บทที่ 673 เผ่าโบราณอู๋ซาน

หวังหยูขมวดคิ้วครู่หนึ่งแต่เขาก็คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มตบศีรษะของตัวเอง เขารู้ว่าคนที่ฮูหยินอู่ต้องการช่วยเหลืออยู่ในเทือกเขาอู๋ซานแห่งนี้ นางต้องการคนนำทางอย่างเร่งด่วน แต่ทว่าหวังหยูกลับจำอะไรไม่ได้เลย เขาช่างไร้ประโยชน์เสียจริง

ซานเป่าหยุดการทำร้ายร่างกายตนเองของเขา พูดด้วยเสียงเบาว่า

“หวังหยู ช่างเถอะถ้าเจ้าจำไม่ได้ข้าก็ไม่โทษเจ้า”

หวังหยูมองเจ้านายของตน เขารู้สึกผิด

“ท่านแม่หาวิธีอื่นได้ ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก” ซานเป่าพูดด้วยรอยยิ้ม ถังหลี่พยักหน้า นางหันไปมองนายพราน

“ว่ากันว่าในอู๋ซานมีเผ่าโบราณมากมายอาศัยอยู่ เจ้าล่าสัตว์มาหลายปีเคยพบพวกเขาบ้างหรือไม่?”

นายพรานหนุ่มครุ่นคิดบางอย่าง ใบหน้าของเขาจะมืดครึ้มลง

“ท่านผู้มีพระคุณ เรื่องนี้ค่อนข้างยาว ตอนนี้อากาศหนาวมากแล้ว พวกท่านเชิญไปพักผ่อนที่บ้านข้าก่อนเถิด แล้วข้าจะค่อยๆเล่าให้ฟัง ข้าแซ่หวัง ข้าเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัว ท่านเรียกข้าว่าหวังเอ้อร์ก็ได้”

ลมหนาวกรูพัดผ่านมา ทำให้ไม่อาจอยู่ปักหลักที่นี่ได้จริงๆ ถังหลี่พยักหน้า พวกเขาติดตามหวังเอ้อร์ไปยังบ้านที่อยู่บริเวณตีนเขา ซึ่งมีหมู่บ้านเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ ที่นี่มีครอบครัวมากกว่ายี่สิบครัวเรือน พวกเขาหากินด้วยการล่าสัตว์

บ้านของหวังเอ้อร์ค่อนข้างกว้างขวาง รายล้อมไปด้วยสนามหญ้า มีห้องอยู่สามห้อง หวังเอ้อร์พาพวกเขาเข้าไปในห้องหนึ่งหาม้านั่งมาให้

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมากับเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบ ทั้งสองเป็นภรรยาและบุตรสาวของหวังเอ้อร์ ชายหนุ่มเดินออกไปพูดบางอย่างกับภรรยา นางหันมามองทางกลุ่มของถังหลี่ด้วยสายตาขอบคุณ

“รีบต้มน้ำแล้วนำเนื้อแห้งที่ข้าทำไว้เมื่อวานมาทำอาหารเถอะ” หวังเอ้อร์สั่งภรรยา นางรีบออกไปทำตามคำสั่งของสามี เขาจึงเดินกลับเข้ามาในห้องเล่าเรื่อง ที่ได้พูดค้างเอาว้

“ผู้มีพระคุณ ข้าอาจจะเคยเห็นเผ่าโบราณที่ท่านว่า”

“จริงๆ แล้วในภูเขาลูกนี้มีนายพรานที่เชี่ยวชาญในการล่าเป็นอย่างมาก ข้าเคยเห็นพวกเขาจับเด็กเจ็ดแปดขวบใส่กรง อีกครั้งก็เป็นเด็กอายุสิบสามสิบสี่ปี พวกค้ามนุษย์เหล่านั้นต้องการจะจับเขา ทว่าเขามีเรี่ยวแรงเยอะต่อสู้จนพวกค้ามนุษย์ต้องตายไปหลายคนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็โดนพาตัวไปจนได้”

ตอนนี้ถังหลี่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีทาสอู๋ซานในท้องตลาดมากเช่นนี้ พวกเขาตกเป็นเป้าของพวกค้าทาส ทาสอู๋ซานหายากทำให้มีราคาสูง ได้กำไรไม่น้อย ความต้องการในท้องตลาดทำให้ขบวนการค้าทาสเติบโตขึ้น

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมนุษย์ล้วนเอาเปรียบซึ่งกันและกันเพื่อเงินเท่านั้น เป็นเรื่องที่หวังหยูล้วนรู้ดีเพราะได้ประสบมากับตนเอง

“พี่ชายของข้าก็เคยเจอ สิบปีที่แล้วเขาเห็นคนจำนวนมากสวมชุดชนเผ่าโบราณไล่ตามชายคนหนึ่ง ในวงแขนของเขามีทารกอยู่ คนที่เห็นคือพี่ชายข้าที่อายุมากแล้ว ตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กอยู่”

หวังเอ้อร์เล่าอย่างตื่นเต้น เขาอดถามไม่ได้ว่า

“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านคิดว่าเผ่าโบราณเป็นอย่างไร? เขาเหมือนกับพวกเราหรือไม่?”

ไม่มีใครตอบคำถามเขาได้

ความเข้าใจของถังหลี่เกี่ยวกับเผ่าโบราณนั้นเป็นเพียงตำนานบางส่วนเท่านั้น ในตอนนั้นเองภรรยาของหวังเอ้อร์กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำร้อน นางมอบชามให้ทุกคนเพื่อเทน้ำร้อนดื่ม

“ฮูหยิน ท่านช่วยต้มน้ำร้อนแล้ววางไว้ด้านนอกให้ข้าได้หรือไม่” ถังหลี่ถาม

แม้อากาศจะหนาวจัดแต่องครักษ์เงาก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาไม่มีแม้แต่อาหารร้อนๆ กินด้วยซ้ำ เมื่อวานนี้ถังหลี่จึงจงใจจองห้องเพิ่มอีกสองห้องเพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อน ในหน่วยองครักษ์เงานั้นมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ต้องรักษาไว้อย่างเคร่งครัด พวกเขาจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน เว้นแต่จำเป็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นถังหลี่คงให้พวกเขาเข้ามากินข้าวด้วย ภรรยาของหวังเอ้อร์รู้สึกสับสน

“ไปเถอะ ทำตามที่ผู้มีพระคุณบอก” หวังเอ้อร์ว่า

ภรรยาของเขานำน้ำร้อนไปวางไว้ข้างประตูสองสามชาม หลังจากนั้นไม่นานนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชามพวกนั้นวางเปล่า บทสนทนาในห้องยังคงดำเนินต่อไป

“หลานชายคนหนึ่งของข้าถูกจับตัวไป ข้าสงสัยว่าเขาจะอยู่ในเผ่าโบราณที่ว่า” นั่นคือเบาะแสที่เทียนเต๋ามอบให้นาง

“เราอยากเข้าไปด้านในป่า หวังเอ้อร์ ท่านคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ช่วยชี้ทางให้พวกข้าได้หรือไม่” หลังจากที่ถังหลี่พูดจบใบหน้าของหวังเอ้อร์เผือดลง เขาพูดไม่ออกอยู่ชั่วครู่

“หวังเอ้อร์?”

“ท่านผู้มีพระคุณ เผ่าอู๋ซานน่ากลัวและป่าเถื่อนมาก พวกเราล่าสัตว์อยู่บริเวณด้านนอกป่าเท่านั้น จะไม่เข้าไปข้างในอย่างเด็ดขาด หลายปีก่อนตอนที่ข้ายังเด็ก มีคนนอกจำนวนมากให้เงินสูงลิบเพื่อจ้างชาวบ้านนำทาง แต่ว่าไม่เคยมีใครได้กลับออกมา บางคนบอกว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ในป่าแห่งนั้น บ้างก็บอกว่าสัตว์ร้ายที่อยู่ด้านในตัวใหญ่เป็นสี่ห้าเท่ากว่าสัตว์ปกติ”

“ผู้มีพระคุณจะให้ข้านำทาง ข้าคงไม่กล้าทำจริงๆ ขอรับ ขออภัยด้วย”

ใบหน้าของถังหลี่เคร่งขรึมขึ้น

นางเคยยินเรื่องข่าวลือของอู๋ซาน บางคนต้องการค้นหาเผ่าโบราณพวกนี้จึงส่งคนเข้าไปด้านในป่าเป็นจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้กลับออกมา ตรงกับเรื่องที่หวังเอ้อร์พูด แม้แต่นายพรานมากประสบการณ์อย่างหวังเอ้อร์ยังไม่กล้าเข้าไป แสดงว่าอู๋ซานมีอันตรายมากเพียงใด คงจะดีไม่น้อยหากหวังหยูจะจำอะไรได้บ้าง

“มีใครในหมู่บ้านของท่าน ที่กล้าเข้าไปในอู๋ซานบ้าง ข้าจะให้เงินตอบแทนเป็นจำนวนมาก” ถังหลี่ถาม หวังเอ้อร์คิดครู่หนึ่ง

“ข้าจะไปถามให้”

หวังเอ้อร์ถามไปรอบหมู่บ้านแต่ก็ไม่มีใครกล้าไป เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูด

“ผู้มีพระคุณ ข้าขอพูดเรื่องที่ไม่เป็นมงคลหน่อยเถิด หลานชายของท่านผู้นี้หากอยู่ในอู๋ซานจริงๆ ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี ท่านอย่าเสี่ยงเลย เผ่าอู๋ซานเป็นเผ่ากินคนจริงๆ” หลังจากที่หวังเอ้อร์พูดจบ เขาก็ไปช่วยภรรยาเตรียมอาหารต่อทันที

ถังหลี่รู้ว่าแม้ว่าคำพูดของเขาจะฟังระคายหูก็เป็นคำเตือนที่หวังดี แต่นางจำเป็นต้องหาจ้าวจิ่งซวนให้พบ มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ ซานเป่าเข้านั่งใกล้ๆ ถังหลี่ จับมือของมารดาไว้

“ถ้าเจ้าต้องเข้าไปข้างในเจ้าจะกลัวหรือไม่?” ถังหลี่ถามพร้อมกับบีบแก้มของซานเป่า นางส่ายศีรษะ

“ไม่กลัว”

ในดวงตาของนางมีแต่ความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น

“บางทีเราอาจจะช่วยหวังหยูหาญาติได้” ซานเป่าพูดขึ้น

พวกเขาจะได้เจอครอบครัวของหวังหยูและช่วยองค์ชายหกได้สำเร็จ ถังหลี่หัวเราะเบาๆ นางเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มองโลกในแง่ดีจริงๆ บางทีผลลัพธ์ในครั้งนี้ก็อาจจะเป็นแบบที่ซานเป่าหวังไว้ก็เป็นได้ ถังหลี่เบาใจมากขึ้น

เมื่อประตูเปิดออกหวังเอ้อร์เข้ามาพร้อมกับหม้อใบใหญ่ ในนั้นมีเนื้อเต็มไปหมด ไอร้อนที่ลอยออกมาทำให้กลิ่นของเนื้อฟุ้งกระจาย เมื่อเป็นฤดูหนาวแบบนี้มันดูน่าอร่อยขึ้นมาก

“ผู้มีพระคุณไว้คุยกันหลังกินข้าวเถอะ” หวังเอ้อร์พูดด้วยรอยยิ้ม

เนื้อมีกลิ่นหอมมาก นางไม่รู้ว่าภรรยาของหวังเอ้อร์ใส่อะไรลงไป แต่มันไม่มีกลิ่นคาวเลย ทั้งเผ็ดร้อนและหอมอร่อยในปาก ทุกคนกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มื้อนี้คือมื้อที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้กินในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซานเป่ากินเต็มปาก อย่างเอร็ดอร่อย