บทที่ 506 เจียวเจียวจอมโหด

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 506 เจียวเจียวจอมโหด

ท่านเหล่าโหวรู้ดีว่าทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกไป กู้ฉังชิงจะมีปฏิกิริยาเช่นไร มันเจ็บปวดเกินที่จะมองดู ท่านเหล่าโหวจึงเลือกเบือนหน้าหนี

แม้จะรู้ดีว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่พอเจอกับตัวแบบนี้มันช่างเป็นการยากที่จะหลบหนีความรู้สึกปั่นป่วนและทรมาน

กู้ฉังชิงนิ่งลงจนน่าตกใจ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด

ท่านเหล่าโหวได้แต่คิดว่าตัวเองควรพูดอะไรต่อ แต่เขาไม่ใช่คนที่พูดจาปลอบโยนใครได้ดีเท่าไหร่นัก

ยิ่งไปกว่านั้น การปลอบคนแปลกหน้านั้นง่ายกว่าปลอบคนในครอบครัว

อันที่จริง เรื่องที่เกิดขึ้นควรจะเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนที่จิ้งไท่เฟยเข้ามาที่วัง

จิ้งไท่เฟยเดิมเป็นทหารหน่วยกล้าตายของราชวงศ์ก่อน ท่านเหล่าโหวช่วยเหลือนางไว้จากคนร้าย แท้จริงเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น

ในเมื่อความรู้สึกของคนคนหนึ่งสามารถหลอกลวงกันได้ ไยกับชีวิตสมรสจึงจะทำไม่ได้ล่ะ

ไม่ว่าจะเป็นจิ้งไท่เฟย หรือแม้แต่แม่นางเสี่ยวหลิง ล้วนเป็นหมากของพวกราชวงศ์ก่อน ต่างกันก็แค่จิ้งไท่เฟยได้อยู่ในวัง ส่วนอนุหลิงนั้นไม่ใช่

แต่การที่แม่นางเสี่ยวหลิงไม่ได้อยู่ในวังก็ใช่ว่าจะทำงานสำคัญไม่ได้เสียทีเดียว

ท่านเหล่าโหวเป็นคนที่ดูแลกองทัพทหารตระกูลกู้มากับมือ หากเขาปล่อยให้บุตรของนางได้ขึ้นเป็นนายน้อยของกองทัพ นั่นเท่ากับว่าคนของพวกราชวงศ์ก่อนมีสิทธิ์ในการควบคุมกองทัพ

ท่านเหล่าโหวรู้สึกผิดมาโดยตลอดที่ปล่อยให้กู้ฉงกับแม่นางเสี่ยวหลิงได้แต่งงานกัน หากเขารู้แต่แรกว่านางเป็นสายลับของพวกมัน ไม่ว่ากู้ฉงจะอ้อนวอนอย่างไร เขาจะไม่มีวันยอมรับโดยเด็ดขาด

ทว่ามาพูดเอาป่านนี้ก็สายเสียแล้ว อีกทั้ง…

เขาชำเลืองมองกู้ฉังชิงที่กำลังข่มอาการใจสลายเอาไว้หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่ชวนให้เจ็บช้ำมากที่สุด

แต่ถ้าไม่ได้แม่นางเสี่ยวหลิง เขาก็ไม่มีทางได้เจอกับหลานชายที่สมบูรณ์แบบเช่นกู้ฉังชิง

แม้เขาจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่เขากลับรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง

แม่ของเขา เป็นสายลับ

สายลับ…ของราชวงศ์ก่อน

เขารู้ว่าปู่ของเขาจะไม่โกหกเขาด้วยเรื่องแบบนี้ กระนั้นในหัวของเขามีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ‘บางทีปู่ของเขาอาจเข้าใจผิดไป แต่ไยหัวใจของเขาถึงเจ็บราวถูกเข็มทิ่ม’

“ชิงเอ๋อร์โตขึ้นอยากเป็นอะไรหรือ”

“ข้าไม่รู้ ท่านแม่อยากให้ข้าเป็นอะไรล่ะ”

“ข้าหวังว่า เจ้าจะได้เป็นวีรบุรุษเฉกเช่นปู่ของเจ้า”

“เช่นนั้น ข้าจะไปอยู่ในกรมทหาร ข้าจะกำจัดศัตรูให้ราบคาบแบบที่ท่านปู่ทำ เพื่อช่วยเหลือราษฎร!”

“ชิงเอ๋อร์ของแม่เก่งจริงๆ”

น้ำเสียงและแววตาที่อ่อนโยนของนางสดใสราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ตอนนี้เขาไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่าความหวังที่ฉายออกมาในดวงตาของนางเมื่อพูดคำเหล่านี้กับเขานั้นเป็นความใจดีหรือความทะเยอทะยานของนางเอง

ท่านเหล่าโหวรู้สึกลำบากใจที่จะเล่าเรื่องต่อ แต่ถ้าเขาไม่พูดตอนนี้ กลัวว่าจะไม่มีโอกาสและความกล้าที่จะพูดอีก

“ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับข้าเพียงเพราะเจ้ามีความแค้นต่อข้า แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกเจ้าอย่างชัดเจนว่าข้าไม่ได้ฆ่าแม่ของเจ้า”

เขาไม่เคยนิ่งนอนใจกับเรื่องนี้

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แค่นึกย้อนถึงความทรงจำที่มีแม่นางเสี่ยวหลิงอยู่ด้วย ความรู้สึกบีบแน่นหัวใจของเขามักเกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

“ช่วงที่แม่ของเจ้าป่วย คือวันที่นางต้องส่งข่าวให้กับคนใกล้ชิดของพวกราชวงศ์ก่อน ข้าบังเอิญพบจดหมายลับที่นางไม่ได้ทำลายทิ้ง และได้รู้ว่านางติดต่อกับคนพวกนั้นอย่างลับๆ มาโดยตลอด ข้าไม่รู้ชัดว่าใครคือคนที่นางส่งข่าวให้ แต่เนื้อหาในจดหมายเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพตระกูลกู้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าจึงสั่งให้องครักษ์ลับจับตาดูนาง และแอบขโมยจดหมายลับสองสามฉบับ จนในที่สุด ข้าก็ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง”

“เจ้าเป็นทหาร เจ้าน่าจะรู้ดีว่ากองทัพของเราหากมีไส้ศึกอยู่ข้างในจะเกิดอะไรขึ้น ข้าตัดสินใจกำจัดนางทิ้งเพื่อให้ทุกอย่างจบลง แต่พอข้าเห็นหน้าเจ้า…และน้องชายของเจ้าอีกสองคน ข้าก็เกิดเปลี่ยนใจ และตรงไปพูดคุยกับนาง”

เพียงแต่ครั้งนั้นท่านเหล่าโหวคาดไม่ถึงว่าถูกอนุหลิงเห็นเข้าพอดี

“ข้าไปหาแม่ของเจ้า โยนจดหมายลงต่อหน้านาง และให้นางอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แม่ของเจ้าก็ยอมเล่าแต่โดยดี นางเล่าว่านางเป็นสายลับจากราชวงศ์ก่อน และจุดประสงค์ของการแอบเข้ามายังจวนติ้งอันโหวก็เพื่อวางแผนต่อต้านข้าในตอนแรก แต่ด้วยความที่ข้าไม่ได้อยู่ที่จวนตลอดทั้งปี ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหาโอกาสเล่นงานข้าได้ แล้วหลังจากนั้น นางก็ให้กำเนิดเจ้า พอนางเห็นว่าข้าเอ็นดูเจ้ามากพวกมันก็เลยวางแผนให้เจ้าสืบทอดกองทัพตระกูลกู้ แล้วก็ไม่ผิดคาด เจ้าเติบโตมาอย่างดี เป็นที่รักของทุกคน การที่เจ้าได้รับความไว้วางใจจากข้า ยิ่งทำให้พวกมันกระหายอำนาจมากยิ่งขึ้น และเจ้าก็กลายเป็นเป้าสำคัญของพวกมัน”

แววตาของกู้ฉังชิงเริ่มสั่นไหว

“เจ้ายังมีน้องชายอีกสองคน ไม่ว่าใครจะขึ้นมาสืบทอดต่อก็ย่อมได้ ทว่าพวกมันต้องการคนที่จะมาเป็นหุ่นเชิด” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นัยน์ตาของท่านเหล่าโหวเริ่มเผยให้เห็นถึงความเย็นชา “พวกมันต้องการให้เจ้าไปเป็นหน่วยกล้าตาย…แต่แม่ของเจ้าไม่เห็นด้วย”

กู้ฉังชิงกำหมัดแน่น รอยย่นบนหน้าผากเริ่มปรากฏ

“แม่ของเจ้ารู้จักพวกมันดี และรู้ว่าคนที่หักหลังพวกมันจะต้องลงเอยอย่างไร เพื่อปกป้องเจ้าจากการถูกพวกเขาพรากไป และเพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นใช้นางเพื่อเป็นตัวล่อที่จะเข้ามาอุ้มพวกเจ้าสามพี่น้อง นางก็เลย…ลงมือฆ่าพวกเดียวกัน และจากนั้นก็เลือกที่จะ จบชีวิตตัวเองลง”

กู้ฉังชิงสั่นไปทั้งตัว

ท่านเหล่าโหวมองหลานตัวเองด้วยความรู้สึกปวดใจ “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ระบายลม แต่บางครั้ง ความเด็ดเดี่ยวอาจเป็นทางเลือกสุดท้ายของใครสักคน”

แม่นางเสี่ยวหลิงไม่มีทางเลือกอื่น และการที่ท่านเหล่าโหวปิดบังเรื่องนี้กับฝ่าบาทก็เพราะไม่มีทางเลือกเช่นกัน

ตอนแรกที่ฝ่าบาทกับเขาร่วมมือกันเล่นละครตบตาสลายกองทัพเพื่อลดความระแวงของจวงไทเฮา อันที่จริงเขารู้สึกโล่งใจที่อาจเป็นเรื่องดีที่กู้ฉังชิงจะไม่ต้องมาสืบทอด กองทัพ

ถ้าเขาไม่ได้ขึ้นไปยังจุดนั้น ก็ไม่มีใครเพ่งเล็งเขาได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ กลับตาลปัตร เขานำกองทหารหนึ่งแสนนายไปที่ชายแดนในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพทั้งหมด

ท่านเหล่าโหวแทบไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะลงมือจัดการบุตรชายของคนทรยศอย่างไร

หากเลือกได้ เขายอมตายที่นี่ ยอมให้ทหารของตระกูลกู้อยู่ในความดูแลของถังเย่ว์ซาน ดีกว่าให้กู้ฉังชิงมาปรากฏที่ชายแดนแห่งนี้และต่อหน้าคนของพวกราชวงศ์ก่อน

ท่านเหล่าโหวยังไม่รู้ว่าที่ห้องข้างๆ มีหลานของเขาแอบฟังอยู่ด้วย และพวกราชวงศ์ก่อนจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

แต่คนที่พวกมันเคียดแค้นที่สุดอย่างไรก็หนีไม่พ้นกู้ฉังชิง

คนที่เดิมควรจะเป็นทหารหน่วยกล้าตายชั้นดีของพวกมัน แต่ดันไปอยู่กับพวกศัตรูแทน

กู้เฉิงเฟิงที่กำลังดักฟังได้แต่ทำหน้าตกตะลึง

สีหน้าของเขาแย่เสียยิ่งกว่ากู้ฉังชิง

ก่อนอื่น เขาไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาอยู่ที่นี่ ในเมื่อพี่ชายของเขามาเยี่ยมท่านปู่ได้ ทำไมเขาถึงไม่ไปหาตนที่ค่ายพยาบาลกันนะ

ต่อมาคือเรื่องการตายของแม่นางเสี่ยวหลิง เดิมทีเขาคิดว่าแม่ของเขาโกรธแม่นางเหยาจนกลั้นใจตาย แต่หลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลายได้ เขาก็คิดว่าแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยจริงๆ

แต่ตอนนี้ เขาเพิ่งมารับรู้ว่าแม่ของเขาถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายอย่างนั้นรึ

แล้วไหนจะเรื่องที่แม่ของเขาเป็นสายลับอีก เช่นนั้น…ตัวเขาเองถือว่าเป็นสายลับด้วยหรือไม่

ส่วนกู้เจียวที่ได้ยินเรื่องทั้งหมด พอลองเทียบกับความฝันก่อนหน้านี้ ปริศนาต่างๆ ก็คลี่คลายลง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพวกราชวงศ์ก่อนถึงได้ต้องการแก้แค้นตระกูลกู้ ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็มาจากแม่นางเสี่ยวหลิง

ในฝัน คนที่อยู่รอบตัวแม่นางเสี่ยวหลิงถูกจัดการทั้งหมด ท่านเหล่าโหวและกู้เฉิงเฟิงถูกตัดหัว จากนั้นก็จัดการเผากองทัพตระกูลกู้ทั้งหมด และตัดขาทั้งสองข้างของกู้ฉังชิงทิ้ง

นี่คือผลที่เจ้าไม่ยอมยกบุตรชายให้ และที่เจ้าไม่สามารถควบคุมทหารตระกูลกู้ไว้ได้ ทุกคนจะต้องชดใช้ให้หมด

นี่สินะ ไม่ได้ก็ทำลายทิ้ง ความคิดของพวกมันช่างทุเรศสิ้นดี!

และถังเย่ว์ซานคือคนสุดท้ายที่ยกหูออกจากผนัง

ว่ากันตามตรง เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจวนติ้งอันโหวผู้ยิ่งใหญ่จะซวยได้ขนาดนี้!

ไม่ว่าเรื่องที่ตัวเขาเล่นตุกติกกับน้องสะใภ้!

หรือเรื่องที่ถังหมิงเป็นอันธพาล

เมื่อเทียบกับพวกตระกูลกู้ เรื่องของเขากลายเป็นเรื่องเล็กในพริบตา!

จู่ๆ ถังเย่ว์ซานก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของเขาดูสง่างามและสูงส่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน! ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทางของเขาจริงๆ !

พอตะลึงเสร็จ ถังเย่ว์ซานก็เริ่มมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น

หากเขากลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ไทเฮาและฝ่าบาททรงทราบ เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งเท่าไหร่กันนะ

ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา จู่ๆ เขาเกิดรู้สึกเย็นวาบที่บริเวณหน้าผาก พอหันมาอีกที ก็เจอกับกู้เจียวที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา กำลังถือเข็มฉีดยาขนาดใหญ่

หน้าของเขาพลันซีดด้วยความตกใจ “เจ้าทำอะไรน่ะ!”

“ก็ฉีดยาพิษให้เจ้ายังไงล่ะ!” กู้เจียวเอ่ยพลางดันเข็มฉีดยาด้วยนิ้วหัวแม่มือของนาง

ถังเย่ว์ซาน “…!!”