บทที่ 604 ให้ไว้เป็นการอำลา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 604 ให้ไว้เป็นการอำลา

บทที่ 604 ให้ไว้เป็นการอำลา

เสี่ยวเถียนเหลือบมองชายชรา ก่อนสื่อสารกับพวกต้นไม้โดยรอบ จากข้อมูลที่พวกมันให้มา ที่แห่งนี้มีแค่ชายตรงหน้าอาศัยอยู่คนเดียวเท่านั้น เขามีนิสัยค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีคนมาสร้างปัญหาให้เขา

เด็กสาวพึงพอใจกับลานบ้านหลังนี้มาก อย่างที่เขาว่า หลังละ 200 หยวนเอง กำไรทั้งนั้น

เธอแอบหาข้อมูลอื่น ๆ ด้วยแต่ไม่ได้บอกหลี่จู้จื่อ

ส่วนฝ่ายนั้นเองก็คอยสำรวจอย่างใกล้ชิด

เขารู้สึกว่ามันเป็นบ้านที่ใช้ได้ ลานบ้านแบบนี้พอให้ครอบครัวเราอาศัยอยู่ แต่ถึงจะเหมาะ หลี่จู้จื่อก็ยังเป็นคนฉลาด และยังไม่ได้ตอบตกลงทันที

“คุณลุง ผมชอบลานแห่งนี้มากเลยครับ แต่ผมต้องไปถอนเงินมาก่อน ท่านช่วยรออยู่ที่นี่สักพักได้ไหมครับ?”

ชายชราเหลือบมองคนพูด “ได้สิ แต่ถ้ามีคนเต็มใจรับหลังนี้ไปก่อน ฉันจะไม่รอคุณหรอกนะ!”

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หลี่จู้จื่อพูดแค่ว่าไปถอนเงินเท่านั้น ไม่ได้ฝากเงินเสียหน่อย ต่อให้อีกฝ่ายขายให้คนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด

“ตามที่ท่านว่าเลยครับ!” เขายิ้มแล้วเดินออกมา

หลังจากเราออกเดินหากันอีกครั้ง คราวนี้ก็ไม่เจอหลังไหนที่เหมาะสมเลย และเพราะไม่มีที่เหมาะกว่านั้นเลย เราจึงกลับมาตั้งใจสอบถามหลังเดิม

โส่วเวินแนะนำมา เพราะช่วงที่อยู่เมืองหลวง ชายหนุ่มเจอคนทะเลาะกันแย่งบ้านอยู่บ่อย ๆ

หากบ้านหลังนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อพิพาทที่ไม่ได้หยุดได้หย่อน แค่นี้ก็พอให้คนซื้อไม่สามารถทำธุรกิจได้แล้วล่ะ

หลังจากสอบถามเรื่องทั่วไป คำตอบก็คล้าย ๆ กับต้นไม้ที่บอกเสี่ยวเถียนมา

ชายชราแซ่หานคนนี้เป็นเจ้าของบ้าน เคยทำงานในอำเภอ จึงได้ซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ ตอนนี้เขาเกษียณแล้วและมีความตั้งใจที่จะกลับบ้านเกิด จึงคิดนำบ้านมาปล่อยขาย

หลังจากได้ยินว่าบ้านจะไม่มีปัญหาเรื่องทรัพย์สินใด ๆ ก็รู้สึกโล่งใจมาก

“เพราะคิดแต่เรื่องซื้อบ้านเลยไม่ได้นึกว่าอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เกิดข้อโต้เถียงขึ้นได้น่ะ!” หลี่จู้จื่อยิ้มแหย “ต้องขอบคุณโส่วเวินที่เตือนกันนะ ถ้าอนาคตได้ซื้ออีกจะได้รู้เอาไว้”

ฝ่ายภรรยามองด้วยสายตาดุ ๆ “แค่บ้านหลังเดียวยังลำบากขนาดนี้ นี่คุณคิดจะซื้ออีกหลังแล้วหรือ?”

สามียิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวเถียนจึงตอบแทน “อาสะใภ้ อนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนลานบ้านแน่นอนค่ะ เพราะน้อง ๆ คงไม่สามารถอยู่ที่นี้จนโตหรอกนะคะ”

“อาไม่ได้คิดเรื่องไกลตัวขนาดนั้นหรอก พวกเขาจะใช้ชีวิตแบบไหนในภายภาคหน้า ในฐานะที่เป็นแม่ขอแค่ไม่ลำบากก็พอจ้ะ”

เราหันหลังกลับมาอีกครั้ง ชายชราแซ่หานไม่แปลกใจที่ได้พบพวกเรา

“พ่อหนุ่ม บ้านฉันไม่มีปัญหานะ”

หลี่จู้จื่อยิ้ม “คุณลุงครับ บ้านคุณดูดีจริง ๆ แต่คุณยังไม่ได้ย้ายข้าวของเลย ผมเลยคิดว่าจะจ่ายให้คุณครึ่งนึงก่อน ไว้โอนบ้านเสร็จค่อยจ่ายอีกครึ่งที่เหลือตอนคุณย้ายของเสร็จครับ”

“ฉันเอาไปแค่สองใบนี้พอ ที่เหลือยกให้พวกคุณเลย”

ชายชราแซ่หานเป็นคนทำอะไรรวดเร็ว เขาตอบออกมาทันควัน

“ถ้าจัดการตอนนี้ได้ก็ดีเลย ตอนบ่ายมีรอบรถไฟอยู่น่ะ ฉันจะออกเดินทางทันทีเลย”

ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้อนใจกว่าเราคนซื้อบ้านอีก

หลี่จู้จื่อเป็นคนฉลาดเหมือนเดิม เขามอบเงินสองร้อยหยวนให้ทันที

ชายชราเห็นว่าเงินครบแล้วก็พาไปโอนทรัพย์สิน

จู้จื่อมักจะพกบุหรี่ติดตัวเสมอเวลาทำธุรกิจ เขายัดให้เจ้าหน้าที่ซองหนึ่ง จากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่นดี

สรุปแล้วใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

ทันทีที่ประทับตราเหล็กลงไป หลี่จู้จื่อตื่นเต้นมากเหลือเกินเพราะไม่เคยคิดว่าวันนึงตนจะสามารถซื้อบ้านในอำเภอกับเขาได้

หลังจากกลับมาถึง ชายชราแซ่หานถือกระเป๋าออกเดินทางไปสถานีรถไฟท่ามกลางสายตาของพวกเรา

เสี่ยวเถียนมองเวลา เหลืออีกไม่นานก่อนจะถึงเวลาออกเดินทางของพวกเรา ใกล้ได้เวลาที่เราต้องไปบ้างแล้ว

“คุณปู่หาน พวกเราก็จะไปสถานีรถไฟเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวช่วยถือกระเป๋านะคะ!”

ชายชราไม่คิดเกรงใจ ส่งกระเป๋าให้โส่วเวินและเหล่าเอ้อร์ช่วยถือทันที

ในตอนที่หันหลังกลับไปหมายจะเดิน ชายชราแซ่หานหันหน้ากลับมามองลานบ้านหลังนั้นอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจและความทรงจำอันมากมาย

“ฉันอาศัยอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว แต่ตอนนี้กลับลังเลที่จะต้องจากมันไป เหมือนกับใบไม้บนต้นไม้ที่ท้ายที่สุดจะต้องหารากของตัวเองให้เจอ!”

กระทั่งมองมันเป็นครั้งสุดท้าย เขาอดกลั้นความไม่เต็มใจเอาไว้แล้วเอ่ยออกมา

หลี่จู้จื่อยิ้ม “ถ้ายินดีกลับมาดูอีกครั้ง คุณมาได้นะครับ”

ชายชราแซ่หานส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “ถ้าได้กลับไปแล้วฉันคงไม่ได้มาอีกแล้วล่ะ!”

ถึงจะกลับมาก็คงไม่รู้สึกเหมือนเดิมแล้ว งั้นเราจะกลับมาทำไมล่ะ?

“อาสี่ครับ อาอยากไปหรงเฉิงกับเราไหม?”

หลังจากที่โส่วเวินรู้แผนการของหลี่จู้จื่อที่จะเดินทางไปเยือนถิ่นหรงเฉิงแล้ว ชายหนุ่มกำลังคิดว่าฝั่งเราขาดคนพอดี จึงอยากชวนอีกฝ่ายไปด้วย

หลี่จู้จื่ออยากไปนะ แต่ตนเพิ่งซื้อบ้าน ยังไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง

ถ้าเขาไปครอบครัวคงอยู่กันไม่ได้!

แถมภรรยาเพิ่งเปิดร้าน ต้องอยู่ช่วยก่อน

“คราวนี้คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ เดี๋ยวช่วยอาสะใภ้ตั้งหลักก่อน ไว้รู้ว่าพวกเธอจะไปกันอีกเมื่อไหร่ เดี๋ยวอาตามไปด้วยนะ”

โส่วเวินเข้าใจดี เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

หลังจากออกเดินทาง จุดหมายของเราคือสถานีรถไฟ

ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากลานบ้านของชายชรานัก เรามาถึงกันในไม่ช้า

หลังจากดูตารางเวลาแล้ว รอบของเราและอีกฝ่ายห่างกันตั้ง 40 นาที

พวกเสี่ยวเถียนต้องเดินทางไปก่อน ตอนนี้รถไฟอยู่ห่างจากชานชาลา 20 นาทีก่อนเข้าเทียบ

“ขอบคุณทุกคนมากนะ บ้านฉันอยู่ไหวเฉิงน่ะ ถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีก!” ชายชราแซ่หานเอ่ยกับอีกฝ่ายที่กำลังโบกมือลา

“คุณปู่หานครับ ถ้าเราได้ไปที่นั้น เราจะออกตามหาคุณแน่นอนครับ!” โส่วเวินยิ้ม

เสี่ยวเถียนค่อนชอบเขา ยิ่งรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต อารมณ์จะต้องซับซ้อนแน่นอน

เธอปลดกระเป๋าสะพายออก ก่อนหยิบขวดโหลเนื้อผัดที่ทำเองแล้วมอบให้เขา

“คุณปู่หาน หนูให้เนื้อผัดโหลนี้กับคุณนะคะ จะได้กินกับซาลาเปาระหว่างเดินทางค่ะ”

ถือเป็นของขวัญปลอบใจครั้งสุดท้ายของชายชราผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดชีวิต!

อีกฝ่ายมองด้วยความตกใจ “สาวน้อย มันคือโหลเนื้อผัดเลยนะ มีมูลค่ามหาศาล แต่เธอให้ฉันหรือ?”

“คุณปู่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี แถมยังมีส่วนอย่างในการพัฒนาอำเภอด้วย หนูเลยให้เพื่อเป็นการอำลาค่ะ!” เด็กสาวยิ้มจริงใจ

แววตาของชายชรามีความขมขื่น

แต่ก่อนที่น้ำตาไหลรินไหล เด็กสาวก็ได้เดินเข้าไปในสถานีพร้อมกับคนในครอบครัวแล้ว