ตอนที่ 633 เน่าตั้งแต่รากเหง้า
“เจ้า…เจ้า…เจ้าคนไร้เหตุผล ! ” ฉางหลงโหวเกิดในชนบท ส่วนหลิวโกวต้านคือชื่อในอดีตของเขา เพราะฉางหลงโหวรบชนิดไม่กลัวตายและยังได้โชคดีบางส่วนจึงค่อย ๆ ไต่เต้าจากนายทหารชั้นผู้น้อยมาเป็นแม่ทัพ ต่อมาได้สร้างผลงานในสนามรบของเมืองหลวงจึงถูกแต่งตั้งเป็น ‘ฉางหลงโหว’ หลังได้ขึ้นเป็นแม่ทัพแล้ว ชื่อของเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นหลิวฉางหรง แต่หมินอ๋องกลับเรียกชื่อเดิมอันต่ำต้อยของเขาออกมาต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เขา…เขาไม่มีทางเลิกราวีอีกฝ่ายแน่ !
ขณะทอดพระเนตรพยัคฆ์สองตัวในราชสำนักกำลังใกล้ทะเลาะกัน ฮ่องเต้หยวนชิงก็ตบโต๊ะด้วยโทสะ “ทำไม ? แม้แต่อิสระในการเลื่อนขั้นขุนนางขั้นสี่คนหนึ่ง เจิ้นก็ยังไม่มีหรือ ? ในสายตาของพวกเจ้าเห็นเจิ้นเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว โง่เขลาเบาปัญญา ไม่แยกแยะถูกผิดใช่หรือไม่ ? ”
ยามทอดพระเนตรขุนนางเบื้องล่างที่พากันหลบสายพระเนตร ฮ่องเต้หยวนชิงก็แสยะมุมโอษฐ์อย่างเย็นชา “ในบรรดาพวกเจ้ามีใครปรับปรุงเครื่องมือทำการเกษตรได้ ทำให้การพรวนดินเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว ? ใครไม่ต้องใช้เงินหลวงแม้แต่อีแปะเดียวก็สามารถขุดคลอง สร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้ ? ใครสามารถออกแบบเขื่อนกั้นน้ำ ช่วยต้านภัยน้ำหลากจากแม่น้ำได้บ้าง ? ใครสามารถกระตุ้นให้ราษฎรแผ้วถางที่ดินเพาะปลูก เพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรให้อำเภอได้มากถึง 3 เท่าในเวลา 3 ปีบ้าง ? ใครสร้างเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้ผลผลิตสูง ทำให้ราษฎรทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้ลืมตาอ้าปากจากความอดอยาก ? ถ้าทำได้ ! เจิ้นจะให้พวกเจ้าเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ ! ! ! ”
“ในช่วงเวลาระยะสั้น ๆ เพียง 3 ปี ใต้เท้าเจียงก็ทำให้อำเภอหนิงซีที่ต้องพึ่งพาอาหารบรรเทาทุกข์จากราชสำนักทุกปีกลายเป็นอำเภอที่ผลิตธัญพืชได้มากที่สุดในแคว้น ธัญพืชของอำเภอหนิงซีถูกแบ่งขายไปทั่วภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สามารถแก้ปัญหาความอดอยากที่ราษฎรภาคตะวันตกเฉียงเหนือต้องเผชิญทุกปี แล้วขุนนางที่มีความสามารถเช่นนี้ เจิ้นไม่สามารถเลื่อนขั้นให้เขาได้ หรือจะต้องให้พวกขุนนางไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งเพียงฝ่ายเดียว ? ถ้าแบบนั้นต้าเซี่ยจะต่างอะไรจากราชวงศ์ก่อน ? ถ้าใครยังคัดค้านอีกก็เดินออกมา ! เมื่อเทียบกับใต้เท้าเจียงแล้ว ใครสามารถช่วยแก้ปัญหาท้องพระคลังที่ว่างเปล่าของเจิ้นได้เร็วกว่า ใครสามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของราษฎรได้เร็วกว่า ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงเสด็จออกจากบัลลังก์มังกรพลางก้มดวงพักตร์เพื่อทอดพระเนตรขุนนางนับร้อยของต้าเซี่ย…คนพวกนี้มีครึ่งหนึ่งเป็นขุนนางเก่าจากราชวงศ์ก่อนและยังมีอีกครึ่งที่ติดตามร่วมรบเคียงข้างพระองค์ แต่ขุนนางจากราชวงศ์ก่อน เน่าตั้งแต่รากเหง้า หากไม่ได้เป็นเพราะราชสำนักขาดแคลนคน พระองค์ก็ไม่มีทางให้คนพวกนี้มายืนอยู่ในท้องพระโรงแน่นอน
สิ่งที่ทำให้ปวดหทัยที่สุดก็คือ หลังได้นั่งในตำแหน่งสูงศักดิ์แล้ว บรรดาพี่น้องที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันกลับทำตัวเหมือนขอทาน เข้าไปเป็นพรรคพวกกับพวกราชวงศ์ก่อน !
พระองค์ประสงค์คนอย่างเจียงโม่หานที่สุด คนที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวและทำเพื่อราษฎร เป็นขุนนางมากความสามารถของราชสำนัก ! บัณฑิตรุ่นเดียวกับเจียงโม่หานพวกนั้นก็ใช้ได้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับจอหงวนแล้วยังห่างชั้นอีกไกล ยังต้องฝึกฝนไปก่อน ถึงจะกลายเป็นดาบเล่มคมช่วยพระองค์เชือดเฉือนตัวอุปสรรคและสร้างต้าเซี่ยที่เจริญรุ่งเรืองได้ !
สามวันต่อจากนั้น เจียงโม่หานไปรายงานตัวที่เขตปกครองซุ่นเทียน ผู้ตรวจการซุ่นเทียนดีต่อเขามาก ทั้งสุภาพและดูอบอุ่น หลังพูดให้กำลังใจเขาสองสามประโยคแล้วก็ให้คนพาเขาไปทำความคุ้นเคยกับตำแหน่ง
เจ้าหน้าที่จาง คนสนิทของผู้ตรวจการซุ่นเทียนถามด้วยความสงสัย “ใต้เท้า เขาก็แค่ใช้ประโยชน์จากพ่อตามาเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดท่านต้องทำตัวสุภาพกับเขาขนาดนั้น ? ท่านไม่กลัวว่าต่อไปเขาจะอยากนั่งตำแหน่งของท่านแทนหรือขอรับ ? ”
ผู้ตรวจการซุ่นเทียนจิบน้ำชาก่อนหนึ่งอึกแล้วหันมามองเจ้าหน้าที่จาง “ตำแหน่งของข้า ? เขาไม่อยากจะได้ด้วยซ้ำ ! พระประสงค์ของฮ่องเต้คือให้เขาดูแลที่ดินและเครื่องบรรณาการ ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือว่าต่อไปเขาจะต้องไปที่กรมคลัง ! ”
“กรมคลัง ? ท่านหมายความว่า…ต่อไปรองผู้ตรวจการเจียงจะได้ตำแหน่งชื่อหลางกรมคลังหรือขอรับ ? ” นั่นเป็นถึงขุนนางขั้นสาม เทียบเท่ากับผู้ตรวจการ…เฮอะ…เขามีสิทธิ์อะไร เพียง 3 ปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าคนที่ขยันทำงานตั้งหลายสิบปี เจ้าหน้าที่จางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ มีคนคอยหนุนหลังก็สามารถขยันได้น้อยกว่าคนอื่นเป็น 10 ปี !
ผู้ตรวจการซุ่นเทียนมองเจ้าหน้าที่จางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้เห็นแก่หน้าหมินอ๋องจึงเลื่อนเขาเป็นขุนนางขั้นสี่จริงหรือ ? ผลงานที่รองผู้ตรวจการเจียงทำไว้ให้อำเภอหนิงซี เจ้าไม่ได้ยินมาหรือไร ? แค่เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ให้ผลผลิตหมู่ละ 600 ชั่ง ก็เพียงพอให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งสองสามขั้นแล้ว ! ”
“600 ชั่งต่อหมู่ ? ใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าขอรับ ? อีกอย่างคือผลงานของเขาที่อำเภอหนิงซีก็ไม่ใช่ของเขาคนเดียวสักหน่อย ! ” เจ้าหน้าที่จางกำลังเจ็บใจสุด ๆ เขาอายุใกล้ 40 ปีแล้ว แต่โดนเด็กที่ยังไม่สวมกวานมากดหัว ในใจจึงมีแค่สองคำ…ไม่ยอม !
ผู้ตรวจการซุ่นเทียนโยนตำราใส่เขา “เหตุใดเจ้าจึงคิดเล็กคิดน้อยในตัวเขาขนาดนี้ ? เรื่องเมล็ดพันธุ์จะปลอมแปลงขึ้นมาได้อย่างไร ? หากทำไม่ดีก็เท่ากับหลอกลวงเบื้องสูง…เขามีปัญญาทำเรื่องนี้จริงหรือไม่ ประเดี๋ยวเราก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ? พอเถิด ควรทำอะไรก็ออกไปทำ ! อยากเลื่อนตำแหน่งก็ขยันสร้างผลงานหน่อย ใช้แค่ปากไม่สำเร็จหรอก ! ”
เจียงโม่หานไม่ได้ไปที่ห้องทำงานของตน แต่ตรงไปที่ห้องเก็บเอกสารแทน พอเข้าไปแล้ว เขาก็อยู่ในนั้นตลอดเช้าจนชุดเครื่องแบบเปื้อนฝุ่น ใบหน้าอันหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นกัน เขารวบรวมเอกสารที่บอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในราชวงศ์ก่อนออกมา ไร่นา ประชากร ผลผลิต ภาษีของเมืองหลวงและเขตปกครองที่อยู่โดยรอบ…รวมถึงเอกสารต่าง ๆ เพื่อนำไปเปรียบเทียบและวิเคราะห์ปลายราชวงศ์ก่อนกับต้นราชวงศ์ต้าเซี่ย จากนั้นค่อยคิดหาวิธีปรับปรุงขึ้นมา !
ในเขตปกครองของเมืองหลวงจะทำเหมือนตอนอยู่อำเภอหนิงซีไม่ได้ เขากำราบเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอได้นานแล้ว ดังนั้นเขาพูดอย่างไรก็คืออย่างนั้น ! แม้รองผู้ตรวจการจะเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่เบื้องบนก็ยังมีขุนนางคนอื่นอยู่ด้วย ขุนนางอาวุโสในราชสำนักพวกนั้นก็ไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร ถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างก็ต้องหยิบข้อมูลและเหตุผลที่พวกเขายอมรับได้ออกมา !
เจ้าหน้าที่หลี่ซึ่งผู้ตรวจการซุ่นเทียนสั่งให้พารองผู้ตรวจการคนใหม่ไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ ตอนนี้ก็กำลังหอบเอกสารออกมาด้วยเส้นผมเปื้อนฝุ่นเช่นกัน เขาถามเจียงโม่หานว่า “ใต้เท้าเจียง ท่านจะเอาเอกสารเก่าพวกนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ ? ”
“ไม่มีอะไร ก็แค่เอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน ใต้เท้าหลี่ หากท่านมีงานต้องทำก็ไปทำเถิด ! ” เจียงโม่หานเปิดกระบอกน้ำที่พกติดตัวมาด้วยแล้วใช้น้ำล้างหน้าล้างตา
เพิ่งล้างหน้าเสร็จ ยังไม่มีเวลาได้ปัดฝุ่นบนเส้นผมก็ได้ยินเสียงของภรรยาดังมาจากลานด้านนอกแล้ว
หลินเว่ยเว่ยขวางใต้เท้าหลี่ที่เพิ่งออกจากห้องแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าท่านนี้พอจะรู้หรือไม่ว่าห้องทำงานของรองผู้ตรวจการเจียงอยู่ที่ใด ? ”
เจ้าหน้าที่หลี่มองเด็กสาวตรงเบื้องหน้าและกล่องอาหารที่มีตราสัญลักษณ์ตำหนักหมินอ๋องอยู่…หรือว่าท่านนี้คือบุตรสาวที่เพิ่งตามหาเจอของตำหนักหมินอ๋อง ? ฝูเหรินของรองผู้ตรวจการเจียง ?
ผู้ตรวจการซุ่นเทียนก็ได้ยินจึงเดินเข้ามาพูดกับหลินเว่ยเว่ยด้วยรอยยิ้ม “หลิวเทียนหงขอถวายพระพรองค์หญิงเว่ยเว่ย…องค์หญิงมาส่งอาหารกลางวันให้รองผู้ตรวจการเจียงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายของสามีได้จากชุดที่สวมใส่ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง…รองผู้ตรวจการเจียงเพิ่งเข้าทำงาน ต้องขอให้ใต้เท้าช่วยดูแลด้วย”
ผู้ตรวจการซุ่นเทียนยังพอจดจำหลินเว่ยเว่ยได้บ้าง เพราะในวันงานเลี้ยงต้อนรับนาง ตัวเขาก็ไปเข้าร่วมด้วย