ตอนที่ 1235 ต้องฆ่า (8) / ตอนที่ 1236 โลหิตแดง (1)
ตอนที่ 1235 ต้องฆ่า (8)
มันคิดว่า จวินอู๋เสียในตอนนี้คงไม่มีอารมณ์อธิบายอะไรทั้งนั้น
“รัฐเฉียว…แต่นี่…” เฉียวฉู่นึกขึ้นได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเกี่ยวข้องกับข่าวที่เขาบอกจวินอู๋เสียเมื่อเช้าแน่
แต่เขาไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียไปเกี่ยวข้องกับคนจากรัฐเฉียวตอนไหน ถึงทำให้นางตัดสินใจสังหารหมู่ครั้งใหญ่เพราะฮ่องเต้น้อยแห่งรัฐเฉียว
แม้ว่าในใจเขาจะเห็นด้วยอย่างเต็มที่ต่อความกระหายโลหิตที่จวินอู๋เสียได้แสดงออกไป แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ดี
“เจ้านายของข้ามาที่เมืองหลวงรัฐจิ้วพร้อมกับพวกเขา” แมวดำตัวน้อยเอ่ยปากพูด ระหว่างการเดินทางมันไม่ได้แสดงตัวออกมา แต่เฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในร่างของจวินอู๋เสีย มันไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
มันเข้าใจจวินอู๋เสียดี ไม่มีใครรู้จักนางดีไปกว่ามันแล้ว ดังนั้นมันจึงพอจะเดาได้ว่าจวินอู๋เสียรู้สึกอย่างไร
ในที่สุดเฉียวฉู่ก็เข้าใจ เขามองสภาพของราชครูเหอและฮ่องเต้น้อย แล้วก็รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มาก เขากับฮวาเหยาและคนอื่นๆ รู้ดีว่าไม่ควรรบกวนจวินอู๋เสียมากไปกว่านี้ จึงรีบพูดว่าให้ตะโกนเรียกพวกเขาได้ถ้าต้องการ จากนั้นก็พากันออกจากห้องพร้อมปิดประตูตามหลัง
ภายในห้อง จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ นางจัดการรักษาราชครูเหอให้อาการทรงตัวก่อน
แม้ว่าบาดแผลของราชครูเหอจะค่อนข้างสาหัส แต่มันก็ไม่เกินความสามารถของจวินอู๋เสีย หลังจากเอาโอสถวิเศษชั้นเลิศให้เขากินไปสองสามขวด ลมหายใจของราชครูเหอก็สม่ำเสมอมากขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฮ่องเต้น้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ เงียบมากเสียจนเกือบรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น
ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกับกระต่ายโลหิตเข้าไปหาฮ่องเต้น้อยอย่างระมัดระวัง แม้ว่าหน้าตาของฮ่องเต้น้อยจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พวกมันก็ยังจำได้ว่าเด็กน้อยที่มีผมสีแดงตอนนี้เป็นคนเดียวกับฮ่องเต้น้อยที่เอาอาหารอร่อยๆ ให้พวกมันกิน
ในแววตาของพวกมันมีความสับสนและไม่เข้าใจอย่างมาก พวกมันไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยเป็นอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไม…ตาของเขาไม่เป็นประกายอีกแล้วเวลามองพวกมัน ทำไมเขาไม่อุ้มพวกมัน ไม่ลูบไม่กอดพวกมันอีกแล้ว
เขาแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ แทนที่จะพูดว่าเขากำลังอุ้มเจ้าแมวดำ ควรพูดว่าเจ้าแมวดำกำลังนั่งอยู่บนตักเขามากกว่า
“แบ๊ะ” ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเอาจมูกดุนน่องเล็กๆ ของฮ่องเต้น้อย แต่ฮ่องเต้น้อยก็ไม่ตอบสนองเลย
กระต่ายโลหิตดึงบุรุษกางเกงเขา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าทำไมเป็นเช่นนี้ สัตว์วิญญาณที่ไร้เดียงสาทั้งสองหดหู่มาก พวกมันไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอะไรอีก แต่พากันนอนลงตรงเท้าของฮ่องเต้น้อย
หลังจากจวินอู๋เสียรักษาราชครูเหอเสร็จ นางก็ไปตรวจอาการของฮ่องเต้น้อย
นางไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่คุ้นเคยบนใบหน้าขาวซีดเล็กๆ นั่นอีกแล้ว ใบหน้าที่เปียกฝนนั่นยังมีคราบน้ำตาโลหิตสองสายเหลืออยู่จางๆ จางมากจนเกือบมองไม่เห็น
จวินอู๋เสียยกแขนของฮ่องเต้น้อยขึ้นมาและจับชีพจรของเขาอย่างระมัดระวัง
ชีพจรของฮ่องเต้น้อยเหมือนกับของชายหนุ่มคนนั้นมาก แต่ก็มีความแตกต่างอยู่!
ร่างกายของชายหนุ่มคนนั้นถูกใช้จนกลวงหมดแล้ว
แต่ร่างของฮ่องเต้น้อย ดูเหมือนว่ามีพลังที่ตรงข้ามกันสองชนิดปะทะกันอยู่ตลอด!
“คุณหนูใหญ่!” ทันใดนั้น เยี่ยซาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง
จวินอู๋เสียหรี่ตาถามว่า “อะไร”
“ข้าน้อยอาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของฮ่องเต้น้อยแห่งรัฐเฉียวขอรับ” เยี่ยซาพูดพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
จวินอู๋เสียรู้สึกประหลาดใจ นางหันไปมองเขาทันที
“เจ้ารู้”
เยี่ยซาพยักหน้า
“ความจริงแล้ว เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นที่สามโลกชั้นกลางมาก่อนขอรับ ข้าน้อยได้ยินคุณชายฟ่านพูดถึงมัน แต่สิ่งที่คุณชายฟ่านรู้นั้นยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ขอรับ”
ตอนที่ 1236 โลหิตแดง (1)
ในสามโลกชั้นกลางเมื่อนานมาแล้ว มีวิธีการสังเวยวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังอยู่ และวิธีการนี้ถูกแบ่งเป็นสองแบบ แบบที่หนึ่งคือที่ฟ่านจัวเคยพูดถึงซึ่งเป็นวิธีที่ตรงที่สุดที่จะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นหุ่นเชิดไร้จิตใจและเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมาก
ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้น น่ากลัวยิ่งกว่า
วิธีการนั้นจะยกระดับพลังของคนคนหนึ่งให้สูงขึ้นอีกระดับ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งจนสามารถบดขยี้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้
“เพื่อให้ได้พลังที่สามารถบดขยี้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้ มันจึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถแบกรับได้ เพราะสิ่งนั้นเป็นมากกว่าการทำลายขีดจำกัดของคน มันคือการใช้พลังชีวิตของเจ้าของร่างซึ่งจะถูกสูบไปในปริมาณที่มหาศาลเพื่อให้ได้พลังที่แข็งแกร่งจนไร้ผู้ต้าน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ใหญ่หลวงอยู่หนึ่งอย่างจากการที่พลังชีวิตลดลงมากเกินไป นั่นคือเมื่อใช้วิธีการนี้แล้ว คนผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวันขอรับ” เยี่ยซาบอกจวินอู๋เสียทุกอย่างที่เขารู้ หากไม่ใช่เพราะผมสีแดงและตาสีแดงของฮ่องเต้น้อย เขาก็คงไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้น้อย
จากสิ่งที่เขาเห็น เยี่ยซารู้ว่ามีเพียงวิธีที่สองเท่านั้นที่จะเปลี่ยนฮ่องเต้น้อยให้เป็นแบบนี้ได้
“ชีวิตที่เหลือสามวันนี้แลกกับความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ วิธีการนี้สร้างโดยคนที่สูญเสียบ้านและครอบครัวไปทั้งหมด ครอบครัวของเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ตัวเขาเองก็ได้รับพิษที่รุนแรง เมื่อไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต เขาจึงคิดค้นวิธีการนี้ขึ้นมา วิธีที่สังเวยพลังชีวิตทุกๆ หยดจนหยดสุดท้าย แทบไม่มีใครเลือกที่จะใช้วิธีการดังกล่าว เนื่องจาก…เวลาที่สั้นเกินไป และการเตรียมการสำหรับเงื่อนไขที่จำเป็นนั้น ต้องใช้ความพยายามที่สูงมาก เมื่อคำนวณทุกอย่างที่ต้องทำแล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่เต็มใจสละชีวิตแล้วละก็ ไม่มีใครเลือกใช้วิธีการนี้หรอกขอรับ”
“วิธีนี้มีชื่อเรียกว่า โลหิตแดง ใครก็ตามที่ใช้โลหิตแดงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวัน”
ทุกคำที่เยี่ยซาพูดออกมานั้น กระหน่ำลงในจิตใจของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียหันไปมองฮ่องเต้น้อยที่มีสีหน้าว่างเปล่า
เมื่อนับเวลาที่ผ่านไปแล้ว ฮ่องเต้น้อยมีชีวิตเหลืออยู่แค่หนึ่งวันครึ่งเท่านั้น!
นั่นคือผลลัพธ์ที่จวินอู๋เสียไม่มีวันยอมรับได้!
“ข้าจะรับความท้าทายนี้” จวินอู๋เสียกัดฟันพูด
เยี่ยซารู้สึกจนปัญญา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคุณหนูใหญ่ให้ความสำคัญกับฮ่องเต้น้อยมาก แต่พิษของโลหิตแดงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถแก้ไขได้ ถึงความสามารถทางการแพทย์ของคุณหนูใหญ่จะยอดเยี่ยมจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่การแก้พิษโลหิตแดงนั้นอาจเป็นงานที่ยากเกินไป
“เมื่อโลหิตแดงเข้าสู่ร่างกายคนแล้ว พลังชีวิตก็จะถูกสูบออกไปทันที และวิญญาณก็จะถูกเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง การช่วยชีวิตเขานั้น…เป็นเรื่องที่ยากมากขอรับ” เยี่ยซาพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างเงียบๆ
โรคภัยที่เกิดกับร่างกายคนนั้นยังรักษาง่าย แต่วิญญาณที่เสียหายไปนี่สิ แก้ไขยากที่สุดแล้ว ในโลกนี้มีกี่คนกันที่สามารถหาวิธีแก้ไขซ่อมแซมวิญญาณที่เสียหายไปได้
แม้ว่าจะมีของแบบนั้นอยู่ แต่มีกี่คนกันที่แข็งแกร่งอย่างจวินอู๋เย่า ใครกันที่จะสามารถเอามันมาได้
จวินอู๋เสียไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ ความตายของชายหนุ่มคนนั้นเป็นเหมือนเหล็กร้อนที่นาบลงบนหัวใจของนาง เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอับจนหนทาง ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากดูคนคนหนึ่งตายลงต่อหน้าต่อตา
เหตุการณ์เช่นนั้น จวินอู๋เสียไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง และยิ่งไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับฮ่องเต้น้อย
แม้ว่าเยี่ยซาจะบอกว่าไม่มีหวัง แต่จวินอู๋เสียก็ยังอยากจะลองสู้ให้สุดความสามารถ!
นางจับชีพจรของฮ่องเต้น้อยอีกครั้ง และพบว่ามีอาการอวัยวะภายในล้มเหลว แต่มันเกิดขึ้นช้ากว่าที่นางคาดเอาไว้ ดูจากความเร็วที่เกิดขึ้นแล้ว ฮ่องเต้น้อยน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเจ็ดวัน ไม่ใช่วันครึ่ง
การค้นพบนี้ทำให้จวินอู๋เสียโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้นางระมัดระวังมากขึ้น
เมื่อเยี่ยซาเห็นว่าจวินอู๋เสียตั้งใจแน่วแน่มาก เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง