหาศาลเหลือเกิน!

ในวันนั้นเอง

สิงหงเสวียนเข้ามาหาหานเจวี๋ย

หลังจากเข้ามาในอารามเต๋า นางก็เคล้าคลอหานเจวี๋ย

“ท่านพี่ ข้ารอไม่ไหวแล้ว ข้าอยากให้กำเนิดบุตรของท่านเร็วๆ…” สิงหงเสวียนออดอ้อน ไหนเลยจะยังมีท่าทางของผู้บรรลุมรรคระดับสูงอยู่อีก

เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ย นางยังคงมีท่าทางเยี่ยงสาวน้อย

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้กำเนิดอะไร ไม่กลัวจะวุ่นวายหรือ”

“จะวุ่นวายได้อย่างไร ให้ลูกอยู่แต่ในเขตเซียนร้อยคีรี ไม่ให้ออกไปไหน ไม่มีทางเกิดเรื่องวุ่นวายแน่”

“แน่หรือ”

หานเจวี๋ยลังเลอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามบำเพ็ญไปนานๆ เข้าก็ชวนให้เบื่อหน่ายจริงๆ หากมีทายาทสักคน ก็มีเรื่องน่ารื่นรมย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง

สายเลือดของเขาและสิงหงเสวียนห่างชั้นกันเกินไป มีลูกได้ยาก ตอนนั้นที่มีบุตรกับชิงหลวนเอ๋อร์ เขาก็ใช้ความทุ่มเทไปมากยิ่งนักถึงสามารถรักษาสายเลือดของหานทั่วไว้ได้

หากจะมีบุตรอีกคน เขาต้องข่มพลังสายเลือดลงเพื่อให้สิงหงเสวียนทนรับไหว ถ่ายทอดให้ในปริมาณจำกัด บุตรที่ถือกำเนิดขึ้นอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าหานทั่ว

แน่นอนว่าแค่อาจจะ

ในความเวิ้งว้างมืดมน มีพลังชนิดหนึ่งที่ผูกมัดหน่วงเหนี่ยวการสืบทอดสายเลือดไว้ ทำให้สายเลือดที่สืบทอดต่อกันไปด้อยลงเรื่อยๆ บางทีอาจจะเป็นการผูกมัดของมรรคาสวรรค์

มิเช่นนั้นเทพมารฟ้าบุพกาลที่ถือกำเนิดจากเทพมารฟ้าบุพกาลคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำลายล้างฟ้าบุพกาลไปแล้วอย่างไรเล่า

หานเจวี๋ยต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของสิงหงเสวียน จึงเริ่มเทศนาธรรมแก่นาง ช่วยให้ตบะนางเพิ่มพูนขึ้นก่อน

….

แดนเซียนพิภพ ภายในดาวเคราะห์ที่มีขนาดมหึมาใหญ่โตยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง มีตึกสูงระฟ้าเรียงรายแออัด ยานบินมากมายนับไม่ถ้วน แสงหลากสีจากเทคโนโลยีต่างๆ ส่องสว่างเชื่อมโยงกันไปทั่วทั้งโลก

บนยอดตึกสูงนับหมื่นชั้นหลังหนึ่ง หยางตู๋ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานกระจก ก้มมองเมืองด้านล่าง

เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ รัศมีความเป็นผู้นำของหยางตู๋แกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ แววตาเฉียบคม ทำให้คนใจสั่น

เงาดำสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในมุมมืดภายในห้อง เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่ง

“ทบทวนดีหรือยัง” เงาดำเปิดปากถาม

นี่คือเสียงของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร!

หยางตู๋หันไปหา เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นใคร แล้วจะทบทวนได้อย่างไร”

คนลึกลับตรงหน้าตามวอแวเขามาหลายเดือนแล้ว ทำให้เขารำคาญอย่างยิ่ง

จนปัญญาที่เขาไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้เลย ดังนั้นจึงได้แต่อดทนไว้

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยว่า “ข้าไม่อาจเผยตัวตนได้ แต่หากเจ้ายอมตกลงในเรื่องนี้ เจ้าจะได้รับโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ ตบะของเจ้าไม่ก้าวหน้าขึ้นมานานมากแล้วกระมัง อาจเป็นเพราะในทางช้างเผือกแห่งนี้เจ้าไร้เทียมทานแล้ว แต่หากทอดสายตามองไปทั่วแดนเซียนพิภพ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าแข็งแกร่งที่สุด”

หยางตู๋เงียบไป

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยต่อ “ไปเถอะ ไปที่มิติไร้ขอบเขต หากทำสำเร็จ วันหน้าข้าจะผลักดันให้เจ้าได้ครอบครองมิติไร้ขอบเขต”

หยางตู๋ขมวดคิ้ว “ข้าสู้ท่านไม่ได้ แต่หากเทียบกับผู้กลับชาติมาเกิดในมิติไร้ขอบเขต ข้าแข็งแกร่งกว่ามากนัก แล้วจะแทรกซึมเข้าไปอย่างไร”

“ข้าจะมอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งให้เจ้า เจ้าจงแสร้งทำเป็นก่อกบฏต่อมิติวัฏจักร เข่นฆ่าผู้กลับชาติมาเกิด ข้าจะฉวยโอกาสขับไล่เจ้าออกไป สะบั้นดวงชะตาผู้กลับชาติมาเกิด จากนั้นจะส่งผู้กลับชาติมาเกิดไปตามสังหารเจ้า มิติไร้ขอบเขตให้ความสนใจเจ้ามานานแล้ว ต้องดึงเจ้าไปเข้าพวกแน่”

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “มิติไร้ขอบเขตถูกมิติวัฏจักรแซงหน้าแล้ว ผู้กลับชาติมาเกิดของพวกเจ้าสู้พวกเราไม่ได้ ข้าพบว่ามิติไร้ขอบเขตกำลังดึงตัวผู้กลับชาติมาเกิดของมิติพวกเราไป พวกเขาไม่มีทางพลาดเจ้าไปแน่”

หยางตู๋เอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่มีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่”

“ข้าไม่บังคับเจ้า แต่หากเจ้าอยากแข็งแกร่ง นี่คือโอกาส”

สองมือหยางตู๋กำแน่น ตกอยู่ในสงครามระหว่างมนุษย์และสวรรค์

จู่ๆ เขาก็นึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา

คนลึกลับผู้นั้นที่ถ่ายทอดวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราให้เขา

ด้วยอายุขัยของเขาในตอนนี้ ไหนเลยจะมีชีวิตอยู่ถึงร้อยล้านปีได้

หากมิได้พบผู้ทรงพลังลึกลับท่านนั้น เขาคงตายไปแล้ว

แต่เขาเคยได้ยินว่า ผู้ทรงพลังปิดด่าน หนึ่งนิทรายาวนานเท่าหนึ่งยุคสมัย

หยางตู๋กัดฟันตอบ “ได้! ข้ายอมรับ!”

…..

หนึ่งร้อยปีให้หลัง สิงหงเสวียนเดินออกมาจากอารามเต๋าของหานเจวี๋ยอย่างอิ่มเอมใจ

ถึงแม้หานเจวี๋ยจะไม่ได้ตอบตกลงเรื่องมีบุตร แต่ก็ทำให้ตบะนางแข็งแกร่งขึ้น รอจนนางบรรลุถึงระดับครึ่งอริยะ หานเจวี๋ยน่าจะไม่ปฏิเสธแล้ว

หานเจวี๋ยไม่เคยหลอกนาง พูดจริงพูดทำจริง

โอ้ แต่เมื่อหนึ่งแสนสามหมื่นปีก่อนเขาเคยหลอกนางมาก่อน

ทุกครั้งที่สิงหงเสวียนนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับหานเจวี๋ยล้วนรู้สึกดียิ่งนัก เสมือนตำนานรักในเทพนิยาย

ในเวลาเดียวกันนี้

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง

เขาปล่อยจิ้งจอกชาดออกมา

ผ่านการฟูมฟักมาสามหมื่นปี ในที่สุดจิ้งจอกชาดก็กลายเป็นเทพมารโอฬารอย่างสมบูรณ์

เมื่อจิ้งจอกชาดมองเห็นหานเจวี๋ย มันรู้สึกเหมือนอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง รีบคุกเข่าคารวะ

มันยังคงอยู่ในร่างของจิ้งจอกน้อยเช่นเดิม แต่กลิ่นอายบนร่างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาช่วยให้ถือกำเนิดใหม่!”

จิ้งจอกชาดเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ มันสั่นสะท้านไปทั้งตัว มันรับรู้ถึงพลังแห่งเทพมารฟ้าบุพกาลได้แล้ว

หานเจวี๋ยเรียกมู่หรงฉี่และเทพมารขุนพลสวรรค์เข้ามา

“พวกเจ้าล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเหมือนกัน ภายภาคหน้าข้าจะสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลเพิ่มขึ้นอีก เมื่อถึงเวลานั้นจำเป็นต้องให้พวกเจ้าคอยชี้นำจัดการ ข้ามอบสิทธิ์เข้าถึงแบบจำลองการทดสอบให้แก่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าสามารถประลองกันในนั้นได้ ก่อนที่พวกเจ้าจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าออกไปไหน”

หานเจวี๋ยเปิดปากกล่าว เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสามต่างมองสำรวจกันและกัน

ระหว่างเทพมารฟ้าบุพกาลไม่มีความรู้สึกสนิทสนมผูกพัน พวกเขาเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ

นี่คือสาเหตุที่ในอดีตผานกู่ล้างสังหารเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนพิสูจน์มรรค มิใช่การสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่เป็นการสังหารศัตรูพิสูจน์มรรค!

ด้วยคำสั่งของหานเจวี๋ย เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสามย่อมไม่เข่นฆ่ากันเอง ต่อให้ไม่ถูกชะตากัน ก็แค่ไปประลองตัดสินกันในแบบจำลองการทดสอบ

ยกตัวอย่างเช่นมู่หรงฉี่และเทพมารขุนพลสวรรค์ ต่อสู้กันหลายหมื่นครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

มู่หรงฉี่ถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ปู่ ท่านวางแผนจะสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลมากแค่ไหนขอรับ”

หานเจวี๋ยตอบตามตรง “สามพันตน ฟื้นฟูยุคสมัยแห่งเทพมารฟ้าบุพกาลในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง”

เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตน!

พวกมู่หรงฉี่ทั้งสามล้วนตกตะลึง

จากนั้นหานเจวี๋ยโบกมือ สื่อให้พวกเขาถอยออกไป

เขาควรสอดส่องผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพมารฟ้าบุพกาลเหล่านั้นสักหน่อย

….

ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาล

เทพบุพกาลนั่งสมาธิอยู่ในอุกกาบาตขนาดมหึมา คันฉ่องบานหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าเขา ขอบคันฉ่องเหมือนสร้างขึ้นจากศิลา ดูเก่าแก่ลึกลับ

ในคันฉ่องคือห้วงอวกาศแห่งหนึ่ง ดวงดาวส่องสกาวหลายสิบดวง

“มีเทพมารฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นอีกตนแล้ว…เกิดอะไรขึ้น เหตุใดข้าถึงหาไม่พบ”

เทพบุพกาลพึมพำกับตัวเอง รู้สึกกระวนกระวายใจนัก

ในช่วงที่ผ่านมานี้ ฟ้าบุพกาลแปรผันฉับพลัน เริ่มจากมหามรรคใหม่บทนั้นหายสาบสูญไป จากนั้นเขาก็ถูกสาปแช่งจนได้รับบาดเจ็บ ตามด้วยมีเทพมารฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นสามตน

หลังจากเบิกฟ้า เทพมารฟ้าบุพกาลเหลืออยู่เพียงไม่กี่ตน เวลาผ่านไปนับหมื่นล้านปีก็ยังไม่แน่ว่าจะมีเทพมารฟ้าบุพกาลกำเนิดใหม่ขึ้นสักตน แต่ปรากฏการณ์ผิดปกติในระยะนี้ทำให้เทพบุพกาลมองเห็นเค้าลางแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้รางๆ แล้ว

“บรรพชนเต๋าเคยกล่าวไว้ ในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อาจจะมีเทพมารอนธการบัญชาการเทพมารฟ้าบุพกาลก่อมหันตภัยแห่งความโกลาหลขึ้น…เทพมารอนธการ…เป็นผู้ใดกันแน่”

เทพบุพกาลพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย

เขามองไม่กระจ่าง ทำนายไม่ได้ และนึกไม่ออกด้วย

ผ่านไปสักพัก เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา เป็นโพธิสัตว์จุนที

โพธิสัตว์จุนทีชิงเอ่ยขึ้นก่อน “สหายเต๋าก็โดนสาปแช่งด้วยใช่หรือไม่”

เทพบุพกาลถามกลับ “เจ้าถามทำไม”

ก่อนหน้านี้หลังจากเขาถูกสาป เขาเคยไปสอบถามผู้ทรงพลังบางส่วนในแดนเทพหวนปัจฉิมมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าข่าวจะแพร่ออกไปไวขนาดนี้ แม้แต่จุนทีที่เขาชิงชังที่สุดก็ยังทราบเรื่องนี้

โพธิสัตว์จุนทีเอ่ยเสียงขรึม “ข้าก็โดนแบบเจ้า ตัวตนที่สาปแช่งพวกเรามีสมญาว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!”

………………………………………………………………