บทที่ 624 ขอโทษ

บทที่ 624 ขอโทษ

ถึงอย่างไร ลู่เหยาขวางหน้าหน้ารถม้าของพวกเขาไว้เมื่อครู่

นับว่าลู่เหยาไม่มีความผิดแม้แต่น้อย แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะไม่อาจหยั่งรู้ถึงข้างในของลู่เหยาได้

“เอาละ อย่าคิดมากเลย เรากลับกันเถอะ เชื่อว่าป้าเจี่ยงคงจะร้อนใจแล้ว”

จากนั้นก็ให้คนข้างหน้าบังคับรถม้าต่อไป หลินซือและเจี่ยงเถิงนั่งพูดคุยกันอยู่ในรถม้า โดยไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อไปตลอดทาง

บนรถม้าอีกคัน องค์รัชทายทและลู่เหยาได้แต่สบตากันและกัน

“ขอประทานอภัยฝ่าบาท หม่อมฉันคาดไม่ถึงว่าพี่หลินซือจะโกรธเช่นนี้”

ลู่เหยารู้ว่าหลินซือนิสัยดีมาตลอด จึงไม่เคยเห็นนางโมโหเช่นนี้มาก่อน

หลินซือในวันนี้ทำนางตกใจจริง ๆ แต่เมื่อเห็นองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของตัวเองมีท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะดีหรือจะร้าย ลู่เหยาก็ได้เอ่ยขอโทษอย่างระแวดระวัง นางคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพี่หลินซือจะโกรธฉุนเฉียวกะทันหันเช่นนี้

กระทั่งม้วนแขนเสื้อของตัวเองจนเป็นเกลียว นางไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ

“เจ้ากลัวอะไร? ข้าไม่ได้โทษเจ้าเสียหน่อย” องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของลู่เหยาย่อมเห็นทุกอากัปกิริยาของนางเป็นธรรมดา

บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจจริง ๆ เห็นได้ชัดว่านางมีฐานะเป็นถึงบุตรีในตระกูลขุนนางเหมือนกัน เหตุใดหลินซือจึงได้ใจกว้างและร่าเริง แต่ลู่เหยากลับคอยระแวดระวังเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ตลอดเวลา เหมือนกับกลัวว่าผู้อื่นจะโทษนางก็มิปาน

เหมือนวันนี้ แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้คงโทษลู่เหยาไม่ได้ เป็นเขาเองที่ไม่จัดการให้ดี

ผลลัพธ์กลับทำให้ลู่เหยานำความเข้าใจผิดทั้งหมดมาโยนใส่เขาเอง โดยไม่รู้ว่าไปเลียนแบบมาจากใคร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ได้ยินลู่เหยาขอโทษ องค์รัชทายาทรู้สึกเหมือนมีไฟโทสะลุกโหมอยู่กลางใจ จนกลัวว่าจะทำให้ลู่เหยาที่เหมือนกับลูกแมวบริสุทธิ์ตรงหน้าผู้นี้ตกใจ จึงพยายามกดมันไว้

เยี่ยม เมื่อก่อนเขาแสนดีกับหลินซือแค่คนเดียว ตอนนี้เพิ่มลู่เหยามาอีกคน

แม้ว่าไม่ใช่เหตุผลเหมือนกัน แต่การปฏิบัติที่แตกต่างออกไปของเขาก็พิสูจน์ว่าในใจของเขารู้สึกกับลู่เหยาไม่เหมือนเดิม

“จริงหรือ?”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ลู่เหยาก็เงยหน้าขึ้น ก็ได้สบตาขององค์รัชทายาทที่เพ่งมองเข้ามานัยน์ตาของนางอย่างไม่ทันตั้งตัว พริบตาต่อไป ลู่เหยาก็รีบก้มหน้างุดอีกครั้ง กระทั่งต่ำยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย

“จริงแน่นอน คิดว่าอาซือคงไม่โทษเจ้าเช่นกัน แต่คงเกลียดชังข้ากระมัง ตอนแรกนางก็ปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ข้าชินแล้ว แต่กับเจ้า เกรงว่าจะยังไม่เคยเห็นอาซือโกรธมาก่อน”

“ไม่เคยเพคะ พี่หลินซือในความประทับใจแรกของหม่อมฉันล้วนนิสัยดีมาตลอด ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรยังคงยิ้มได้เสมอ

“คงใช่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต่างกัน อาซือดูท่าทางนิสัยดี อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนั้น แต่เวลาเจอเรื่องที่นางเอาจริงเอาจังขึ้นมาจริง ๆ ใครก็เอานางไม่อยู่”

องค์รัชทายาทนึกถึงช่วงเวลาที่อาซือได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขาในอดีตชาติอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มของอาซือ แต่ก็ได้มีนางโดยสมเหตุสมผล ไฉนเลยจะเหมือนตอนนี้ จะเจอกันทั้งทีก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ

บางทีอาจเพราะในอดีตชาติไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์ ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงพยายามตามตื๊อหลินซือเช่นนี้

“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” เมื่อเห็นองค์รัชทายาทรู้จักนิสัยของหลินซือเป็นอย่างดี ลู่เหยาได้ตัวแข็งทื่อไปแล้ว

พี่หลินซือยอดเยี่ยมและกล้าหาญมากด้วย เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทัดเทียมไม่ได้ ดังนั้นนางจึงคิดหาทางเปลี่ยนตัวเอง แต่สุดท้ายก็เหมือนกลับมาอยู่ที่เดิม

“อื้อ ต่อไปไว้เจ้ากับอาซือสนิทกันมากขึ้นก็คงเข้าใจเอง วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก ในวังยังมีเรื่องต้องจัดการ ข้าต้องกลับก่อน เจ้ากลับคนเดียวไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“ไม่เป็นไรเพคะ ยังมีคนรับใช้ทั้งคน ว่าแต่องค์รัชทายาทเถอะ นี่มันนอกเมือง ฝ่าบาทจะเข้าเมืองอย่างไร?”

“ข้ามีวิธีของตัวเองก็แล้วกัน เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าไปจัดการภารกิจบางอย่างก่อน”

“อื้อ” เดิมทีก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว โดยเฉพาะเป็นองค์รัชทายาท

ลู่เหยามองร่างเงาขององค์รัชทายาทเดินไกลจากตัวเองออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกว่างเปล่าในใจ

ส่วนองค์รัชทายาทครั้นเห็นลู่เหยาที่เดินไกลออกไป จู่ ๆ ข้างกายก็ปรากฏคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง

“เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?” ถ้าลู่เหยาอยู่ด้วยในเวลานี้ เกรงว่าคงพบว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่คนอ่อนแอเหมือนอย่างที่นางคาดคิดไว้ กลิ่นอายรอบตัวแข็งแกร่งยิ่งกว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมายเสียอีก

เพียงไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้คนต้องยอมศิโรราบ

“เตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปกันเถอะ เราต้องการเห็นว่ามันเป็นใคร เหตุใดถึงกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ กล้าทำตัวไม่มีขื่อมีแปในเมืองหลวง คิดว่าขุนนางในราชสำนักล้วนเป็นแค่เครื่องประดับจริง ๆ หรือ?”

กล่าวจบ องค์รัชทายาทก็นำคนชุดดำกลุ่มนั้นตรงไปยังเขตชานเมืองแห่งหนึ่ง

ไม่นาน เจี่ยงเถิงและหลินซือก็มาถึงจวนหลิน คนในตระกูลหลินต่างออกมารอข้างนอก ครั้นเห็นรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา ความหวังบนใบหน้าก็ฉายชัดขึ้น

หลังจากรถม้าหยุดลง หลินซือก็ประคองเจี่ยงเถิงลงจากรถ ส่วนเหยาซู หลินจื้อ และคนอื่นได้รออยู่นานแล้ว

“ท่านแม่ ท่านพี่ พี่ไป๋ข้าคิดถึงพวกท่านที่สุดเลย!” กล่าวจบ หลินซือก็โผเข้ากอดเหยาซูไม่ยอมปล่อย เหยาซูคลี่ยิ้ม ต่อให้ลูกสาวจะโตแค่ไหนก็ยังเป็นลูกสาวของตัวเองเสมอ

ความสามารถในการออดอ้อนนี้ไม่ได้ต่างไปจากนางเลยแม้แต่น้อย ส่วนไป๋หรูปิงก็ได้แต่มองด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างกายหลินจื้อ

พวกนางเข้าใจนิสัยของเอ้อเป่าดี ดูท่าครานี้จะคิดถึงพวกเขาจริง ๆ

“เอาละ โต ๆ กันแล้ว ยังจะออดอ้อนอีก” เหยาซูก่ล่าวพลางตบแผ่นหลังของหลินซืออย่างแผ่วเบา นางปลอบใจอย่างเบา ๆ จากนั้นก็มองพิจารณาหลินซือตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ

“ข้าอยากจะเขกหัวเจ้าจริง ๆ เอ้อเป่าออกไปรอบหนึ่งดูเหมือนจะไม่ซูบผอมลงเลย ตรงกันข้ามกลับอ้วนขึ้นเล็กน้อย สาเหตุเป็นเพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากอาเจี่ยงแน่นอน แต่ก็หมองคล้ำขึ้นเล็กน้อย”

เหยาซูเอ่ยหยอกเย้า ทำให้หลินซืออดเขินอายไม่ได้ นางก็แค่ตัวสูงขึ้นอ้วนตรงไหนกัน

“สำหรับข้า เอ้อเป่าคงจะเบิกบานใจมาก ออกไปเสียตั้งนาน แม้แต่จดหมายก็ยังไม่เคยเขียนมาสักฉบับเดียว คงไม่ใช่เพราะลืมคนที่บ้านอย่างเราไปหมดเกลี้ยงแล้วกระมัง?”

หลินจื้อเย้ยหยันอยู่ข้างกาย เขาเฝ้าดูแลน้องสาวคนนี้มาจนเติบใหญ่ และมีแค่คำพูดของเจี่ยงเถิงเท่านั้น นางถึงจะเชื่อฟัง บางครั้งต้องบอกว่า ขออย่างหนึ่งต้องพิชิตอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

“พี่ใหญ่ พี่ดีแต่เยาะเย้ยข้า พี่ไป๋ยังไม่สนใจเขาอีก!” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินจื้อ หลินซืออายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีทีเดียว ความจริงแล้วนางก็เคยคิด แต่สุดท้ายก็ลืมไป

“พี่ไป๋ของเจ้าเป็นคนของข้า เจ้าว่านางจะช่วยเจ้าหรือช่วยข้าล่ะ?” หลินจื้อพูดพลางโอบไป๋หรูปิงเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง นัยน์ตาฉายแววลำพองใจอย่างชัดเจน

“ข้าช่วยเอ้อเป่าแน่นอน ทำไมต้องช่วยเจ้า” ไป๋หรูปิงผลักหลินจื้อเบา ๆ ถึงเนื้อถึงตัวต่อหน้าทุกคนทำให้นางรู้สึกอายเล็กน้อย แต่กระนั้นมันก็ค่อย ๆ คุ้นชิน อีกทั้งนางก็ไม่ได้ต่อต้านการเข้าใกล้ของหลินจื้อแต่อย่างใด

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

องค์รัชทายาทเหมาะกับคำว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลกเสียจริง ๆ เลย

ไหหม่า(海馬)