สายลมเย็นเยือกพัดถูกตัวเจียงอันเฉิง เขาถึงได้สติจึงหันไปถามเจียงซื่อด้วยอาการติดๆ ขัดๆ “ซื่อเอ๋อร์ นี่มันเรื่องเข้าใจผิดใช่หรือไม่”
เชี่ยวชาญทั้งการใช้สมองและการใช้กำลังต่อสู้อย่างนั้นหรือ เป็นฟันเฟืองสำคัญของราชสำนักอย่างนั้นหรือ นี่กำลังหมายถึงใครกันแน่
เจียงอันเฉิงงุนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้
เฝิงเหล่าฮูหยินก็ไม่ต่างกัน
เชี่ยวชาญทั้งการใช้สมองและการใช้กำลังต่อสู้อย่างนั้นหรือ เป็นฟันเฟืองสำคัญของราชสำนักอย่างนั้นหรือ นี่คงไม่ได้กำลังหมายถึงบุตรชายคนโตของนางหรอกใช่ไหม…
นายท่านรองเจียงสับสนยิ่งกว่า แต่ความสับสนนั้นเจือไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
เขาทำงานอยู่ในราชการมานมนาน แต่กลับไม่เคยอยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาท แต่พี่ชายไม่เอาไหนของเขากลับได้ดิบได้ดีจนได้รับคำชมว่า ‘เป็นฟันเฟืองสำคัญของราชสำนัก’ อย่างนั้นหรือ
แม้ว่าคำชมนี้จะเป็นเพียงคำสร้อย แต่ที่น่าขันคือเมื่อผ่านไปร้อยปี รุ่นหลานได้รับรู้ราชโองการนี้ก็ไม่อาจทราบว่าตงผิงปั๋วในยุคเริ่มแรกเป็นคนเช่นไร
พี่ใหญ่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในจวนไปวันๆ แต่จู่ๆ วันดีคืนดีก็มีลาภใหญ่หล่นทับ แล้วความพยายามของเขาตลอดชีวิตที่ผ่านมามีความหมายอะไร
ในตอนนั้น นายท่านรองเจียงอยากจะร้องตะโกนด่าฟ้าให้หนำใจ
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม แค่ให้ลูกสาวคนรองของพี่ใหญ่ได้เป็นพระชายาอ๋องก็ว่าแย่แล้ว ยังให้พี่ใหญ่ได้ครองตำแหน่งไปอีกสามชั่วอายุคน!
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!
นายท่านรองเจียงกระวนกระวาย ฝ่ายเฝิงเหล่าฮูหยินถามด้วยความสงสัย “พระชายา เจ้าทราบหรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
เจียงซื่ออยู่ในท่าทีสงบนิ่ง นางชำเลืองตามอง
เฝิงเหล่าฮูหยินถึงได้สติพลางบอก “เข้าไปคุยกันข้างใน”
ทั้งหมดเคลื่อนตัวเข้าไปในเรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินไล่ข้ารับใช้ออกไปจนหมดแล้วจึงหันไปถามเจียงซื่อเป็นครั้งที่สอง “ซื่อเอ๋อร์ สรุปแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “คำถามนี้ท่านย่าไม่ควรถามหลานหรือเปล่าเจ้าคะ พระราชโองการของฮ่องเต้บอกเองไม่ใช่หรือเจ้าคะว่าท่านพ่อเชี่ยวชาญทั้งการใช้สมองและการใช้กำลังต่อสู้ และเป็นฟันเฟืองสำคัญของราชสำนัก…”
“ซื่อเอ๋อร์ ช่วงเวลาแบบนี้เจ้าอย่าเพิ่งพูดเล่น” เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยปราม
เจียงซื่อเลิกคิ้ว “ท่านย่า ท่านย่าคิดว่าท่านพ่อไม่คู่ควรกับคำสรรเสริญนี้หรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินดึงมุมปากพลางชำเลืองมองไปที่เจียงอันเฉิงที่ยังอยู่ในอาการงงงวย
สภาพ… ถ้าจะบอกว่าเหล่าต้าคู่ควรแก่คำสรรเสริญ ผู้ใดจะเชื่อ
เจียงอันเฉิงที่ถูกมองเช่นนั้นหลุดจากภวังค์ เขาขมวดคิ้วพลางถาม “ซื่อเอ๋อร์ มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่”
บุตรชายคนเดียวของเขาไม่อยู่แล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องการสืบทอดตำแหน่งสามรุ่นเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขารู้สึกกลัวมากกว่าคือ เขากลัวว่าสาเหตุที่เขาได้รับการชดเชยเป็นเพราะบุตรสาวของเขาต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง
ฉะนั้นตำแหน่งสามรุ่นที่ได้มา เขาไม่อยากได้มันเลยสักนิด
“ท่านพ่อคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ลูกบอกแล้วว่าฝ่าบาททรงเป็นองค์จักรพรรดิผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา อีกทั้งยังทรงปฏิบัติกับลูกอย่างดี” เจียงซื่อเห็นเจียงอันเฉิงไม่สบายใจจึงพยายามพูดปลอบประโลม
เฝิงเหล่าฮูหยินชะงักงัน นางมองเจียงซื่อด้วยสายตาเหนือความคาดหมาย “ซื่อเอ๋อร์ ฮ่องเต้ทรงดีกับเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”
เจียงซื่อดึงมุมปาก “ท่านย่าคิดว่าหลานพูดจาเพ้อไปเองหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ้มกลบเกลื่อน สายตาที่มองแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน “ย่าก็แค่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง…”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวหัวรั้นของนางจะเข้าตาฝ่าบาท!
เอ๊ะ นี่ฝ่าบาทคงไม่ได้ตาบอดตาสั้นหรอกใช่หรือไม่
เฝิงเหล่าฮูหยินเกิดความคิดในหัว นางพยายามเก็บซ่อนความตื่นตระหนกเอาไว้ ฉะนั้นความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจึงมีเพียงความชื่นชมยินดี
นางกลัวมาตลอดว่าตำแหน่งตงผิงปั๋วจะสิ้นสุดลงที่บุตรชายคนโต แม้กระทั่งยามนอน นางยังฝันว่าจะทำเช่นไรให้ตำแหน่งตงผิงปั๋วดำเนินต่อไปได้ ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าความสามารถของบุตรชายคนโตอยู่ในระดับปานกลาง นางจึงแอบฝากความหวังไว้ที่บุตรชายคนรอง นางหวังว่าบุตรชายคนรองของนางจะมีอนาคตที่ก้าวหน้า และสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ ความฝันของนางจะกลายเป็นจริงฉับพลันทันด่วนเพียงนี้
สายตาของเฝิงเหล่าฮูหยินที่มองไปที่เจียงซื่อรักใคร่เอ็นดูมากกว่าก่อน
หนูสี่พูดถูก มิควรกระวนกระวายเรื่องของอนาคต สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าต่างหากที่เป็นของจริง
หนูสี่เพิ่งจะแต่งงานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ได้ไม่ทันไร จวนปั๋วก็ได้รับอนุญาตให้สืบทอดไปอีกสามชั่วอายุคน หากฝากอนาคตของจวนไว้ที่นาง อีกหน่อยจวนปั๋วจะไม่ไปไกลกว่านี้หรือ
เฝิงเหล่าฮูหยินอดตื่นเต้นไม่ได้
“ท่านย่า ท่านพ่อ ลูกขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินรีบรั้งนางไว้ “พระชายาไม่อยู่ทานอาหารสักหน่อยค่อยกลับเล่า”
“อย่าเลยเจ้าค่ะ อาฮวนไม่เห็นข้านานๆ จะงอแงเอา”
เฝิงเหล่าฮูหยินแย้มยิ้มอารมณ์ดี “เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับไปเถิด อีเอ๋อร์ ไปส่งน้องสาวเจ้าหน่อย”
“อื้ม” เจียงอีตอบรับแผ่วเบาก่อนจะเดินไปส่งเจียงซื่อ
เมื่อเห็นว่าหลานสาวทั้งสองเดินออกไปแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินกลับรู้สึกว่าการให้หลานสาวคนโตกลับมาอยู่ที่จวนก็มิใช่เรื่องแย่ปานนั้น
เมื่อก่อนนางเคยคิดว่าการมีหลานสาวเช่นนี้ ช่างน่าอับอาย แต่จากที่เห็น เจียงซื่อและเจียงอีรักใคร่กลมเกลียวเป็นอย่างดี ตราบใดที่เจียงอียังอยู่ที่จวนปั๋ว เจียงซื่อก็จะไม่มีทางทอดทิ้งจวนปั๋วอย่างแน่นอน
“เฝิงมาหม่า ไปบอกในครัวว่าให้จัดโต๊ะสำหรับเลี้ยงฉลอง” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ไม่จำเป็น”
เฝิงเหล่าฮูหยินชะงักไปในทันใด นางหันไปมองเจียงอันเฉิง
เจียงอันเฉิงลูบหน้าพลางเอ่ยราบเรียบ “ไม่มีอะไรน่าฉลองทั้งนั้น”
ใบหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินหม่นลง “เหล่าต้า นี่คือเรื่องน่ายินดียิ่ง เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
น้ำเสียงของเจียงอันเฉิงเจือไปด้วยความเย็นชา “ให้ตำแหน่งสืบทอดไปอีกสามรุ่นจะมีประโยชน์อันใดในเมื่อจั้นเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหนุ่มอกสามศอกก็ซึมลงทันใด
“ไร้สาระ!” เฝิงเหล่าฮูหยินแผดเสียง แต่เมื่อสำนึกได้ว่าไม่ควรปฏิบัติกับเรือนหลักเช่นนี้ น้ำเสียงของนางก็พลันอ่อนลง “การที่ตำแหน่งจวนปั๋วได้สืบทอดไปอีกสามรุ่นนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก เหตุใดวิสัยทัศน์ของเจ้าถึงได้สั้นเพียงนี้”
จั้นเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว แล้วจะอย่างไร เหล่าต้ายังอายุน้อย หากแต่งงานใหม่จะมีบุตรชายสักคนไม่ได้เลยหรือ
หรือหากเหล่าต้าดึงดันไม่ยอมแต่งงานใหม่ ก็ให้บุตรชายทั้งสองของเหล่าเอ้อร์มารับตำแหน่งต่อก็ยังได้
เพียงแต่เรื่องนี้มิควรเอ่ยขึ้นมาตอนนี้เพราะกลัวว่าเหล่าต้าจะไม่ชอบใจ
เจียงอันเฉิงไม่คัดค้านคำของเหล่าฮูหยิน เขาเพียงแต่ตอบสั้น “ลูกมีธุระที่ต้องไปจัดการ ลูกไม่กินข้าวแล้ว ท่านแม่อยากจะฉลองก็เชิญฉลองเถิด”
เมื่อเห็นว่าเจียงอันเฉิงเดินออกไปแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินจึงหันไปกำชับนายท่านรองเจียง “พี่ชายของเจ้าคงกำลังทุกข์ใจ อีกหน่อยก็ให้พวกชังเอ๋อร์หมั่นเข้าไปทักทายเขาบ่อยๆ”
นายท่านรองเจียงเข้าใจและตอบรับ “ท่านแม่วางใจได้ ลูกเข้าใจดี”
อีกด้านเจียงอีเดินออกมาส่งเจียงซื่อที่ประตู นางพิศมองไปที่ใบหน้างดงามไร้ที่ติของน้องสาวและถามอย่างอดไม่ได้ “น้องสี่ พระชายาฉีอ๋อง…”
เจียงซื่อหันกลับมาตอบแผ่วเบา “นางตั้งใจจะทำร้ายข้า”
เจียงอีสั่นไปทั้งตัวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นร่องลึก
นางล่ะชื่นชมในความกล้าหาญของน้องสี่ยิ่งนัก พระชายาฉีอ๋องไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย!
เจียงซื่อเอ่ยลาเจียงอีกลับจวน เมื่อไปถึงจวนอ๋อง เจียงซื่อก็เข้าไปอุ้มอาฮวนขึ้นมากอดปลอบ อาเฉี่ยววิ่งพรวดเข้ามารายงานด้วยใบหน้าซีดเซียว “นายหญิง ที่ร้านลู่เซิงเซียงเกิดเรื่องแล้วเพคะ”
เจียงซื่อยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อาหมานก็ถูฝ่ามือพลางและถามด้วยน้ำเสียงพิฆาต “เกิดเรื่องอะไร มีผู้ใดกล้ามาก่อเรื่องที่ร้านลู่เซิงเซียงอย่างงั้นรึ”
ไม่น่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ร้านค้าที่ถนนซีซื่อต่างก็รู้ว่าใครเจ้าของที่แท้จริงของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียง จะมีคนกล้ามาก่อเรื่องได้อย่างไร
“เกิดเรื่องอะไรหรือ” เจียงซื่อถามเนิบนาบ
อาเฉี่ยวกระซิบตอบ “ป้าซิ่วหายตัวไปเพคะ”
ป้าซิ่วคือป้าขายเต้าหู้ไซซีที่สูญเสียบุตรสาวจากเหตุสังหารหญิงบริสุทธิ์สิบนาง สามารถพูดได้ว่าการที่เจียงซื่อเปิดร้านลู่เซิงเซียงก็เพื่อสร้างที่พักพิงให้แก่มารดาผู้น่าสงสารคนนี้
ทันทีที่เจียงซื่อได้ยินว่าป้าซิ่วหายตัวไป นางก็ขมวดขมวดคิ้วมุ่นโดยพลัน