บทที่ 672 เดินทางสู่อู๋ซาน

ถังหลี่เดินทางตามที่เทียนเต๋าชี้นำ นางมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือของเหลียงโจว หลังจากเดินทางมาหลายสิบวันพวกเขาก็เข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ

ในตอนค่ำพวกเขาพักอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง

ตอนนี้เข้าฤดูหนาว อากาศในเมืองหลวงหนาวลงเช่นกัน สถานที่ที่พวกเขามาถึงมีความแห้งแล้งและหนาวเย็น ในตอนกลางวันและกลางคืนอุณหภูมิต่างกันมากจนไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนล้มป่วยเพราะสภาพอากาศ

ซานเป่าสวมเสื้อบุนวม ใบหน้าของนางถูกปิดไว้ด้วยหมวกคลุมจนเห็นแค่ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งเท่านั้น ถังหลี่จับมือบุตรสาวเข้าไปในโรงเตี๊ยม

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ติดป้ายซ่อมซ่อไว้ด้านหน้า ที่นั่งกินข้าวด้านในมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่มากมาย ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ คละคลุ้งอยู่ ที่นี่คือโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมือง คนเหล่านั้นสวมผ้าเนื้อหยาบคล้ายกับพ่อค้า

เมื่อถังหลี่และผู้ติดตามเข้ามาถึง คนเหล่านั้นหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียว แม้พวกนางจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ก็ยังโดดเด่นกว่าผู้อื่น เป็นเรื่องยากที่จะซ่อนสง่าราศรีที่มีอยู่ในตัวเอาไว้ได้ ดูแล้วรู้ทันทีว่ามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย

ซานเป่าได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายอย่างจากการเดินทางในครั้งนี้ นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงภายใต้ปีกที่บิดามารดาปกป้องมานาน ไม่เคยต้องเจอความชั่วร้ายของมนุษย์ยกเว้นหลู่เสวี่ยนคนเลวผู้นั้น ระหว่างการเดินทางเด็กหญิงเจอทั้งนักต้มตุ๋นและผู้คนมากมายที่จ้องจะเอาเปรียบ ทำให้ซานเป่าเติบโตขึ้นมาก

เมื่อถูกจับจ้องมองด้วยสายตาเหล่านั้น นางจึงไร้ซึ่งความกลัว ซานเป่ากลับประสานสายตาพลางลอบสังเกตไปด้วย

“นายหญิงจะเข้าพักโรงเตี๊ยมหรือขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งมาถามด้วยความกระตือรือร้น

“ข้าเช่าหกห้อง” ถังหลี่กล่าว

“ขอรับนายหญิง ตามข้ามาเลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นด้านบน

“เตรียมน้ำอุ่นแล้วก็เตาในห้องให้พวกข้า รวมถึงอาหารด้วย แล้วเจ้าไปตามหมอมาให้ทีเถอะ พวกข้ามีคนป่วยอยู่” ถังหลี่สั่งก่อนจะนำเหรียญมอบให้เสี่ยวเอ้อร์

ถังหลี่กับซานเป่าอยู่ในห้องเดียวกัน ในห้องของพวกเขายังไม่มีเตาอุ่น อีกทั้งหน้าต่างยังเปิดอยู่ หญิงสาวปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็วในขณะที่ซานเป่าจุดเทียน

“ท่านแม่ ข้าเห็นคนด้านล่างดูผิดสังเกตเจ้าค่ะ” ซานเป่ากระซิบ

“ตรงโต๊ะใกล้หน้าต่าง มือขวาของพวกเขามีหนังหนาด้าน พอมองดีๆจะเห็นมีด” ใบหน้าของซานเป่าจริงจังมาก นางรู้สึกว่าคนที่โต๊ะมองมายังพวกนางราวกับหมาป่าที่หิวโซทำให้ซานเป่าอึดอัดและไม่สบายใจ

ถังหลี่สังเกตเห็นมาครู่หนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นซานเป่าได้รับรู้ นางมีความสุขที่ได้เห็นว่าการเดินทางในครั้งนี้ไม่สูญเปล่าซานเป่าเติบโตขึ้นมากจริงๆ

“ที่นี่อยู่ใกล้กับเหลียงโจวมาก ทางการกำลังปราบปรามโจรเหล่านี้อยู่ ทำให้คนที่เหลือรอดปะปนอยู่กับคนทั่วไป” ถังหลี่ตั้งข้อสังเกต

“ท่านแม่คิดว่าพวกเขาโหดเหี้ยมหรือไม่? เขาเป็นโจรที่โหดร้ายแต่ก็ดูสิ้นหวัง” ซานเป่าขมวดคิ้ว

“เจ้าต้องระวังตัว อยู่แต่ในห้องอย่าออกไปข้างนอก”

ที่จริงแล้วนางไม่กลัวเลย เพราะองครักษ์เงาซ่อนตัวอยู่ ยังไม่นับถึงการมีอยู่ของตู้เย่ แต่การออกไปเพียงลำพังก็อาจจะตกหลุมพรางโจรได้เช่นกัน สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินมาส่งอาหาร

อาหารยังร้อนเพราะเพิ่งออกมาจากเตา เป็นอาหารปรุงง่ายๆ แต่น่ารับประทานในยามอากาศหนาวเช่นนี้ ซานเป่าลูบท้องของตัวเอง

“ข้าหิวจะตายแล้ว”

เด็กหญิงรีบวิ่งไปที่โต๊ะ นางหยิบตะเกียบให้มารดา แต่เมื่อซานเป่ากำลังจะคีบอาหารขึ้นมากิน มือที่ถือตะเกียบหยุดชะงักลง ความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ซานเป่าหันไปมองถังหลี่พบว่านางยังไม่ขยับตะเกียบเช่นกัน

“ท่านแม่ หากโรงเตี๊ยมสบคบคิดกับโจร อาหารเหล่านี้อาจจะมีพิษใช่หรือไม่?”

ถังหลี่พยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม ยัยเด็กคนนี้ไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวจนไม่ระวัง

“ท่านแม่ แล้วเราต้องใช้เข็มเงินตรวจสอบหรือไม่?” ซานเป่าพูดพร้อมกับหยิงถุงใบเล็กๆ ออกมา มันเป็นกระเป๋าใส่เครื่องมือต่างๆ ของซานเป่า นางหยิบเข็มเงินขึ้นมาจิ้มไปที่อาหารทุกจาน แต่ก็ไม่มีจานไหนเปลี่ยนเป็นสีดำ

“ท่านแม่ นี่แปลว่าไม่มีพิษใช่หรือไม่?” ซานเป่าถาม

“เข็มเงินพวกนี้สามารถตรวจสอบพิษร้ายแรงได้เท่านั้น แม้จะไม่เปลี่ยนเป็นสีดำก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าปราศจากพิษ” ถังหลี่บอก

“ท่านแม่แล้วเราควรทำอย่างไรเจ้าคะ?” ซานเป่ามีสีหน้าลำบากใจ

“กินข้าวเถอะ” ถังหลี่หยิบชามก่อนจะเริ่มกิน

ซานเป่าตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้าง

“ท่านแม่ ดูแล้วว่าไม่มีพิษใช่หรือไม่?” นางรู้ว่าท่านแม่ของนางเก่งที่สุด

“เสี่ยวเอ้อร์จะทำอาหารให้ตู้เย่ก่อน หากมีอะไรผิดปกติ อาจารย์ของเจ้าจะบอกพวกเรา” ซานเป่ากะพริบตา

“เจ้าคิดว่าท่านแม่ของเจ้าเป็นเทพเซียนหรือ?” ถังหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ซานเป่าพยักหน้าจริงจัง ในสายตาของนางแล้ว มารดาเก่งกาจเหนือกว่าผู้อื่นจริงๆ

“อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ เจ้าต้องเรียนรู้จากเขาอีกมากมาย ” ถังหลี่ว่า

“กินเถอะ”

ซานเป่าหิวมาก นางรีบหยิบชามขึ้นมาแล้วเริ่มกินทันที เด็กหญิงกินข้าวไปถึงสามชามจนพุงป่องยื่นออกมา

ที่พักแห่งนี้แม้จะโทรมไปหน่อยและที่นอนผ้าห่มยังมีกลิ่นเหม็น แต่สำหรับการพักชั่วคราวก็ถือว่าดีแล้ว

ถังหลี่มองดูบุตรสาวอย่างอ่อนโยน นางสวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้กับซานเป่าแล้วห่มผ้านวมทับอีกชั้น หญิงสาวจุมพิตที่หน้าผากของซานเป่า นอนกอดนางจนหลับไปภายในห้องที่อบอุ่น

ซานเป่าตื่นขึ้นมากลางดึก นางจึงได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพวกโจรแอบเข้ามาหาแม่ลูกทั้งคู่ หมายจะฆ่าชิงทรัพย์ แต่ถูกองครักษ์เงากำจัดไป โจรพวกนี้อาละวาดในเมืองมาสักพักแล้ว แต่ไม่มีใครกล้ารายงานกับทางการเพราะกลัวว่ากลุ่มโจรจะตอบโต้

ตอนนี้โจรได้ถูกกำจัดไปแล้ว ถือได้ว่าพวกเขาช่วยกำจัดเรื่องทุกข์ร้อนของประชาชน

ซานเป่ารู้สึกหงุดหงิด นางหลับสนิทไม่รู้สึกตัวเลย หากไม่ได้หน่วยองครักษ์เงา…

ถังหลี่ลูบหัวปลอบใจบุตรสาว

“องครักษ์เงากำจัดพวกโจรเงียบมาก แม่เองยังไม่ได้ยินเสียงเช่นกัน”

ซานเป่าจึงได้รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขามุ่งหน้าเดินทางต่อ ยิ่งไกลมากขึ้นอากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านก็บางตาลงไปเช่นกัน ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดที่เทือกเขาแห่งหนึ่ง การชี้แนะทางของเทียนเต๋าจบลงที่นี่

จ้าวจิ่งซวนอยู่ในเทือกเขาแถบนี้

ภูเขาทั้งสูงใหญ่อีกทั้งมีป่ารกชัฏสุดลุกหูลุกตา ยังไม่นับสัตว์ร้ายที่หลับใหลอยู่ ถังหลี่ไม่รู้ว่าภายในภูเขาแห่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย

ป่าดึกดำบรรพ์เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ นางจึงไปรีบร้อนที่จะเดินทางเข้าไป

พวกเขาพักแรมอยู่ที่ตีนเขา จากนั้นจึงคนเข้าไปสำรวจก่อน

ตู้เย่พาซานเป่าและหวังหยูเข้าไปล่าสัตว์ในป่า แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว พวกเขาช่วยนายพรานคนหนึ่งที่ถูกหมีดำโจมตีออกมาได้ นายพรานผู้นี้เติบโตมาในป่าตั้งแต่ยังเล็ก เขาล่าสัตว์มาสิบปีแล้วและคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ดี

“ที่นี่คืออู๋ซาน” นายพรานว่า

ถังหลี่ตกตะลึง นี่คืออู๋ซานในตำนานหรือ?

อู๋ซานเป็นภูเขาที่ลึกลับ มีชนเผ่าโบราณอาศัยอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีลักษณะใกล้เคียงกับชนเผ่าโบราณ ทั้งป่าเถื่อนและเคร่งศาสนามาก เป็นโลกที่แตกต่างจากที่ๆ พวกเขาจากมาอย่างสิ้นเชิง หวังหยูเองก็มาจากอู๋ซาน

ดวงตาของถังหลี่อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่เขา