บทที่ 662 เสียงฟ้าร้องดังอีกแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หลังจากที่หานแสพยักหน้าตอบรับจ่ายเหรียญเงินแล้ว ในใจหลานเยาเยาเต็มไปด้วยว่าปีติยินดี บนใบหน้ากลับเฉยเมยแล้วพาเขาไปในโรงเหล้าแห่งหนึ่งของเมืองโยวกวง

ที่นี่ไม่ได้รุ่งเรืองเช่นที่เมืองหลวง บ้านสามสี่ชั้นตั้งสลอนมีเสียงดังเอะอะอยู่สองข้างทาง นั่นดูแล้วล้วนเป็นความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

และที่นี่ ยืนอยู่ที่สูง มองออกไปไกลๆ สูงที่สุดก็เป็นตึกเล็กๆสามชั้น อีกทั้งเป็นที่อยู่ของขุนนาง และเพราะสถานที่ที่อยู่ตอนนี้คือ จวนของเจ้าเมือง

ในโรงเหล้า!

หลานเยาเยาเรียกเสี่ยวเอ้อมา สั่งน้ำชาและอาหารที่ดีที่สุดมา มีมาดของเจ้าบ้านที่ได้ทำการต้อนรับแขกจากแดนไกล

ยั่วจนทำให้ของหานแสไม่พอใจในใจ

“แม้ว่าชานี้จะไม่ได้เป็นชาที่ดีที่สุดในโลก แต่เข้าปากแล้วหวานอร่อย และมีรสชาติพิเศษ เชิญ!”

ตั้งแต่ได้ยินเสียงของนางจากด้านนอกห้อง ตลอดจนตอนนี้ สายตาของเขาล้วนไม่ได้ละไปจากนางเลย

นางยังคงเย็นชาต่อเขา

แม้จะบอกว่าพฤติกรรมเป็นธรรมชาติ แต่เขามักจะสามารถสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน

“ไม่เป็นไร มีน้ำชาก็ดี!”

ครั้งก่อนจากลาอย่างเร่งรีบ ไม่ได้พบกันนาน

ได้พบนางอีกครั้ง ในใจของหานแสมีความสับสนมากมาย

เขาชะงักครู่หนึ่ง กล่าวถาม:

“ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?”

“พอใช้ได้!”

คำพูดนี้จริง

จากเมืองหลวงตลอดทางบากบั่นมาถึงเมืองเลยหมิง ประสบกับเหตุการณ์อันตรายน่ากลัว แล้วจากเมืองเลยหมิงมุ่งมาเมืองโยวกวงอย่างเร่งรีบ เส้นทางทุลักทุเล เร่งการเดินทางให้เร็วขึ้นไม่ว่าจะเจอลมฝน นอกจากเหนื่อยหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร

“ข้าเคยไปเมืองเลยหมิง และเคยเห็นศพของคนจากนอกแผ่นดิน ชั่งทำให้คนหวาดผวาจริงๆ”

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาหรี่ตาลงในพริบตา

“เจ้าไปที่เมืองเลยหมิงทำไม?”

สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ แต่เรือแห่งความสิ้นหวังใช้ชีวิตบนน้ำ แล้วจะจงใจอ้อมไปไกลๆรอบหนึ่งได้อย่างไร?

“แน่นอนว่าเป็นคนจากนอกแผ่นดิน!”

“ทำไมเจ้าถึงดึงดันกับคนจากนอกแผ่นดินเพียงนี้?” หลานเยาเยาไม่เข้าใจ

อันที่จริงนางพบว่า เพียงแค่มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับคนจากนอกแผ่นดิน ก็จะมีเงาร่างของหานแสปรากฏ

ก่อนหน้านี้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากนี้ก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดงั้นหรือ?

“ผู้ดูแลหลาน……ไม่ไม่ไม่ ตอนนี้ควรเรียกเจ้าว่าคุณชายซ่างกวน” หานแสจิบชาอึกหนึ่ง เหมือนกับว่าขบคิดถึงรสชาติจางๆของน้ำชาครู่หนึ่ง ยังจะขมวดคิ้วเบาๆ ราวกับว่าไม่คุ้นชินกับการดื่มน้ำชาคุณภาพต่ำชนิดนี้เป็นอย่างมาก “อย่าว่าแต่อ๋องเย่ เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ได้พิสูจน์และยืนยันเบื้องต้นแล้ว คนจากนอกแผ่นดินดำรงอยู่จริง อีกทั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่แล้ว”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพูดถึงหัวข้อนี้

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

ราวกับว่าหานแสไม่พูดจากึ่งล้อเล่นเช่นนั้นเหมือนก่อนหน้านี้ ครั้งนี้จริงจังเป็นอย่างมาก

“เจ้ายังพบเห็นอย่างอื่นอีก?”

ไม่เช่นนั้นจะอธิบายการตั้งใจมาที่นี่ของหานแสได้อย่างไร แจ้งเรื่องนี้ให้นางรู้หรอ?

“จากเมืองหลวงล่องลงมาตามสายน้ำ ครึ่งหนึ่งจอดเทียบท่าโดยบังเอิญ ได้ยินพ่อค้าที่มาจากประเทศเชียนหลิงพูดคุยกันขึ้น ในป่าทึบตรงสถานที่ใกล้กับทะเลของประเทศเชียนหลิง ไม่ว่ากลางวัน ไม่ว่าจะพายุฝนกระหน่ำฟ้าสดใส ในป่าทึบก็ล้วนจะมีเสียงฟ้าร้องออกมาเป็นระยะๆ

เสียงฟ้าร้องดัง ทะลุผ่านฟากฟ้า ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะ เสียงฟ้าร้องดังชนิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นช่วงหนึ่งปีมานี้ พ่อค้าผู้นั้นเดิมทีมาทำการค้าในพื้นที่บริเวณรอบๆชายฝั่ง หลังจากนั้นเข้าทางป่าทึบผืนนั้น คนในหน่วยงานรักษาความปลอดภัยกับหนุ่มรับใช้ที่ติดตามเขา ล้วนอยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงเขาผู้เดียวที่หนีออกมาได้

ต่อจากนั้นก็ไปทำการค้าที่เมืองเลยหมิงอีก ถูกเสียงฟ้าร้องของที่นั่นทำให้ตกใจกลัวจนฉี่ราด ยังบอกว่าเสียงฟ้าร้องของทั้งสองที่เหมือนกันทุกอย่างอีก”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป

สีหน้าของหลานเยาเยาเปลี่ยนไปและนั่งไม่ติดในทันทีแล้ว

“ที่พูดมาเป็นเรื่องจริง?”

ถึงแม้ว่าจะไม่ถาม

ประเทศเชียนหลิงนางก็จำเป็นต้องไปรอบหนึ่ง

“เป็นจริงหรือโกหกไปรอบหนึ่งก็รู้” มุมปากของหานแสยกขึ้นเบาๆเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย และลุกขึ้นตามสบาย กล่าวด้วยความสงสัย: “เรือแห่งความสิ้นหวังของข้า เทียบท่าอยู่ที่แม่น้ำสายที่อยู่ใกล้ที่สุดจากที่นี่ นั่งเรือเร็วกว่าม้าสี่เท้าที่วิ่งอยู่บนพื้นดินเป็นอย่างมาก อีกทั้งป่าทึบผืนนั้นของประเทศเชียนหลิงเดิมทีก็อยู่ไม่ไกลจากริมฝั่ง จะออกเดินทางตอนนี้เลยหรือไม่?”

“แน่นอน!”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากว่าเป็นคนจากนอกแผ่นดินจริง เช่นนั้นแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ก็กำลังตกอยู่ในอันตราย

แต่ต่อจากนั้น นางก็กล่าวอีกว่า: “ข้าไปครู่หนึ่งก็กลับมา”

นางต้องการหารือกับเย่แจ๋หยิ่งสักหน่อย

“เจ้าสามารถทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่งได้” หานแสกล่าวโน้มน้าว

แต่หลานเยาเยายังคงส่ายหน้า นางจำเป็นต้องพูดต่อหน้า ทิ้งจดหมายไว้ยังไงก็ไม่เหมาะสม หากมีเรื่องเหนือความคาดหมาย จดหมายไม่ถึงมือของเย่แจ๋หยิ่ง จะไม่ทำให้เขาเป็นกังวลโดยเปล่าประโยชน์หรือ?

“มีเวลาเขียนจดหมาย ข้าก็สามารถอธิบายกับเขาอย่างชัดเจนต่อหน้าได้แล้ว”

แต่ใบหน้าของหานแสกลับค่อยๆเย็นชา

“เช่นนี้ไม่เหมือนเจ้า หลานเยาเยา เพื่อผู้ชายคนหนึ่งเจ้าเปลี่ยนไปจนเหยาะแหยะเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว? ความปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไวของเจ้าล่ะ? การตัดสินใจทำการอย่างเด็ดขาดของเจ้าล่ะ? ก็เพื่อเย่แจ๋หยิ่งผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะละทิ้งหมดแล้ว”

หลานเยาเยาที่เขารู้จักจะไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด

มีความขุ่นเคืองในจิตใจ มีความไม่พอใจ

แม้ว่าจะรู้สึกอธิบายไม่ได้ แต่พูดก็พูดแล้ว เขาก็ไม่สามารถเก็บกลับคืนไปได้!

หานแสค่อนข้างไม่พอใจ

หลานเยาเยามองเขาอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าก็เย็นชาลงสองสามระดับ เปิดปากเล็กน้อย ค่อนข้างอยากพูด แต่เมื่อถึงปากก็เปลี่ยนเป็นอีกคำพูดหนึ่ง

“เย่แจ๋หยิ่งเป็นคนที่สำคัญที่สุดในใจของข้า ข้าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลและเข้าใจผิด”

ได้ยินเหล่านี้

ในใจของหานแสก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ เขาโบกมืออย่างหงุดหงิด

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้าไปเหอะ! ทางเหนือของเมืองโยวกวง ตรงสายแม่น้ำที่ยาวสิบลี้ ก็คือสถานที่เรือแห่งความสิ้นหวังอยู่ ไม่ว่าเจ้าจะมาหรือไม่ ข้าก็จะออกเดินทางก่อนค่ำ แค่เวลาสั้นๆก็ไม่รีรอ”

หานแสสะบัดแขนเสื้อทันที

หมุนตัวก็ต้องการเดินออกไปจากโรงเหล้า แต่กลับถูกหลานเยาเยาเรียกไว้แล้ว

“หานแส เจ้ารอเดี๋ยว”

“ทำไม เปลี่ยนการตัดสินใจแล้ว?” นาทีนี้ ในใจของหานแสแอบมีความดีใจเล็กน้อย

“ไม่ใช่ เจ้ายังไม่จ่ายเงินค่าเหล้า”

“……”

หานแสถูกทำให้หัวเราะด้วยความโกรธทันที ทุบแท่งเงินแท่งหนึ่งบนโต๊ะอย่างรุนแรง ยังกล่าวอย่างอาจหาญอีก:

“ไม่ต้องทอนแล้ว”

“ขอบคุณท่านลูกค้า ท่านลูกค้าเดินทางดีๆนะขอรับ” เทียบกับหานแส รอยยิ้มของเสี่ยวเอ้อนั่นเรียกว่าสดใสเจิดจรัส

ตรงกำแพงเมือง

กองทัพข้าศึกยังโจมตีเมืองอย่างดุดัน แม้ว่าจะรู้ว่าตัวเองจะไม่ชนะ ก็ยังคงกลุ่มหนึ่งต่อด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง

แต่ว่า การเข้าโจมตีครั้งนี้ กองทัพข้าศึกไม่ได้เหมือนครั้งแรกเช่นนั้น แต่เป็นการหยั่งเชิงขนาดย่อมๆ กระจายออกแล้วโจมตีอีก โจมตีต่อแล้วกระจายไปอีก

แม้จะยังคงสูญเสียกำลังพล แต่เทียบกับครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าดีกว่ามาก

นี่คือต้องการทำสงครามตัดกำลัง!

เห็นว่าสงครามนี้ต้องต่อเนื่องนานมาก อีกทั้งน้ำมันฟืนไฟในเมืองมีจำกัด สิ้นเปลืองไม่ได้

ด้วยเหตุนี้!

เย่แจ๋หยิ่งส่งพลทหารสองนายนำทัพออกจากเมืองโดยตรง กองทัพข้าศึกก็ไม่คิดจะทำสงคราม เห็นประตูเมืองเปิด พลทหารม้ากองทัพใหญ่พุ่งมา กองทัพข้าศึกรีบล่าถอยกระจายไป เหล่าทหารไล่กองทัพข้าศึกกลับไปค่ายของพวกเขาแล้วจึงถอยกลับมา

แต่ถอยกลับมาไม่นาน

กองทัพข้าศึกก็บุกขึ้นมาเป็นผืนสีดำอีกแล้ว

เผชิญหน้ากับกองทัพข้าศึกที่ตอแยอย่างลำบาก เหล่าทหารทั้งโมโหทั้งทำอะไรไม่ได้ มีเพียงเย่แจ๋หยิ่งที่รู้สึกว่าไม่ปกติที่สุด

ประเทศเชียนหลิงเป็นประเทศยิ่งใหญ่เกรียงไกร ยังเป็นที่หนึ่งของสี่ประเทศมหาอำนาจอีกด้วย

ยุทธวิธีในการรบแต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นสิงโตที่ดุร้ายพุ่งเข้าหาอาหาร และไม่ใช่สุนัขป่าที่ลอบโจมตี

แต่ครั้งนี้พวกเขากลับเปลี่ยนวิธีการรบ จากแนวโน้มจะต้องสิ้นเปลืองจนตายอยู่ที่นี่แน่นอน

นี่เป็นเพราะอะไรกันแน่?

รอจนสงครามฉากนี้จบอย่างสมบูรณ์ เห็นหลานเยาเยาที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ด้านหลังของเขานานเท่าไหร่แล้ว และเห็นสีหน้าที่แปลกไปของนางอีก

เอ่ยถามทันที: “ทำไมหรือ?”

“เสียงฟ้าร้องปรากฏขึ้นอีกแล้ว”

หลานเยาเยาเดินสองสามก้าวไปถึงข้างกำแพงเมือง มองดูสนามรบที่อบอวลไปด้วยเขม่าดินปืน ด้านหลังของสนามรบ คือกระโจมค่ายของกองทัพข้าศึกเป็นกองๆผสมปนเปกัน ด้านหลังค่ายเป็นเทือกเขาสูงต่ำต่อเนื่องกัน ยังสามารถเห็นควันไฟของหมู่บ้านได้รางๆ

ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และมองไปตามสายตาของนาง ชะงักครู่หนึ่งจึงกล่าว

“อยู่ที่ประเทศเชียนหลิง?”

“อืม!” หลานเยาเยาพยักหน้าเบาๆ ราวกับว่าถอนหายใจยาวยืด จึงกล่าวอีกครั้ง: “ก่อนหน้านี้หานแสเคยมา บอกว่าอยู่ด้านหลังประเทศเซียนหลิงในป่าทึบที่อยู่ใกล้กับทางตอนใต้สุดของทะเล”

“เจ้าเตรียมจะไปเมื่อไหร่?”

เย่แจ๋หยิ่งพึมพำออกจากปาก

“เรือแห่งความสิ้นหวังเทียบท่าตรงแม่น้ำสายที่ยาวสิบลี้ ออกเดินทางตอนพระอาทิตย์ตกดิน” นางพูดอย่างครบถ้วน

แต่กลับก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ขณะที่พบกันที่เมืองเลยหมิง นางยังบอกว่าจะไม่แยกจากกันอีก แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน นางก็จำเป็นต้องจากไป

ด้วยเหตุนี้!

นางอดที่จะเอื้อมมือออกไปไม่ได้ ต่อหน้าบรรดาทหารทุกคน กอดเย่แจ๋หยิ่งไว้เอาหัวซุกเข้าที่หน้าอกของเขา

“ไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบหน้ากันอีก อยากฟังเสียงหัวใจเต้นของท่านให้ดีๆ”

“ได้ ให้เจ้าฟังจนพอ!”

เย่แจ๋หยิ่งกล่าวเบาๆ ยื่นมือมาลูบผมของนางเบาๆ ราวกับกำลังปลอบใจ