บทที่ 622 จักรพรรดิสวรรค์พิสูจน์มรรค ตัวเบี้ยของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 622 จักรพรรดิสวรรค์พิสูจน์มรรค ตัวเบี้ยของหานเจวี๋ย

“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เกี่ยวของกับแดนต้องห้ามอันธการอย่างไร เขาคือดวงจิตอัปมงคลหรือ”

เทพบุพกาลซักถาม น้ำเสียงเจือความสงสัย ทว่ามิได้ตระหนกตกใจเลย

โพธิสัตว์จุนทีเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือตัวการใหญ่ที่ทำให้มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่ เป็นเพราะเขา แผนการในมรรคาสวรรค์ของพวกเราถึงย่อยยับป่นปี้ ตอนนี้เขาหมายหัวแดนเทพหวนปัจฉิมและฟ้าบุพกาลอยู่ นี่มิใช่เรื่องดีเลย”

“พวกเราสงสัยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็คือเทพมารอนธการ”

เทพบุพกาลได้ฟังก็ตกอยู่ในห้วงความคิด

เขาเริ่มทำนายถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

เขาทำนายไม่ได้ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด ทำนายพบเพียงภาพจำที่สรรพสิ่งในแดนเซียนมีต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ผ่านไปพักใหญ่

เทพบุพกาลเปิดปากเอ่ย “ตามความเห็นของเจ้า เทพมารอนธการซ่อนเร้นอยู่ที่ใด”

ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่เหลือเกิน มีทั้งแดนเซียน ปวงสวรรค์ แดนต้องห้ามอันธการ แดนเทพหวนปัจฉิม แดนบรรพกาล ส่วนลึกของฟ้าบุพกาล ต่อให้เป็นเทพบุพกาลที่ควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเขตฟ้าบุพกาลก็ยังมองเห็นได้ไม่ทั่วทุกมุมเช่นกัน

โพธิสัตว์จุนทีเอ่ยว่า “แดนเซียน! ต้องเป็นแดนเซียนแน่ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ยด้วย ข้าถึงขนาดที่สงสัยว่าเขาก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เทพมารอนธการ คุณสมบัติของเขาโดดเด่นเลิศล้ำเกินไปแล้ว หากเขามิใช่ผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิด ก็เหลือเพียงเป็นเทพมารอนธการแล้ว”

“หานเจวี๋ยหรือ”

เทพบุพกาลเริ่มทำนายถึงหานเจวี๋ย

เขาตะลึงงัน

สำเร็จอริยะเสรีภายในหนึ่งแสนสามหมื่นปี…

เป็นไปได้อย่างไร!

เทพบุพกาลถือกำเนิดในยุคฟ้าบุพกาล ตนมีชีวิตอยู่มาถึงจนตอนนี้ ยังไม่เคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อน

ในอดีตเมื่อครั้งที่ผานกู่ถือกำเนิดจากฟากฟ้า ก็ใช้เวลาบำเพ็ญเนิ่นนานนักกว่าจะพิสูจน์มรรคได้

เจ้าหนุ่มคนนี้ผิดปกติ!

….

[ความเกลียดชังที่เทพบุพกาลมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6.5 ดาว]

ในความเข้าใจของหานเจวี๋ย ระดับความเกลียดชัง 6 ดาวคือไม่ตายไม่เลิกรา…

ส่วน 6.5 ดาว…

ต่อให้มหามรรคสิ้นสูญ ความเกลียดก็ยังคงอยู่เช่นนั้นหรือ

เกินไปแล้ว!

ดวงตาหานเจวี๋ยปรากฏเจตนาสังหาร

ต้องกำจัดเทพบุพกาลให้ได้!

ทว่าตอนนี้ เขายากจะสังหารอีกฝ่ายได้

ต่อให้เทพบุพกาลอยากสังหารเขา ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เว้นแต่หานเจวี๋ยจะออกนอกมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ต่อไปจะไม่ออกจากมรรคาสวรรค์อีก

หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ

หลายร้อยปีต่อมา เขาเสร็จสิ้นการปิดด่านเป็นเวลาหนึ่งพันปีอีกครั้ง

หานเจวี๋ยมีอายุ 131,808 ปี ในแง่ของอายุขัย เขากลายเป็นตัวตนที่อมตะแล้ว

หลังสิ้นสุดการปิดด่าน หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย สำรวจความเป็นไปในช่วงนี้ของเหล่าสหาย

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านได้รับมรรคผลแห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ อาศัยพลังพิสูจน์มรรค สำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านดูดซับจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[หานอวี้เชื้อสายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากระดับเทพลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[จี้เซียนเสินศิษย์ของท่านได้รับการชี้แนะจากมหาจักรพรรดิเซียวสหายของท่าน เรียนรู้พลังวิเศษ]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[สือตู๋เต้าสหายของท่านได้รับปราณม่วงอนธการ ดวงชะตาเพิ่มพูน]

….

จักรพรรดิสวรรค์พิสูจน์มรรค…

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นจดหมายฉบับนี้ ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

นี้คือเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับมา

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเป็นแค่ตัวเบี้ย จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสืบทอดตำแหน่งตัวเบี้ยของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ วันหน้าต้องลำบากแน่

แต่จากที่พบกันวันนั้น หานเจวี๋ยเข้าใจแล้วว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่มีทางกลับตัวได้ ความเกลียดชังที่เขามีต่อมรรคาสวรรค์หยั่งรากฝังลึก ถึงขั้นที่อยากทำลายล้างมรรคาสวรรค์ให้ย่อยยับ

ถึงแม้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะหลงเดินทางผิดไป หานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะกำจัดเขา

เพียงเพราะจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเคยดีต่อเขา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เกิดความเกลียดชังในตัวเขาเลยสักนิด

จดหมายที่อยู่ด้านล่างก็มีสีสันมากเช่นกัน มีข้อมูลมหาศาล

จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ที่หายสาบสูญไปตกอยู่ในมือฟางเหลียง คาดว่าบรรพชนเต๋าคงวางแผนชักใยอยู่ในความมืด

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถูกสาปแช่ง นี่ก็น่าสนใจเช่นกัน กล่าวให้ชัดเจนคือมีคนสวมรอยเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก่อเรื่องขึ้นจริงๆ น่าจะมาจากแดนเทพหวนปัจฉิม เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ยังต้องการให้ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคุ้มครองอยู่ จะสาปแช่งเขาได้อย่างไรเล่า

พอไล่อ่านลงไปอีก หานเจวี๋ยก็ถูกสือตู๋เต้าดึงดูดความสนใจ

ปราณม่วงอนธการ!

มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าจะเป็นปราณม่วงอนธการของฝูซีเทียน!

เจ้าแม่หนี่ว์วาเริ่มออกโรงแล้ว!

หานเจวี๋ยใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะไปเข้าฝันสือตู๋เต้า

ความฝันอันธการบังคับดึงสือตู๋เต้าเข้าสู่แดนความฝันทันที ไม่ให้เวลาต่อต้านขัดขืนเลย

ในแดนความฝัน

สือตู้เต๋าลืมตาขึ้นทันที เมื่อเขามองเห็นหานเจวี๋ยที่มีไอดำทะมึนปกคลุมทั่วร่างราวกับเงาดำ ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ

เขาจำเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้ ผู้ที่ถ่ายทอดหัตถาสวรรค์มหาวิมุตอันลึกล้ำให้แก่เขา ซึ่งเขายังคงฝึกฝนมาจนถึงปัจจุบันนี้

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “มีอริยะติดต่อเจ้ามาหรือ”

สือตู๋เต้ามีระดับความประทับใจในตัวเขาห้าดาว เขาอยากทดสอบดูว่าระดับความประทับใจห้าดาวนี้จะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีหรือไม่

เมื่อสือตู๋เต้าได้ยินดังนั้น เขาลังเลไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงตอบว่า “ใช่แล้ว เขามอบปราณม่วงอนธการสายหนึ่งให้ข้า ส่วนจะเป็นผู้ใดนั้น ข้าไม่อาจบอกได้ ขออภัยผู้อาวุโสด้วย”

“เจ้าอยากเป็นอริยะมรรคาสวรรค์หรือ”

“ผู้ใดบ้างจะไม่อยากสำเร็จเป็นอริยะ”

สือตู๋เต้ายอมรับอย่างเปิดเผย เขาค้างอยู่ในระดับครึ่งอริยะมานานเหลือเกิน การพิสูจน์มรรคแทบจะกลายเป็นจิตมารของเขาแล้ว

หานเจวี๋ยถามสั้นๆ “จะพิสูจน์มรรคเมื่อใด”

สือตู๋เต้าพิสูจน์มรรคก็ดีเหมือนกัน ใช้เป็นตัวนำร่องก่อน ดูว่าหลังจากมีอริยะรายใหม่ปรากฏขึ้นแล้วจะทำให้มรรคาสวรรค์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

“จะพิสูจน์มรรคภายในหนึ่งหมื่นปีขอรับ” สือตู๋เต้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม

เขาชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดอย่างไรกับข้า”

“ไยจึงถามเช่นนี้”

“ข้าทราบดี หลังจากพิสูจน์มรรคจะต้องเผชิญหน้ากับการเลือกฝ่ายแน่ อริยะที่มอบปราณม่วงอนธการให้ข้าก็มิใช่ผู้มีจิตเมตตาเลย”

“เข้าร่วมกับข้า ขอเพียงไม่ผิดต่อหลักฟ้าดิน ไม่ทำร้ายพวกพ้อง ข้าไม่มีทางตั้งเงื่อนไขและสร้างข้อจำกัดต่อเจ้ามากเกินไป สิ่งที่ข้าแสวงหาคือมหามรรค มิใช่อำนาจบารมี อำนาจเป็นเพียงผลพลอยได้”

หานเจวี๋ยตอบอย่างสบายๆ ยิ่ง ทว่าทำให้ดวงตาของสือตู๋เต้าส่องประกาย

สือตู๋เต้าก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน ใฝ่หาพลังมิใช่อำนาจ นี่เป็นสาเหตุที่เขาอยู่โดดเดี่ยวลำพัง แต่ถ้าอยากสำเร็จเป็นอริยะจะต้องกุมอำนาจ เนื่องจากจำเป็นต้องช่วงชิงดวงชะตามาถึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้

“ข้าจะตั้งตารอผลงานของเจ้าหลังสำเร็จเป็นอริยะ”

พอกล่าวประโยคนี้จบ หานเจวี๋ยก็สลายแดนความฝัน

เขาเพียงอยากรักษาสัมพันธ์อันดีกับสือตู๋เต้าไว้ หากว่าสือตู๋เต้าคิดทรยศเขา แค่โยนเข้าคุกสวรรค์อนธการไปก็จบเรื่อง

หากพูดจาอวดอ้างวางโตกันสักหน่อย ยามนี้มรรคาสรรค์ก็คืออาณาเขตของหานเจวี๋ย!

หากผู้ใดกล้าหาเรื่องเขา ถ้าไม่ตายก็ต้องกลายเป็นทาส

มีเพียงผู้ทรงพลังในแดนเทพหวนปัจฉิมเท่านั้นที่กดดันให้เขาร้อนรนได้ ดังนั้นถึงต้องเก็บตัวเข้าไว้

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พึมพำว่า “สือตู๋เต้าสำเร็จเป็นอริยะได้ เช่นนั้นหลี่เต้าคงก็ควรพิสูจน์มรรคได้แล้ว”

ตอนนี้เขาครอบครองปราณม่วงอนธการหนึ่งสาย ปราณม่วงมหามรรคหนึ่งสาย เพียงพอให้หลี่เต้าคงสำเร็จเป็นอริยะได้

หลี่เต้าคงเป็นหมากก้าวสำคัญของเขา และเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นที่เขาให้ความสำคัญที่สุด

ก่อนเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น หลี่เต้าคงได้พิสูจน์ให้เห็นความสามารถของตนแล้ว ขณะที่บุตรแห่งสวรรค์คนอื่นมีชื่อเสียงได้ด้วยคุณสมบัติ หลี่เต้าคงได้ทำให้ผู้คนมองข้ามคุณสมบัติของเขาไปแล้ว

หลังจากหลี่เต้าคงได้รับเขาเทพปู้โจว ตบะมีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ บรรลุระดับครึ่งอริยะระยะปลายแล้ว แต่ยังอยู่ห่างจากครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์อีกก้าวหนึ่ง จนแล้วจนรอดก็ยังทะลวงขั้นไม่ได้

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาหลี่เต้าคง บอกให้เขากลับมา

วันต่อมา หลี่เต้าคงมาถึงนอกเขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายเขาเข้ามาในอารามเต๋า

หลี่เต้าคงทำความเคารพอย่างนอบน้อม ถึงจะไม่รู้ว่าหานเจวี๋ยเรียกพบเขาด้วยเหตุใด แต่ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “ควรพิสูจน์มรรคได้แล้ว”

พิสูจน์มรรค!

หลี่เต้าคงตกตะลึง คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง

จากนั้น เขาก็เอ่ยถามด้วยลมหายใจถี่กระชั้น “ข้าพิสูจน์มรรคได้แล้วหรือ”

“ยังขาดไปอีกเล็กน้อย เจ้าจงฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างข้าไปก่อน เมื่อบรรลุระยะสมบูรณ์แล้ว ข้าจะให้เจ้าพิสูจน์มรรค”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างสงบ ราวกับระดับอริยะไม่มีค่าในสายตาเขาเลย

………………………………………………………………