บทที่ 625 ฮูหยินอย่าอารมณ์เสียสิ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 625 ฮูหยินอย่าอารมณ์เสียสิ

บทที่ 625 ฮูหยินอย่าอารมณ์เสียสิ

“หึ พี่ไป๋แสนดียิ่งนัก พี่ใหญ่พี่ไป๋ของพี่ก็ยังไม่ทำร้ายข้า”

“เอาละ กลับมาครานี้คงจะเหนื่อยกันมาก ในจวนได้เตรียมอาหารรอพวกเจ้าแล้ว” เหยาซูเอ่ยกล่าวพลางเดินเข้าไป ต้องการให้พวกเขาได้ดื่มเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข

“ท่านอาซู ข้ายังต้องเข้าวังไปกราบทูลรายงานองค์จักรพรรดิ คงจะไม่ได้เข้าไป ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาส่งอาซือให้ถึงมือพวกท่านอย่างปลอดภัย นับว่าข้าปฏิบัติภารกิจได้อย่างสมบูรณ์แล้วขอรับ”

เจี่ยงเถิงเองก็อยากเข้าไปทานข้าวกับพวกเขา แต่เรื่องในมือยังต้องปฏิบัติให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

“ก็ได้ เช่นนั้นเมื่อเจ้าเข้าวังแล้วก็รีบกลับจวนล่ะ มารดาของเจ้าก็คงทำอาหารรอเจ้าแล้วกระมัง ถ้ามีเวลาก็มาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อย ๆ อาซือชอบเจ้ามาก”

“อื้อ แน่นอนขอรับ ท่านอาซูวางใจ”

“งั้นก็ดี ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย ช่วงนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนัก” แม้ว่าเหยาซูจะกล่าวเพียงประโยคสั้น ๆ แต่จากประสบการณ์หลายปีในฐานะขุนนางของเจี่ยงเถิง ย่อมสัมผัสได้ถึงความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน

“เข้าใจแล้ว ข้าขอตัว อาซือ เจ้าเหนื่อยล้ามาตลอดทาง พักผ่อนมาก ๆ ล่ะ ไว้ข้ามีเวลาค่อยมาหาเจ้า”

“อื้อ ลาก่อนพี่อาเถิง” เมื่อส่งเจี่ยงเถิงแล้ว ทุกคนในตระกูลหลินก็เข้าไปในจวน

เหยาซูให้หลินจื้อและไป๋หรูปิงไปดูอาหารว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว ส่วนเหยาซูก็นั่งพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับอาซือ

บางอย่าง หลินจื้อในฐานพี่ใหญ่ไม่ควรถาม แต่นางต้องถามให้ชัดเจน ในตอนที่จดหมายของเจี่ยงเถิงถูกส่งมาที่นี่ จิตใจของนางก็เริ่มหวั่นไหว คนเหล่านั้นล้วนแต่ไม่รักชีวิตตัวเอง อาซือต้องตกอยู่ในเงื้อมมือคนพวกนั้นไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง?

แต่วันนี้เมื่อเห็นเอ้อเป่ายืนอยู่หน้าตัวเองอย่างปลอดภัย นางจึงวางใจ

เหยาซูลากหลินซือเข้ามาในห้องของตัวเอง เตรียมถามคำถามนาง ว่าตลอดการเดินทางรู้สึกอย่างไรบ้าง

“เอ้อเป่า ตลอดการเดินทางเจ้ารู้สึกอย่างไรกับเจี่ยงเถิงบ้าง?”

“ดีมาก พี่อาเถิงดูแลข้าเป็นพิเศษ เขามักจะตามใจข้าเสมอ แต่ตลอดการเดินทางนี้ พี่อาเถิงมักบอกกับข้าว่าต้องไปปฏิบัติภารกิจ แต่เขาก็ยังพาข้าไปเที่ยวเล่นตามภูเขาและแม่น้ำได้ทุกวัน ตกดึกก็พักผ่อน ข้ายังไม่เห็นว่าพี่อาเถิงจะออกไปปฏิบัติภารกิจอย่างไร”

“อาเถิงดูแลเจ้าอย่างดีข้าก็วางใจ แต่ตลอดทางที่เจ้าติดตามอาเถิง คงเจอกับช่วงที่อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยสินะ?”

“ข้าไม่ขอปิดบังท่านแม่ เป็นเช่นนี้จริง ๆ ตลอดทางของเราต้องเจอกับพวกโจรป่าไม่น้อย แต่พี่อาเถิงคอยปกป้องข้าอย่างดีเสมอ วางแผนได้อย่างละเอียดรอบคอบ ท่านก็เห็นว่าลูกไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด” ขณะพูด หลินซือก็หมุนตัวหนึ่งรอบ ให้เหยาซูเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“เช่นนั้นเจ้าก็รู้สึกดีกับอาเถิงสินะ?”

“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“ก็ต่อไป หากพี่อาเถิงของเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็คงเป็นห่วงเขาใช่หรือไม่?”

ครั้นเห็นว่าลูกสาวของตัวเองยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เหยาซูคงใช้คำพูดของตัวเองมาอธิบายให้เข้าใจไม่ได้

“แน่นอนเจ้าค่ะ แต่พี่อาเถิงบอกว่าเรื่องนี้เดิมทีก็อันตรายมากอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ทำคนอื่นก็ต้องทำ พี่อาเถิงฉลาดเพียงนี้ ประสบกับอันตรายมาหลายคราแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น จะไม่อันตรายยิ่งกว่าเดิมหรือ?”

“ดูท่าเจ้าคงจะคิดได้แล้ว อาเถิงได้บอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าอย่างชัดเจน”

“ท่านแม่ พี่อาเถิงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับข้า ข้าคิดของข้าเอง ตลอดการเดินทาง ข้าได้เห็นชาวบ้านพลัดถิ่นไร้ที่พึ่งพิงไม่น้อย เลยคิดจะเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ที่นั่น แต่พี่อาเถิงได้บอกกับข้าว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ให้ข้าคิดดี ๆ ค่อยตัดสินใจ”

“อาเถิงทำถูกต้องแล้ว” เหยาซูเองก็คาดไม่ถึง อาเถิงไม่เพียงแต่รักเอ้อเป่าแล้ว ยังปลูกฝังหลายสิ่งหลายอย่างให้เอ้อเป่าโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย “สถานที่ที่พวกเจ้าไป พ่อกับแม่เคยไปมาก่อน แม่ก็เคยมีความคิดเดียวกับเจ้า สุดท้ายก็ยังไร้ข้อสรุป เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใด?”

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?” หลินซือไม่รู้ว่ายังมีเรื่องแบบนี้ จึงยิ่งแสดงความสนอกสนใจต่อคำพูดของมารดา

“ความจริงแล้วการเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคนที่เจ้าช่วยล้วนเป็นคนดีก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ถ้ามีใครคนหนึ่งเกิดมีจิตใจชั่วช้าขึ้นมา ก็อาจจะทำให้เรือนพักพิงเกิดความวุ่นวายขึ้น ในเมืองหลวง ยังมีทหารคอยช่วยรักษาความสงบ รักษาความมั่นคงให้กับเรือนพักพิง แต่ถ้าเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลเช่นนั้น ชาวบ้านที่ลำบากก็มีมากโข ทหารก็น้อยนัก แม้ว่าเจ้าจะทุ่มเทเปิดเรือนพักพิง แต่กลับไม่รับประกันว่าชาวบ้านทุกข์ยากเหล่านั้นจะได้รับการช่วยเหลือจริง ๆ ข้าพูดขนาดนี้ เจ้าคงจะเข้าใจ?”

“ความหมายของท่านแม่ก็คือ?”

“เรื่องนี้ยังมีปัญหาอีกหลายจุด เจ้าค่อย ๆ คิดไตร่ตรอง คงคิดอย่างละเอียด ถ้าเจ้าไม่มีทหารเป็นตัวช่วยสนับสนุน เรือนพักพิงของเจ้าจะเกิดอันธพาลขึ้นไม่มากก็น้อย”

แม้ว่าเหยาซูจะพูดไม่มาก แต่ทุกประโยคล้วนตรงประเด็น เมื่อก่อนหลินซือไม่เคยอยากถามคำถามเหล่านี้ แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งที่มารดากล่าวล้วนแต่เป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง

นางไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ จนกว่าจะหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”

“อื้อ เรื่องที่เจ้าทำแม่ไม่ขวางเจ้า แต่อยากให้เจ้าคิดไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน สำหรับเรื่องอื่น เจ้าทำมันได้ดี เอาละ สายมากแล้ว เราออกไปกินข้าวกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

ได้ฟังคำบอกเล่าดีกว่าอ่านหนังสือเป็นสิบปี หลินซือรู้สึกว่ามารดาของตนคือคนที่เก่งที่สุดในใต้หล้า เรื่องที่ยากลำบากนางก็ทำได้ ตัวเองจะไม่ทำให้มารดาเสียหน้าเด็ดขาด

เหยาซูและหลินซือค่อย ๆ เดินไปยังห้องโถง หลินเหรา หลินจื้อ และไป๋หรูปิงรออยู่ก่อนแล้ว

“พวกเจ้าสองแม่ลูกแอบคุยอะไรกัน ให้เรารอเสียตั้งนาน” หลินเหราไม่ค่อยได้อยู่กินข้าวที่บ้านนัก ครั้นเห็นสองแม่ลูกมีความสุข ก็อดหยอกล้อไม่ได้

“ทำไม ถ้าเจ้าไม่พอใจจะรอหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า เหตุใดต้องพูดแบบนี้ด้วยเล่า”

“เอาละ เป็นความผิดของข้าเอง ฮูหยินอย่าอารมณ์เสียสิ” เมื่อเห็นท่าทีของบิดามารดาของตัวเอง หลินจื้อและหลินซือก็ได้แต่ยิ้มให้กัน

เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ ต่อหน้ามารดา ทหารทุกคนล้วนไม่อยู่กับที่มีแต่สามีที่รักภรรยาเท่านั้น

ไป๋หรูปิงเห็นการเคลื่อนไหวของหลินเหราและเหยาซู ก็อดมองหลินจื้อไม่ได้ ใครเล่าจะคิดว่าหลินจื้อก็จะมองนางเช่นกัน ทั้งสองคนจึงยิ้มให้กัน