บทที่ 606 พร้อมใจกันทำงาน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 606 พร้อมใจกันทำงาน

บทที่ 606 พร้อมใจกันทำงาน

ในเมื่อพวกเขาล้วนไม่มีใครคัดค้าน จึงเริ่มการต่อราคา

ตามความคิดของซูเสี่ยวเถียน หากซื้อเลยย่อมดีกว่า ถึงอย่างไรการซื้อร้านในยุคสมัยนี้ก็ล้วนไม่ขาดทุน ในอนาคตหากขายต่อก็ยังทำกำไรได้ก้อนหนึ่ง แต่เจ้าของร้านกลับยอมให้เพียงเช่าร้าน ไม่ยอมขายให้

เรื่องนี้ทำให้ซูเสี่ยวเถียนเสียดายอยู่บ้าง

ร้านที่เช่ามาก็มีเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ หากเห็นว่าการค้าเป็นไปได้ดี แล้วเกิดอยากยึดร้านคืนจะทำอย่างไรเล่า? แม้จะเซ็นสัญญาร่วมกันแล้ว ก็ใช่ว่าจะต้องปฏิบัติตามสัญญา แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงเช่าไปเท่านั้น

เจ้าของร้านต้องการคิดค่าเช่าเดือนละสิบห้าหยวน แต่ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าแพงเกินไป ฉีเหลียงอิงก็คิดว่าแพงเกินไปเช่นกัน หลังจากทั้งสองคนต่อราคาแล้วเจ้าของร้านจึงลดค่าเช่าลงเหลือสิบหยวนต่อเดือน

หนึ่งเดือนสิบหยวนก็ถือว่าค่าเช่าไม่แพง แต่ก็ไม่ถูกขนาดนั้น ถึงอย่างไรร้านนี้ก็ไม่ได้ใหญ่นักเห็นว่าร้านเล็กถึงเพียงนี้ต้องจ่ายเงินสิบหยวนต่อเดือน ฉีเหลียงอิงก็ปวดใจยิ่งนัก

หลี่จู้จื่อและภรรยาซื้อบ้านในอำเภอแห่งหนึ่งมาทำร้านค้า ก็ยังจ่ายไปแค่สองร้อยหยวน มิน่าเล่าเสี่ยวเถียนถึงบอกว่าร้านในเมืองหลวงแพงกว่าในตัวเมืองของมณฑลมาก จนไม่กล้าคิดเรื่องซื้อร้านในเมืองหลวง

แต่ในที่สุดก็พวกเขาก็ตัดสินใจเช่าร้านค้าเสร็จสิ้น และเซ็นสัญญาร่วมกันเป็นเวลาสามปี

เซ็นสัญญาสามปีเป็นความคิดของซูเสี่ยวเถียน ฉีเหลียงอิงแม้จะไม่รู้เหตุผล แต่เสี่ยวเถียนพูดถึงขนาดนี้ เธอจึงทำตามความคิดของหลานสาว

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้จ่ายเงินครั้งเดียว แต่เป็นการจ่ายแบบไตรมาส เรื่องการเซ็นสัญญาหลายปี ฉีเหลียงอิงมองว่าไม่ได้สลักสำคัญนัก

เงินก้อนนี้เดิมทีซูเสี่ยวเถียนคิดจะออกไปก่อน แต่ฉีเหลียงอิงกลับยืนกรานที่จะจ่ายเอง ตอนที่เธอออกจากโรงงานมา ในโรงงานก็ให้เงินชดเชยมาด้วย

ฉีเหลียงอิงวางแผนจะใช้เงินก้อนนี้ในการเปิดร้าน

หลังจากทำสัญญาการเช่าเสร็จแล้ว ฉีเหลียงอิงก็ถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมทำความสะอาด ในร้านไม่ค่อยมีของนัก แต่เรื่องอุปกรณ์ทำความสะอาดกลับมีพร้อม

เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูเสี่ยวเถียนก็ช่วยทำความสะอาดด้วย

ความสะอาดของหน้าร้านยังไม่ค่อยดีนัก มองก็รู้ว่าไม่มีใครทำความสะอาดมานานแล้ว แต่เพราะคิดแล้วว่าต้องการขายอาหาร สองป้าหลานจึงตั้งใจทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง

“เสี่ยวเถียน มุมนี้ต้องเช็ดให้ดีนะ”

“บนหลังคามีฝุ่นมากขนาดนี้ ดูเหมือนจะสกปรกมากทีเดียว”

“ตรงนี้หนูจะทำความสะอาดเอง แม่รอง ตรวจดูหน่อยนะคะว่าสะอาดไหม!”

สองป้าหลานเธอขานฉันตอบ ตั้งใจทำงานเป็นอย่างมาก

ซูเหล่าเอ้อร์และซูโส่วเวินออกไปข้างนอก โดยที่ไม่รู้ว่าออกไปทำอะไร จนตอนที่สองป้าหลานทำความสะอาดเกือบเสร็จแล้ว ทั้งสองจึงเพิ่งกลับมา

ในมือทั้งสองคนหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ ของที่จำเป็นต้องใช้ในการเปิดร้านก็ล้วนเอามาทั้งหมด

ฉีเหลียงอิงเห็นสามีคิดไว้หมดแล้วก็ยิ้ม

เธอต้องการทำการค้า ที่จริงก็กังวลว่าสามีจะคัดค้าน นึกไม่ถึงว่าสามีจะสนับสนุนเธอ จึงปรี่เข้าไปดูแลเอาใจใส่ และบอกให้เขารีบไปพักผ่อน

“ยังไม่เหนื่อยเลย เดี๋ยวฉันกับโส่วเวินแยกกันไปห้องด้านหลัง เอาเตาไปตั้งไว้ก่อน”

ซูเหล่าเอ้อร์เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก และพูดอย่างมีความสุข

“แม่รองคะ ร้านนี้พอทำความสะอาดแล้ว ดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”

เดิมทีร้านมีแต่ฝุ่น แต่หลังจากทำความสะอาดก็ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียว

“รอจนพวกเราจัดการเรียบร้อยแล้ว จะต้องดูดีกว่านี้อีกแน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนล้วนคิดไว้หมดแล้วว่าจะจัดการอย่างไร

การใช้เงินน้อยที่สุดในการตกแต่งร้าน ทำให้คนมองรู้สึกสดใสคือเป้าหมายของซูเสี่ยวเถียน

“ยังต้องมีตู้สินค้า พอถึงเวลาจะได้วางพวกหมูพะโล้ เนื้อตุ๋นหม้อไฟ และไข่พะโล้ไว้บนตู้วางอาหาร แล้วค่อยใช้ผ้าโปร่งมาคลุมจะได้ดูสะอาดค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนพูดไปก็ทำท่าทางไป

ความจริงหากสามารถทำเป็นที่ครอบกระจก ที่สามารถมองเห็นทะลุได้จะดีกว่าแต่ในยุคสมัยนี้ กระจกราคาแพงมาก แม่รองจะต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน ไว้หลังจากได้กำไรแล้วค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน

“เอาล่ะ หลังกลับจากไปดูตลาดนัดมา คงจะซื้อไม่ไหว แต่ถึงจะซื้อไม่ได้ก็ยังสร้างเอาเองได้” ซูเหล่าเอ้อร์ยิ้มอย่างเบิกบาน และรับเรื่องตู้อาหารไปทำต่อ

“ผนังสีเทาไปหน่อย ค่อยกลับไปเอาปูนขาวมาทาสักรอบก็ได้”

ซูโส่วเวินคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่ายังมีตรงไหนที่ปรับปรุงได้อีกหน่อย เมื่อพ้นช่วงบ่ายไป ทุกคนก็ทำความสะอาดห้องหลังร้านเรียบร้อย

“ขาดแค่ตู้อาหาร เดี๋ยวรอทำตู้อาหารเสร็จ ค่อยหาวันที่ฤกษ์งามยามดีเปิดร้าน”

ฉีเหลียงอิงมองไปที่ร้านใหม่อย่างพอใจมาก ราวกับเธอเห็นอนาคตวันที่ร้านทำกำไรได้แล้ว

ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกเขาหาร้านอาหารเล็ก ๆ บริเวณใกล้เคียง จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ไปสามหยวน ก่อนจะกลับไปยังที่พัก

เมื่อถามพนักงานที่แผนกต้อนรับจึงรู้ว่าซูซื่อเลี่ยงและคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมา

“หนูคิดว่าพวกพี่รองต้องกลับมาพรุ่งนี้เช้าแน่นอนค่ะ ครั้งนี้คนน้อยแต่ของเยอะ พวกเราไปรับคนที่สถานีรถไฟกันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนนึกถึงเรื่องนี้ก็พูดขึ้นมา

ซูโส่วเวินกับซูเสี่ยวเถียนคิดเหมือนกัน จึงบอกว่าวันพรุ่งนี้จะไปสถานีรถไฟด้วย

“ฉันจำได้ว่าแปดโมงเช้ามีรถไฟจากเมืองหลวงเที่ยวหนึ่ง พวกเราไปดูกันเถอะ” ซูโส่วเวินเคยดูตารางรถไฟมาแล้วจึงรู้

ซูเหล่าเอ้อร์และฉีเหลียงอิงก็ไม่คัดค้านเช่นกัน

วันต่อมา ตอนเช้าทั้งสี่คนก็ตรงไปยังสถานีรถไฟแต่เช้า

ฉีเหลียงอิงตื่นเต้นมาก ดวงตาจับจ้องไปยังบนรางรถไฟ ไม่ได้เจอลูกชายมากว่าครึ่งปี เธอที่เป็นแม่ตอนที่ไม่นึกถึงก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ลูกชายกำลังจะมาอยู่ตรงหน้า ความคิดถึงจึงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง

“แม่รองคะ จะได้เจอพี่รองแล้ว แม่ดีใจไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนมองความตื่นเต้นของฉีเหลียงอิงออกอย่างชัดเจน แต่ก็ยังแกล้งถามออกไป

ฉีเหลียงอิงมองซูเสี่ยวเถียนอย่างโกรธ ๆ “เจ้าเด็กนี่ น่าโมโหจริงเชียว!”

ในตอนที่คนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ฉีเหลียงอิงมองลูกชาย ก็ตื่นเต้นจนเกือบร้องไห้ เจ้าลูกชายหน้าเหม็นคนนี้กลับมาถึงหน้าประตูแล้วก็ไม่รู้จักกลับมาเยี่ยมบ้านก่อน

ตอนที่ซูซื่อเลี่ยงเห็นพ่อแม่ก็ประหลาดใจจนอ้าปากค้าง พ่อแม่มาได้อย่างไร? ไหนจะพี่ใหญ่ที่มากับซูเสี่ยวเถียนอีก

“พ่อแม่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ครับ?”

ฉีเหลียงอิงตอบอย่างเคือง ๆ “ลูกมาถึงหน้าประตูแต่ไม่รู้จักมาเยี่ยมบ้าน แล้วยังไม่ดีใจที่เจอพ่อกับแม่อีกหรือ?”

ซูเหล่าเอ้อร์มองพวกคนข้างหลังซูซื่อเลี่ยงที่กำลังจัดกระเป๋าเล็กใหญ่ พลางรีบพูด “อย่าเพิ่งพูดเรื่องเก่า ๆ เลย กลับไปก็ยังมีเวลา พวกเราเอาของกลับไปก่อนเถอะ”

เป็นผู้หญิงนี่ก็จู้จี้เหมือนกัน ในสถานีรถไฟคนเยอะขนาดนี้ถ้าของหายไปสักอย่างสองอย่างจะทำอย่างไร?

ฉีเหลียงอิงก็รู้สึกตัวจึงรีบช่วยยกของก่อน ต้องบอกว่ามีครั้งนี้เอาของกลับมาเยอะจริง ๆ ถึงจะเพิ่มคนมาช่วยอีกสี่คนแต่ก็ยังเหนื่อยพอสมควร ไม่ง่ายเลยกว่าจะขนสินค้ามากมายขนาดนี้ย้ายไปในที่พัก การค้นย้ายครั้งนี้จึงทำให้ทุกคนหมดแรงกันอย่างรวดเร็ว

ซูเสี่ยวเถียนเทน้ำให้พวกเขาแต่ละคน

“ดื่มน้ำก่อนเถอะค่ะพี่รอง พวกพี่เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ คงยังไม่ได้กินข้าวดี ๆ ด้วยซ้ำ”

ซูซื่อเลี่ยงยิ้มตอบ “ไม่หรอก บนรถไฟพวกเราผลัดกันพักแล้ว และยังมีหลินหลินคอยทำอาหารให้พวกเราด้วย เลยค่อยยังชั่ว”