บทที่ 678 การแก้แค้นของคุน

อามู่ครุ่นคิด “ข้าต้องหาสามีให้อาฮวา”

จ้าวจิ่งซวนยืดตัว เงยหน้าขึ้นท่าทางผึ่งผาย สง่างามราวกับประกาศว่า ‘มองดูข้าสิ’

อามู่มองเขาอย่างดุร้าย แต่คำพูดกลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม

“อาซวน เจ้าอย่าสร้างปัญหา เจ้าต้องกลับบ้าน ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้า”

จ้าวจิ่งซวนถอนหายใจ ใช่แล้ว! เขา อามู่ อาฮวา เป็นแค่คนผ่านมาในชีวิต แค่ช่วงหนึ่งได้พบพากันสั้นๆ แล้วต้องจากกันเท่านั้น

“เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?” จ้าวจิ่งซวนถาม อามู่ยังมองเขาอย่างดุร้ายเช่นเดิม แต่เหมือนสายตาจะถามว่า ‘เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่’?

อาฮวาและอามู่ไม่อาจละทิ้งบ้านเกิดไปได้

“พ่อมดในหมู่บ้านรังแกชาวบ้านเช่นนี้ ไม่มีใครคิดลุกขึ้นมาต่อต้านเขาบ้างหรือ?” จ้าวจิ่งซวนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

เขาเกิดมามีสถานะเป็นองค์ชายย่อมไม่เคยโดนใครรังแกข่มเหง ตัวเขาเคยอ่านหนังสือมาบ้าง ท่านอาจารย์เคยพูดว่า หากมีการกดขี่ข่มเหงเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นย่อมมีการต่อต้านตามมา

ในวิถีฮ่องเต้ ราษฎรมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง แว่นแคว้นมาเป็นอันดับสอง ฮ่องเต้มีความสำคัญน้อยที่สุด กระแสน้ำทำให้เรือแล่นได้ฉันใดก็ทำให้เรือพลิกคว่ำได้ฉันนั้น

หากราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดี ทำงานได้อย่างมีความสุข แว่นแคว้นจึงจะมีความมั่นคงขึ้นมาได้

ฮ่องเต้ควรใช้พระราชอำนาจไปในการช่วยเหลือประชาราษฎร์แทนที่จะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด

“คำพูดของพ่อมดหมู่บ้านเป็นพระประสงค์ของเทพเจ้า ไม่มีใครกล้าขัดต่อพระองค์ได้” อามู่พูดขึ้น

“ผายลมเถอะ! พระประสงค์ของเทพเจ้าให้เขาเลี้ยงเจ้าหมูอ้วนน่าตายนั่นหรือ? เขาแกล้งทำเป็นผีหลอกพวกเจ้า!” จ้าวจิ่งซวนพูดออกมาอย่างโกรธแค้น

“อาซวน เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” น้ำเสียงของอามู่จริงจังขึ้นในทันที

เขาดูโกรธมากจนทำให้จ้าวจิ่งซวนนึกเกรง

“พูดแบบนี้ไม่ได้นะ กับพวกเราไม่เป็นไร แต่ถ้าชาวบ้านได้ยินที่เจ้าพูดเขาจะเอาหินขว้างลงโทษเจ้าให้ตาย”

คำพูดของอาฮวาและอามู่ทำให้จ้าวจิ่งซวนรู้ได้ว่าชาวบ้านรังเกียจคนแปลกหน้ามาก และพวกเขาบูชานับถือเทพเจ้ามากเพียงใด แต่จ้าวจิ่งซวนกลับคิดว่าสองพี่น้องไม่ได้นับถือเทพเจ้ามากเหมือนผู้อื่น ไม่เช่นนั้นเจะช่วยเขาเอาไว้ได้อย่างไร?

“ข้าเป็นคนนอกเผ่า ต่อให้ข้าไม่พูดข้าก็ยังโดนเผาทั้งเป็นอยู่ดี ยังไงข้าก็ต้องตาย” เขาพึมพำอย่างอดไม่ได้

อาฮวาแย้งขึ้นมาว่า

“มันต่างกัน เจ้าถูกทุบตีจนตายแล้วยังจะถูกเผาทั้งเป็นนะ”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไม่พูดอะไรเลย” จ้าวจิ่งซวนหุบปากอย่างเชื่อฟัง อาฮวาแตะหัวเขาเบาๆ

“ทำตัวให้ดีๆ”

จ้าวจิ่งซวนจับหัวของตนเอง รู้สึกไม่สบายใจ เขาเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก แต่เหตุใดนางจึงทำราวกับว่าเขาเป็นน้องชายของนาง

อาฮวาหันกลับไปทำงานต่อ อามู่เป็นห่วงน้องสาวเขาจึงไม่ให้นางออกไปข้างนอก ให้ปิดประตูอยู่แต่ในบ้าน

รุ่งขึ้น จ้าวจิ่งซวนจึงเจอกับอาฮวาทั้งวัน เขาเอาแต่เดินตามดักหน้าดักหลังอยู่เช่นนั้นบราวนี่ออนไลน์

“เหตุใดถึงได้เอาแต่ตามข้า?” นางยิ้มถามเขา

“ปกป้องเจ้า” จ้าวจิ่งซวนพูด แสดงท่ากำหมัดเบ่งกล้าม สักครู่เขาก็เหยียบท่อนไม้ลื่นล้มคะมำจนหน้าทิ่มลงไปในโคลน

อาฮวายิ้มพลางขมวดคิ้ว อาฮวาสับฟืน จ้าวจิ่งซวนช่วยนางเรียงท่อนฟืน

“อาฮวา เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรือยัง?”

นางนิ่งคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า

“เจ้าชอบคนแบบไหนหรือ?” จ้าวจิ่งซวนซักต่อ

อาฮวายังคงส่ายหน้าเช่นเดิม

“เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยหรือว่า คนที่เจ้าชอบจะเป็นอย่างไร? หน้าตาดีหรือไม่? มีความกล้าหาญหรือไม่?”

“ไม่เคย..หากข้าได้พบกับเขา ข้าจะรู้เอง” อาฮวาตอบง่ายๆ

แม่ของนางเคยพูดเอาไว้ว่า หากได้พบกับคนผู้นั้น แค่ครั้งแรกก็จะรู้ได้ว่าอยากแต่งงานและเป็นเจ้าสาวของเขา

หลังจากอาฮวาผ่าฟืนเสร็จนางไปทำงานอย่างอื่นต่อ ยุ่งวุ่นวายไม่ได้หยุด หลังจากเสร็จงานประจำวันแล้วอามู่ก็ยังไม่กลับมา

ทั้งอาฮวาและอาซวนนั่งอยู่ใต้ห้องหลังคา มองออกไปนอกหน้าต่างเฝ้ารอให้อามู่กลับมา ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ จ้าวจิ่งซวนรู้สึกถึงความกังวลของอาฮวา เขาพยายามเค้นสมองเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของนาง แต่เขากลับไร้คำพูด

แต่แล้วเขาก็นึกบางอย่างออกมาได้ เขาหยิบหนังยางที่ทำด้วยตัวเองออกมาให้อาฮวา

“ลองยิงใบไม้นั่นดูสิ” จ้าวจิ่งซวนว่า อาฮวาลองยิงหนังยางอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจึงได้โดนใบไม้ นางดีใจมาก

ในตอนนั้นเองมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นแต่ไกลกำลังเดินเข้ามา อาฮวาวิ่งลงไปหาคนผู้นั้นอย่างเร็ว โดยมีจ้าวจิ่งซวนตามไปติดๆ ทั้งสองเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตู ไม่นานประตูก็เปิดออก เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าของอามู่อยู่ที่หลังประตู

“พี่ชาย พี่กลับมาแล้ว!” อาฮวาเข้าไปกอดเขาอย่างมีความสุข

อามู่ตบไหล่นางเบาๆ ขอให้นางปล่อยเขา

“ข้าเนื้อตัวสกปรก” อาฮวารีบวิ่งเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้เขา

“เหตุใดมาช้านักเล่า?”

“สร้างวิหาร ยกรากฐานต้องทำงานหลายอย่าง” อามู่อธิบาย อาฮวาถอนหายใจอย่างโล่งอก นางกังวลว่าทำให้คุนขุ่นเคือง แล้วเขาจะคิดรังแกพี่ชายของนาง

พวกเขากินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นจึงได้แยกกันไปพักผ่อน

ไม่กี่วันต่อมา อามู่ยังคงกลับบ้านช้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วัน

วันหนึ่งเขากลับมายามดึก มือไม้เต็มไปด้วยคราบเลือดจากการทำงานหนักเกินไป

อาฮวาใส่ยาให้เขา พูดอย่างเป็นทุกข์ว่า

“พี่ชาย คุนตั้งใจรังแกพี่หรือไม่?”

“ไม่หรอก พวกเราเร่งมือเพื่อจะได้ทันเทศกาลหน้าร้อนปีหน้า”

หมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงหลายแห่งไม่มีวิหาร พ่อมดประจำหมู่บ้านจึงได้ไต่ถามไปยังพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ว่าพวกเขาจะสร้างวิหารกันได้หรือไม่ ไม่กี่วันก่อนพ่อมดศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเยว่เฉิงจึงได้ตอบกลับมาว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาจึงเกณฑ์ชายฉกรรจ์หลายคนมาก่อสร้างวิหาร

คำพูดของอามู่เป็นคำบอกเล่ากึ่งจริงกึ่งเท็จ เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาต้องรีบทำงานเพื่อให้ทันเทศกาลฤดูร้อน แต่เรื่องเท็จก็คือคุนตั้งใจที่จะแกล้งเขา งานที่คุนให้เขาทำนั้นยากลำบากและใช้เวลานานกว่าจะเสร็จ เขาทำงานจนเป็นคนสุดท้ายกว่าจะได้กลับบ้าน แต่เขาไม่อยากบอกน้องสาวให้กังวล เช้าวันรุ่งขึ้น อามู่ออกไปทำงาน วันนี้อาฮวารู้สึกสังหรณ์ไม่สบายใจ นางอยากไปดูการก่อสร้างวิหาร แต่จำคำแนะนำของอามู่ได้ นางจึงได้แต่ใจจดจ่อรอเขาอยู่ภายในบ้าน

ช่วงบ่ายมีคนรีบมาบอกว่าอามู่เกิดอุบัติเหตุ

“อามู่ถูกเสาหล่นทับจนขยับตัวไม่ได้ อาฮวาเจ้ารีบไปดูเขาเถอะ” คนข้างนอกตะโกนบอก หลังจากได้ยิน ใบหน้าของอาฮวาเผือดลง นางเข่าอ่อนแทบจะเป็นลมล้มลง

จ้าวจิ่งซวนตกใจ เขารีบเข้าไปพยุงตัวและปลอบโยนนาง อาฮวาไม่ฟัง นางวิ่งลงบันไดไปข้างล่างทันที จ้าวจิ่งซวนวิ่งตามไป อาฮวาหยุดชะงักหันมาบอกเขาว่า

“อย่าออกมา” ว่าแล้วนางก็วิ่งออกไป

จ้าวจิ่งซวนนั่งยองๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก เขาขยี้ผมเดินไปมาอย่างหงุดหงิด

หลังจากเดินไปสองสามก้าว เขาตัดสินใจวิ่งออกไป เขาต้องไปดูด้วยตาตนเอง หากถูกใครพบเห็นเขาจะแกล้งเป็นใบ้ ตราบใดที่เขาไม่พูด พวกเขาจะไม่รู้ว่าจ้าวจิ่งซวนไม่ใช่คนนอกเผ่า เขาจะแกล้งทำเป็นญาติห่างๆที่มาเยี่ยมเยียนสองพี่น้อง จ้าวจิ่งซวนวิ่งเร็วขึ้น

อาฮวารู้ที่ก่อสร้างวิหาร นางเคยไปมาแล้วนางวิ่งไปอย่างรวดเร็วทิ้งคนส่งข่าวไว้ด้านหลัง

ชายคนนั้นไม่ได้ก้าวเดินตามไป แต่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

——————————-