บทที่ 676 หมู่บ้านประหลาด

ในตอนที่ตะวันขึ้นจากขอบฟ้า สาดแสงส่องลงมาที่ภูเขาสูงตระหง่านมีสายน้ำทอดยาวขนานไปกับเทือกเขา บริเวณพื้นที่อยู่ระหว่างภูเขากับแม่น้ำมีบ้านไม้สีแดงกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ที่นี่คือหมู่บ้านอาวา

วันนี้เป็นอากาศดี ธัญพืชแห้งวางอยู่เต็มลานบ้านทุกหลังแสดงให้เห็นถึงว่าฤดูการเก็ยเกี่ยวเป็นไปอย่างดี

บ้านไม้สามชั้นใกล้บริเวณตีนเขามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งหมิ่นเหม่บนเตียง เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ผมของเขาถูกรวบขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่มีแต่รอยแผลบนหน้าผาก แม้ภาพลักษณ์ในตอนนี้จะดูเรียบง่ายแต่สัมผัสได้ถึงความสูงส่งของเขา ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากจ้าวจิ่งซวน

จ้าวจิ่งซวนอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วเขาถูกโจรตามล่า องครักษ์ของเขาพยายามปกป้องเขา แต่พวกมันกัดเขาไม่ปล่อยเหมือนสุนัข

องครักษ์ต่างล้มลงทีละคน สุดท้ายแล้วก็เหลือองครักษ์เพียงคนเดียวเท่านั้น ภายใต้การไล่ล่าที่ดุเดือด เขาจึงต้องกระโดดลงแม่น้ำไปพร้อมกัน ทักษะการว่ายน้ำของจ้าวจิ่งซวนอยู่ในระดับกลางๆ แต่องครักษ์ของเขาว่ายน้ำเก่ง ทำให้พวกเขารอดมาได้ น้ำในแม่น้ำในฤดูหนาวเย็นจัด จนทำให้จ้าวจิ่งซวนหมดสติไป

เขาถูกช่วยขึ้นมาบนแพไม้ไผ่ตอนที่ตกจากน้ำตก จ้าวจิ่งซวนไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายมากจนเขาแทบไม่มีเวลาที่จะคิดกลัวแต่อย่างใด

จ้าวจิ่งซวนฟื้นคืนสติขึ้นมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขานอนอยู่บนเตียงมีผ้าห่มและเตาร้อนอยู่ในนั้น ร่างกายเขาอบอุ่นมาก

ในตอนที่เขาเริ่มรู้สึกตัว จ้าวจิ่งซวนขยับร่างกายไม่ได้เลย เขากลัวมาก เขาเกือบตายทั้งที่ยังไม่ได้เจอท่านแม่ ท่านพ่อ สวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออั๋ง ถังหลี่ หรือแม้กระทั่งแม่ทัพน้อยของเขา

แต่เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด ไม่ช้าเขาก็กลับมาร่าเริงอีกครั้งหลังจากที่จมอยู่กับความหวาดกลัวมานาน

จ้าวจิ่งซวนอ่านหนังสือนิยายมามากมาย ในหนังสือพวกนั้นหลังจากที่ตัวเอกตกจากหน้าผามักจะต้องมีการผจญภัยมากมายหรือพบชายชราในบริเวณเชิงผา

ผู้อาวุโสจะต้องสอนวิชาบางอย่างให้แก่เขา จ้าวจิ่งซวนจะเข้าไปในถ้ำแล้วหยิบของวิเศษบางอย่างออกมา ทำให้เขาควบคุมลมและฝนได้ ไม่ช้าเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากสาวงามและเกิดเรื่องราวดีๆ ต่อจากนั้น

จ้าวจิ่งซวนนอนอยู่บนเตียง แน่นอนว่าการได้พบกับผู้อาวุโสที่เชิงผาคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เหลือแค่ความหวังเพียงอย่างเดียวนั่นคือ สาวงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ หากสาวงามผู้นั้นต้องการร่างกายของเขาเป็นการตอบแทน เขาควรมอบร่างกายของเขาให้นางจะดีหรือไม่? ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูได้เปิดออก เขาเห็นชายหนุ่มท่าทางแข็งแรงผู้หนึ่งยืนขวางประตูเอาไว้ เขาอ้าปากค้าง ได้ยินเหมือนเสียงจินตนาการในหัวจะแตกดังเพล้ง!

“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?” จ้าวจิ่งซวนถาม เขาตระหนักได้ถึงเสียงที่แหบแห้งของตนเอง

“ข้าชื่ออามู่” สำเนียงของเขาค่อนข้างแปลกดูแข็งกระด้าง โชคดีที่จ้าวจิ่งซวนฟังเข้าใจ

อามู่เดินไปหาจ้าวจิ่งซวน เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนมากขึ้นก็พบว่า อามู่สูงใหญ่หน้าตาดุร้าย เขาเดินเข้ามาใกล้ทำให้จ้าวจิ่งซวนรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลง

“จะบังคับให้ข้าตอบแทนด้วยร่างกายหรือ?”

“ข้าจะไม่ยอมตอบแทนด้วยร่างกายอย่างเด็ดขาด”

อามู่ ?????

อามู่ยื่นถ้วยน้ำไปให้จ้าวจิ่งซวน เขามองแก้วน้ำใบหน้าแดงขึ้น

“ขอบคุณ”

เมื่อครู่นี้เขาคิดบ้าอะไรอยู่นะ?

สงสัยตอนที่ตกจากหน้าผาหัวของข้าคงถูกกระทบกระเทือนมากเป็นแน่ ข้าอยากจะกำจัดหัวไม่เอาไหนทิ้งเสียเหลือเกิน หวังว่าผู้ที่ช่วยชีวิตเขาอย่างอามู่จะลืมเรื่องเมื่อกี้ไป

“สัญญาด้วยร่างกายคืออะไร?” อามู่ถาม

จ้าวจิ่งซวนหลับตา

อ่า..ข้าตายดีกว่า

หลังจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่จ้าวจิ่งซวนพบว่าขาของเขาเจ็บมาก อามู่บอกว่าขาของเขาได้รับบาดเจ็บ ที่ร่างกายของเขามีบาดแผลมากมาย แต่ว่าบาดแผลที่ขาสาหัสที่สุด

อามู่พันผ้าพันแผลให้แก่เขา เล่าให้ฟังว่าที่นี่คือหมู่บ้านอาวา ในตอนที่อามู่กำลังทำความสะอาดเหยื่อที่จับได้ เขาก็เห็นคนลอยน้ำมา

หมู่บ้านอาวาแยกออกมาจากโลกภายนอกและรังเกียจคนจากภายนอกมาก เมื่อเขาเห็นว่ามีคนภายนอกพลัดหลงเข้ามาเขาจึงไม่กล้าให้พ่อหมอประจำหมู่บ้านได้พบเจอ เขาจึงให้ยาลดไข้ธรรมดา จ้างจิ่งซวนเกือบตายด้วยพิษไข้แต่ก็ยังรอดมาได้ คางของจ้าวจิ่งซวนเชิดขึ้น แน่นอน! เขาเป็นคนดวงดี!

อามู่เหลือบมองจ้าวจิ่งซวน เมื่อเขารู้สึกถูกจ้องมากๆ เข้า จ้าวจิ่งซวนก็หดศีรษะลง

เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกของเขาที่มีต่ออามู่ค่อนข้างซับซ้อน อามู่ช่วยเขาไว้ เขาคือผู้มีพระคุณของจ้าวจิ่งซวน ทั้งๆที่หมู่บ้านนี้ไม่ต้อนรับคนภายนอกแต่อามู่ก็ยังช่วยเขาไว้และยังซ่อนตัวจ้าวจิ่งซวนจากคนในหมู่บ้านอีก

อย่างไรก็ตามอามู่ดูดุร้ายมาก คำพูดที่ดูไม่ใส่ใจของเขาก็ดุดันราวกับว่าเขาโกรธใครอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่จ้าวจิ่งซวนเป็นคนใจกว้างและหน้าหนา ในไม่ช้าเขาก็คุ้นเคยกับท่าทางแบบนั้นของอามู่ ถึงขนาดที่ว่าเขาเรียกอามู่ว่าน้องชาย หากเขาไม่บาดเจ็บก็อากจะเอามือโอบไหล่อามู่เอาไว้สักหน่อย

“น้องชายข้าจะจดจำบุญคุณของเจ้าในครั้งนี้เอาไว้ พี่ชายจะตอบแทนเจ้าแน่นอน” อามู่ไม่ค่อยว่าง หลังจากพูดคุยไม่กี่คำ เขาก็ออกไปทำงานต่อ จ้าวจิ่งซวนไม่สามารถขยับขาของตัวเองได้ เขาจึงได้นอนบนเตียงทำให้รู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย

แน่นอนว่าเรื่องเล่าจากในนิทานล้วนโกหก ไม่มีผู้อาวุโส ไม่มีสมบัติวิเศษ ไม่มีสาวงาม…

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอันไพเราะดังมาจากด้านนอก จ้าวจิ่งซวนพยายามลุกมองออกไปดูที่หน้าต่าง เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา นางใส่เสื้อผ้าดูแปลกตา ท่าทางร่าเริง หญิงสาวโพกผ้าไว้บนศีรษะผมสีดำสนิทของนางปลิวไปตามสายลมราวกับผีเสื้อกระพือปีก จ้าวจิ่งซวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีจ้าวจิ่งซวนก็จะไม่มีวันลืม

ในช่วงเวลาสิบห้าวันที่ผ่านมา จ้าวจิ่งซวนได้รู้ว่านางคืออาฮวาเป็นน้องสาวของอามู่ อามู่เป็นคนขยันส่วนอาฮวามีความสามารถ ทั้งสองพี่น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้อามู่จะดูหน้าตาดุดันแต่เขาไม่ดุเลย

เขามีสีหน้าเดียวตลอดไม่ว่าจะสุข เศร้าโกรธ หรือสงสัย

(i︿i)

จ้าวจิ่งซวนรู้สึกสนุกที่จะได้จับตาคอยสังเกตหน้าตาของอามู่

สิบห้าวันต่อมาอาการบาดเจ็บที่ขาของจ้าวจิ่งซวนก็หายดี เขาสามารถเดินได้แม้จะมีอาการกะเผลกอยู่บ้าง

จ้าวจิ่งซวนยืนมองอาฮวาที่ถือขวานกำลังผ่าฟืนอยู่ในสวน หญิงสาวร่างผอมบางเช่นนี้ถือขวานด้ามใหญ่รวมทั้งกองไม้ที่รอให้นางผ่า เขารู้สึกสงสารจึงเดินลงมาจากห้องใต้หลังคา

“อาฮวา ข้าช่วยเจ้าเอง” จ้าวจิ่งซวนมีท่าทางขยันขันแข็ง

อาฮวาเหลือบมองอีกด้วยความเขินอายเมื่อเห็นเขายืนกรานนางจึงยื่นขวานให้ จ้าวจิ่งซวนต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงความเป็นลูกผู้ชายของตน เขายื่นมือออกไปรับขวาน