ตอนที่ 1241 แบบไหนถึงเรียกว่าใช้อำนาจกลั่นแกล้ง (2) / ตอนที่ 1242 แบบไหนถึงเรียกว่าใช้อำนาจกลั่นแกล้ง (3)
ตอนที่ 1241 แบบไหนถึงเรียกว่าใช้อำนาจกลั่นแกล้ง (2)
รัฐจิ้วนั้นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่ารัฐเหยียน!
จวินอู๋เสียไม่รังเกียจที่จะใช้ชื่อฮ่องเต้รัฐเหยียนของนางไปสั่งสอนฮ่องเต้รัฐจิ้วถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า…การรังแกคนอ่อนแอ!
“แต่คนจากตำหนักมังกรสวรรค์อยู่ในรัฐจิ้วนะ” ฮวาเหยาเตือนอย่างรอบคอบ
ถ้าพิจารณาจากความยิ่งใหญ่ของรัฐเพียงอย่างเดียว รัฐจิ้วย่อมเทียบกับรัฐเหยียนไม่ได้ แต่ถ้าพวกเขามีสิบสองตำหนักหนุนหลังอยู่ มันก็ไม่แน่แล้ว
“รัฐจิ้วมีตำหนักมังกรสวรรค์ แล้วรัฐเหยียนจะไม่มีตำหนักอื่นหนุนหลังหรืออย่างไร” จวินอู๋เสียพูดพร้อมกับยิ้มเย็น
คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้ทุกคนชะงักไป
ฟ่านจัวจ้องจวินอู๋เสียอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“น้องเสียพูดมีเหตุผล เจ็ดตำหนักในสิบสองตำหนักถือครองชิ้นส่วนแผนที่ที่นำไปสู่สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ พวกเขาต่างระมัดระวังและระแวงกันเองอยู่ ย่อมไม่เปิดเผยข้อมูลหรือแผนการของตัวเองกับตำหนักอื่นๆ แน่ ตำหนักมังกรสวรรค์มาหารัฐจิ้วเพื่อใช้พวกเขาเป็นแพะรับบาปแล้ว ทำไมตำหนักอื่นๆ จะไม่ทำแบบเดียวกัน” รัฐจิ้วเมื่อเทียบกับรัฐเหยียนแล้วด้อยกว่ามาก ดังนั้นคนจากตำหนักมังกรสวรรค์ย่อมไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ารัฐเหยียนไม่มีการสนับสนุนจากตำหนักอื่นๆ
สิบสองตำหนักล้วนต่อต้านกันเองอยู่ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่กล้าลงมือชัดเจนเกินไป ตราบใดที่พวกเขาทำให้คนจากตำหนักมังกรสวรรค์คิดว่ารัฐเหยียนมีตำหนักอื่นหนุนหลังอยู่ คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าทำเรื่องราวใหญ่โตกับรัฐเหยียนเพื่อรัฐจิ้วหรอก
ยิ่งกว่านั้น รัฐเหยียนก็เคยติดต่อกับสิบสองตำหนักจริงๆ จึงแสดงละครได้ไม่ยากเกินไปนัก
“น้องเสียตั้งใจจะให้คนจากตำหนักมังกรสวรรค์ละเว้นหนูเพราะกลัวทำแจกันแตกอย่างนั้นหรือ” ฮวาเหยาถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
จวินอู๋เสียพยักหน้า
เมื่อทั้งสองรัฐต่างก็มีสิบสองตำหนักอยู่เบื้องหลัง พวกเขาก็ต้องสู้กันด้วยกำลังของตัวเองเท่านั้น
และรัฐจิ้วเมื่อเผชิญหน้ากับรัฐเหยียน จะยังกล้าผยองพองขนอยู่อีกหรือ
“จะทำให้คนจากตำหนักมังกรสวรรค์เกรงกลัวได้ เราจะต้องแสดงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งมากพอ พวกเราแกล้งทำเป็นคนของหนึ่งในสิบสองตำหนักได้อยู่หรอก แต่ข้ากลัวว่าความแข็งแกร่งจะยังไม่มากพอ” ฟ่านจัวให้เหตุผลพลางลูบคาง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่นับว่าเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริง
“เยี่ยซา” จวินอู๋เสียเรียกพร้อมกับหรี่ตา
ร่างของเยี่ยซาปรากฏตัวขึ้นข้างๆ จวินอู๋เสียทันที
“คุณหนูใหญ่มีคำสั่งอะไรขอรับ”
“เจ้าสามารถปลอมตัวเป็นคนจากสิบสองตำหนักได้หรือเปล่า” จวินอู๋เสียถาม นางไม่เคยเห็นเยี่ยซาใช้พลังวิญญาณเลย
เยี่ยซาตอบว่า “ถึงข้าน้อยจะไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่ถ้าคุณหนูใหญ่ต้องการ ข้าก็สามารถแปลงพลังของข้าให้เป็นพลังวิญญาณได้ขอรับ” พร้อมกับพูด เยี่ยซาก็ปล่อยพลังของเขาออกมา และเปลี่ยนหมอกสีดำที่ปกคลุมรอบตัวเขาให้เป็นแสงของพลังวิญญาณขั้นสีม่วงทันที ความบริสุทธิ์ของมันทำให้เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ ตกตะลึง!
แม้แต่ในกลุ่มผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วง พลังวิญญาณนี้ก็นับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด!
“ดี” จวินอู๋เสียพยักหน้าอย่างพอใจ
“พรุ่งนี้ส่งสารไปให้ฮ่องเต้รัฐจิ้ว บอกว่า จวินเสีย ฮ่องเต้รัฐเหยียนจะไปหา!” จวินอู๋เสียพูดอย่างเย็นชา
ครั้งนี้นางต้องการทวงความยุติธรรมให้กับทหารรัฐชีที่ตายไป ทหารของกองทัพรุ่ยหลินที่สู้จนตัวตายเพื่อจวนหลินอ๋อง และฮ่องเต้น้อยของรัฐเฉียว! นางต้องการเหยียบย่ำฮ่องเต้รัฐจิ้วไว้ใต้ฝ่าเท้าต่อหน้าฝูงชน ฉีกหน้าที่น่าเกลียดนั่นให้เป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างไร้ความปรานี
……
ในวังหลวงรัฐจิ้ว ฮ่องเต้ของรัฐจิ้วมีสีหน้าเกรี้ยวกราดดุร้าย เขามองทหารที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่โกรธจัด
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง! ยังจับคนร้ายไม่ได้อีกเรอะ”
ไม่นานมานี้ ลานแห่งนั้นถูกโจมตีและมีคนตายเป็นจำนวนมาก เขาสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
มีคนมาก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ในเมืองหลวง ถึงขั้นเอาตัวฮ่องเต้น้อยรัฐเฉียวไป นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาดีๆ นี่เอง เขารู้สึกเสียหน้ามาก ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้รัฐจิ้วก็รับเรื่องนี้ไม่ได้!
ทหารที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพูดเสียงสั่นว่า “ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะต้องหาคนพวกนั้นเจอแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนที่ 1242 แบบไหนถึงเรียกว่าใช้อำนาจกลั่นแกล้ง (3)
ฮ่องเต้รัฐจิ้วด่าหยาบคายไปอีกชุดใหญ่ด้วยความโกรธ สีหน้าเกรี้ยวกราดดุร้ายอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้พวกโง่ ไร้ความสามารถ! ปล่อยให้คนหนีไปได้ทั้งกลุ่มต่อหน้าต่อตา แค่คนเดียวก็หยุดเอาไว้ไม่ได้!”
ทหารคนนั้นไม่กล้าพูดอะไรสักคำ และรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ พวกเขาอยากหยุดคนพวกนั้นจริงๆ แต่ผู้เยาว์พวกนั้นเก่งกาจเกินไป! ทุกคนมีพลังวิญญาณขั้นสีม่วง ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาจะไปสู้เด็กพวกนั้นได้อย่างไร
ถ้าไม่ใช่เพราะคนร้ายพวกนั้นไม่ได้อยากต่อสู้ยืดเยื้อ แค่ทหารที่มีอยู่ในเมือง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะจับพวกเขาสักคนสองคนเลย โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกกวาดล้างทั้งกองทัพ
ทหารคนนั้นไม่สามารถเอ่ยถึงความยากลำบากที่เขาต้องเจอออกมาได้ ได้แต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ฮ่องเต้รัฐจิ้วโกรธมาก รัฐจิ้วใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นมาตลอด แต่กลับมีใครบางคนกล้าก่อเรื่องขึ้นในเมืองหลวงของเขาเอง แล้วเขาที่เป็นผู้ครองรัฐจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“สวะทั้งนั้น! ไสหัวออกไป! ถ้ายังจัดการอะไรไม่ได้ละก็ เจ้าคงรู้นะว่าจะเป็นอย่างไร!”
ทหารคนนั้นตัวสั่น เขาถอยออกไปจากท้องพระโรงทันที
หลังจากเขาออกไปแล้ว บุรุษหลังค่อมผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในท้องพระโรง
ฮ่องเต้รัฐจิ้วยังโกรธจัดอยู่ แต่เมื่อเห็นชายชรา เขาก็รีบเดินลงจากบัลลังก์เข้าไปหาทันที และกล่าวทักทายด้วยความเคารพว่า “ผู้อาวุโสหวง!”
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย เขาคือคนเดียวกับชายชราที่ไปยังลานแห่งนั้นพร้อมกับฮ่องเต้รัฐจิ้วในวันนั้น
“ยังไม่ได้เรื่องอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสหวงถาม
ใบหน้าของฮ่องเต้รัฐจิ้วแข็งทื่อ เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า “ก็เพราะไอ้พวกนั้นมันไม่ได้เรื่อง ใช้การอะไรไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังหาร่องรอยอะไรไม่ได้เลย แต่ผู้อาวุโสหวงโปรดวางใจ ข้าจะจับคนร้ายได้แน่! พวกมันบังอาจสร้างเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ขึ้นในเมืองหลวงรัฐจิ้ว และยังเอาตัวฮ่องเต้น้อยรัฐเฉียวไปอีก ข้าไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!”
ผู้อาวุโสหวงชำเลืองมองฮ่องเต้รัฐจิ้วแล้วพูดว่า “สามารถโจมตีตรงๆ เข้าไปในลานนั้นได้ ฆ่าทหารของเจ้าไปเป็นพันคน และช่วยฮ่องเต้รัฐเฉียวก่อนจะหลบหนีไปจากที่นั่นได้แบบครบสามสิบสอง คนพวกนั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ข้าได้ยินว่าพวกนั้นมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติสองตัวด้วย เรื่องนี้ข้าว่าไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ เลย…”
ฮ่องเต้รัฐจิ้วชะงักไปเล็กน้อย เขาก็ได้ยินเรื่องนั้นเหมือนกัน ในวันที่ฮ่องเต้รัฐเฉียวถูกพาตัวไป มีคนมาที่ลานแห่งนั้นแค่หกคนเท่านั้น แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วง และยังมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติอีกสองตัว ด้วยพลังรบขนาดนี้ พวกเขาย่อมไม่ใช่กองกำลังที่ทหารของเขาจะต้านทานได้ ที่ตอนนี้เขาระดมคนและทรัพยากรมากมายเพื่อตามสืบเรื่องนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อแสดงให้ผู้อาวุโสหวงดูเท่านั้น
“ลืมมันไปเถอะ พักเรื่องนี้ไปก่อน เจ้าหนูรัฐเฉียวนั่นโดนพิษโลหิตแดงไปแล้ว มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมาจากไหน ในเมื่อพวกมันมาที่นี่เพื่อช่วยเด็กนั่นแค่นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องตามสืบต่อ ดูจากเวลาแล้ว ข้าว่าเจ้าหนูนั่นน่าจะตายไปแล้วเล่า” ผู้อาวุโสหวงพูดพลางหัวเราะออกมา เขายังจำตอนที่เห็นเด็กนั่นครั้งแรกได้ ดวงตากลมโตที่ใสซื่อไร้เดียงสาและความมีชีวิตชีวานั่น กระตุ้นความอยากทำลายในใจเขาได้เสมอ
“ได้! ตามที่ผู้อาวุโสหวงสั่ง” ฮ่องเต้รัฐจิ้วรับคำ แล้วแอบเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่หน้าผาก
“ฮ่องเต้สองคนสุดท้ายของรัฐเฉียวตายด้วยแผนการของเจ้าแล้ว ตอนนี้สายโลหิตราชวงศ์ของรัฐเฉียวหมดสิ้นแล้ว ถึงรัฐนี้จะเล็ก แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้ เจ้าคิดจะจัดการกับพวกมันอย่างไร” ผู้อาวุโสหวงถามพลางเหลือบมองฮ่องเต้รัฐจิ้วด้วยหางตา
ฮ่องเต้รัฐจิ้วตกใจกับคำถามเล็กน้อย เขารีบตอบว่า “รัฐเฉียวก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย ทหารของพวกเขากล้าใช้กำลังในเมืองหลวงรัฐจิ้ว เห็นชัดๆ เลยว่าพวกเขาพยายามจะก่อสงคราม ข้าจะออกคำสั่งยกทัพไปบุกรัฐเฉียวในอีกไม่กี่วัน คิดว่าไม่นานเราก็จัดการพวกมันได้แล้ว”
กองทัพของรัฐเฉียวอาจจะไม่คู่ควรให้สนใจ แต่ประชาชนของรัฐเฉียวยังเอามาใช้งานได้อยู่ พวกเขาเหมาะที่สุดที่จะเปลี่ยนให้เป็นคนพิษ!