หลังจากนั้นครู่หนึ่ง!
หลานเยาเยาปล่อยเขาแล้ว
เขาจึงพูดเบาๆ: “ไปจัดของเถอะ!”
“อืม!”
รอนางหลานเยาเยาจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ออกจากประตู เย่แจ๋หยิ่งก็ยืนอยู่ด้านนอก ด้านหลังของเขามีแม่ทัพกลุ่มหนึ่ง ในตาของเหล่าแม่ทัพล้วนมีความอาลัยอาวรณ์
หลานเยาเยาสงสัย!
นางจะจากไป แม่ทัพเหล่านี้ไม่ควรที่จะปรบมือแล้วร้องว่าดีหรือ?
แล้วทำไมถึงอาลัยอาวรณ์ได้ล่ะ?
ระหว่างที่สงสัย แม่ทัพผู้หนึ่งขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ชายชาตรีผู้หนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่คำที่ต้องการพูดกลับไม่ได้พูดกับนาง แต่เป็นพูดต่อเย่แจ๋หยิ่ง
“อ๋องเย่ ไปครั้งนี้ต้องระมัดระวังเป็นที่สุดนะขอรับ! เมืองโยวกวง พวกเราจะเฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างดีเป็นแน่ จะไม่ปล่อยให้กองทัพข้าศึกเข้าเมืองได้เด็ดขาดขอรับ”
“มีแม่ทัพทุกท่านอยู่ ข้าวางใจเป็นธรรมดา!”
ประโยคนี้ เป็นการให้บรรดาแม่ทัพที่มีประสบการณ์โชกโชนกินยาเพื่อทำให้จิตใจสงบมั่นใจโดยไร้ข้อกังขา
แต่ละคนตบหน้าอกรับรอง จะต้องรักษาเมืองโยวกวงด้วยชีวิต
ภายใต้ความอาลัยอาวรณ์ของบรรดาแม่ทัพ
หลานเยาเยาและเย่แจ๋หยิ่งจากไปพร้อมกัน ติดตามพวกเขายังมีส้งเย่นกุยกับจื่อซีจื่อเฟิง เสี่ยวฮัวตัดสินใจไปรวบรวมเสบียงทหารและหญ้าเลี้ยงม้ากับโม่เหลียงเฉิน
พระราชธิดาจาวหยางก็ไม่รู้ว่าไปหาของกินที่ไหน ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าหลานเยาเยาจะออกเดินทาง
มีเพียงเซียวจิ่นหยูส่งพวกเขาจากไปไกลด้วยสายตาอย่างเงียบๆ
รอจนเงาร่างของพวกเขาหายไปตรงหัวมุมทางเลี้ยว พระราชธิดาจาวหยางจึงรีบวิ่งมา ในมือหิ้วกระเป๋าสัมภาระหลวมใบหนึ่งไว้
เห็นด้านหน้าว่างเปล่าไร้ผู้คน พระราชธิดาจาวหยางหอบหนัก
“พวกเขาล่ะ?”
เมื่อครู่กินอย่างเมามันมื้อหนึ่งกลับมา ก็ได้ยินแม่ทัพไม่กี่คนที่เดินย้อนกลับไปเอ่ยถึง เรื่องที่เสด็จอาจากไป ราวกับว่าต้องการสอดแนมเข้าไปในประเทศของศัตรูสืบเรื่องราว
เรื่องน่าตื่นเต้นเพียงนี้ จะขาดนางไปได้อย่างไรกันล่ะ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
นางยังไม่เคยกินอาหารรสเลิศของประเทศเชียนหลิงมาก่อน หากว่าตัวเองได้ติดตามไปด้วย นางจะต้องสามารถลิ้มรสให้ดีๆได้เป็นแน่
“ไปแล้ว”
เซียวจิ่นหยูมองทางด้านหน้าแล้วตอบ
“จื่อซีก็ไปด้วยหรือเพคะ?” ระยะนี้ หาอาหารอร่อยได้ นางมักจะอยากแบ่งปันให้นิดหน่อยเสมอ แต่จื่อซีเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ
เมื่อครู่ทันทีที่ได้ยินว่าเสด็จอาไปแล้ว
ในใจของนางเกิดความผิดหวังขึ้นทันที เพราะจื่อซีเป็นองครักษ์ลับของเสด็จอา ปัจจุบันติดตามอยู่ข้างกายของหลานเยาเยา เพียงแค่เสด็จอาต้องการไป หลานเยาเยาก็จะติดตามไป ฐานะที่ซื่อซีเป็นองครักษ์คุ้มกันหลานเยาเยา ก็ต้องติดตามไปด้วยเป็นธรรมดา
ผิดหวังก็เรื่องของการผิดหวัง แต่ทำที่ทำอะไรไม่ได้ก็คือ ใครให้ตัวเองเห็นแก่กิน ตามไม่ทันคนอื่นเขาล่ะ!
“ไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่พวกเราจะติดตาม”
คนที่พูดขึ้นอีกครั้งไม่ใช่เซียวจิ่นหยู แต่เป็นผู้หนึ่งที่ฟังแล้วมีความห้าวหาญ ทว่าเป็นเสียงผู้หญิงที่น่าฟังเป็นอย่างมาก
พระราชธิดาจาวหยางและเซียวจิ่นหยูมองไปพร้อมกัน เป็นเย็นหงที่ได้แบกสัมภาระไว้บนตัวเรียบร้อยแล้ว นางกำลังนั่งอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ ข้างกายจูงม้าอีกตัวหนึ่ง
เย็นหงสีหน้าไม่พอใจ!
รอไล่ตามจื่อเฟิงทัน
นางจะถามซิว่า ทำไมถึงไม่มีแม้แต่คำอำลา?
“เจ้านี่คือ……?” พระราชธิดาจาวหยางไม่เข้าใจ
เย็นหงอดที่กรอกตาขาวใส่นางไม่ได้ พูดอย่างเปิดเผยทันที
“คนหัวทื่อเป็นท่อนไม้อย่างสองคนนั้นเอาคำพูดของอ๋องเย่เป็นบัญชาสวรรค์ รับหน้าที่คุ้มกันคุณชายซ่างกวน คงนึกเองไม่ได้ว่าทำพวกเราตกหล่นไว้ จากนั้นก็กลับมาหาพวกเรา
มีเพียงแค่พวกเราตามไปเองเท่านั้น ปรากฏตัวด้านหน้าพวกเขาอย่างฉับพลัน หาสถานที่ที่ไม่มีคน แอบด่าพวกเขาในใจสักรอบ พวกเขาถึงจะได้จดจำ”
คำพูดเหล่านี้ เหมือนว่าจะถูกจริตต่อพระราชธิดาจาวหยางพอดี นางตื่นเต้นแล้ว
“ก็ถูกนะ!”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของพวกนางสองคน เซียวจิ่นหยูจนปัญญาเล็กน้อย
ไปประเทศศัตรูไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น?
ความอันตรายในนั้นเป็นธรรมดาว่าไม่ต้องพูดเยอะ ทีแรกเขาปรารถนาจะขัดขวางการไปของพวกนาง จนปัญญาเห็นท่าทีเช่นนี้ของพวกนาง การขัดขวางไร้ผล มีเพียงเดินทางไปพร้อมกับพวกนาง อย่างน้อยสามารถคุ้มครองความปลอดภัยของพวกนางได้
ดังนั้น!
เซียวจิ่นหยูไม่ได้อธิบายมาก ก็เดินไปถึงด้านข้างของเย็นหงแล้ว จูงม้าอีกตัวหนึ่ง
“ดู ยังคงเป็นเซียวซื่อจื่อที่เข้าใจ มาเถอะเพคะ! พระราชธิดาจาวหยาง พวกเราขี่ไปด้วยกัน”
เย็นหงยื่นมือไปทางพระราชธิดาจาวหยาง
พระราชธิดาจาวหยางมองดูเย็นหงอย่างละเอียด พยักหน้าเล็กน้อย
การกระทำเช่นนี้ของเย็นหงตรงกับความประสงค์ของนางพอดี
เพียงแค่ไม่เคยคิดเลยว่า พวกนางผู้หญิงสองคนความคิดจิตใจจะคล้ายกันเช่นนี้
สองสามก้าวเดินไปถึงข้างม้าที่แข็งแรงของเย็นหง ยกมือขึ้นจับมือของเย็นหง เย็นหงออกแรง ก็ดึงนางขึ้นบนหลังม้า จากนั้นได้ยินเพียงเสียงยกแส้ฟาดม้า เสียงม้าคำรามเสียงหนึ่ง ม้าสองตัวคนสามคนออกเดินทางไปทางที่หลานเยาเยาพวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว
……
หลังจากนั้นครึ่งเดือน!
ประเทศเชียนหลิง
ป่าประหลาดอึมครึม
ที่นี่คือป่าทึบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเชียนหลิง เทือกเขาสูงต่ำเชื่อมต่อเรียงรายกันเป็นผืนๆ อยู่ติดกับริมทะเลทุกหัวระแหง
พื้นที่ป่าทั้งหมดเป็นต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า มีความสูงถึงขนาดโรงเหล้าที่สูงสามชั้น กลางวันหมอกบางๆยังคงลอยเป็นเกลียว เหมือนดั่งผ้าขาวบางลอยอย่างนุ่มนวลในพื้นที่ป่าเช่นนั้น
แม้แสงแดดในฤดูร้อน ก็เหมือนกับทรายละเอียดสีทองเป็นเส้นๆ ฉายแสงลอดผ่านเข้ามาตรงกิ่งก้านใบไม้ที่ซ้อนทับกัน ลำแสงที่สามารถตกลงมาบนพื้นได้มีน้อยมาก แม้ว่ามี ก็เป็นเพียงลำแสงที่เป็นลายพร้อย มองดูน่าทึ่งเป็นพิเศษ
แต่ก็เพราะความหนาทึบทั้งยังกว้างใหญ่ในป่าทึบเช่นนี้ กลับมีเส้นทางเล็กๆคดเคี้ยวเส้นหนึ่ง จากหมู่บ้านชาวประมงรอบๆทะเล ทอดผ่านป่าทึบที่แปลกประหลาด
คนสัญจรไปๆมาๆระหว่างบริเวณรอบๆทะเลและตัวเมือง ก็มีเพียงเส้นทางนี้ที่สามารถเดินได้
นอกจากเส้นทางเล็กๆเส้นนี้
สามารถทอดยาวทะลุป่าทึบผืนนี้ได้ ก็มีเพียงธารน้ำไหลที่หล่อเลี้ยงป่าทึบนี้ตั้งแต่กำเนิด
แต่ธารน้ำไหลสายนี้ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งทั้งยังเชี่ยวกราก ปลายยังเชื่อมต่อกับชายฝั่งทะเล
เรือธรรมดาไม่มีทางที่จะเดินทางได้โดยสิ้นเชิง
แต่ก็เพราะป่าลึกลับเช่นนี้ที่ทับซ้อนเป็นชั้นๆ ในหนึ่งปีนี้ ไม่รู้ว่าทำให้กองทัพและนักสัญจรมากมายเท่าไหร่ที่ตั้งใจจะข้ามผ่านป่าลึกลับต้องสังเวยชีวิตที่นี่ และไม่มีศพและกระดูกเหลืออยู่
ค่อยเป็นค่อยไป
สถานที่ที่เดิมทีมีชื่อเรียกว่าป่าลึกลับพันชั้น ถูกผู้คนเล่าขานปากต่อปาก เปลี่ยนเป็นป่าประหลาดอึมครึม นอกเหนือกว่านั้นยิ่งกว่า ยังมีคนที่เรียกสถานที่นี้ว่าป่ากินคนอีกด้วย
การดำรงชีวิตที่ยิ่งอยู่ยิ่งลำบากของหมู่บ้านชาวประมงบริเวณรอบๆชายฝั่ง วันนี้เกิดเรื่องใหญ่
“สัตว์ประหลาดบนทะเลปรากฏตัวอีกแล้ว…….”
จากเสียงร้องดังเสียงหนึ่ง เหล่าชาวประมงหยิบอุปกรณ์จับปลาแล้วทยอยออกจากบ้าน
ไม่ว่าชายหญิงเด็กคนแก่ ล้วนรวมตัวกันที่ชายหายทั้งหมด ทอดตามองไปทางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ มองดูสิ่งของที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเข้าใกล้พวกเขาเรื่อยๆ แต่ละคนสีหน้าหวาดผวา ราวกับว่าหายนะกำลังมาเยือนเช่นนั้น
ชายชราที่ไม้เท้าคดงอผู้หนึ่ง ผมขาวซีดทั้งศีรษะ ในตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ผู้ใหญ่บ้าน นี่ควรจะทำอย่างไรล่ะขอรับ? นั่นคืออะไรกันแน่?”
ชายหนุ่มที่พยุงชายชราไว้เล็กน้อยเอ่ยถามต่อชายชรา
ตั้งแต่ในคืนวันหนึ่งของเมื่อหนึ่งปีก่อน คลื่นที่ซัดสาดอย่างแรงบนท้องทะเล มีเด็กผู้หนึ่งตื่นตอนกลางดึกเห็นของขนาดใหญ่แข็งแกร่งบนท้องทะเล ก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนขวัญหนี มักจะพูดเลอะเลือนอยู่เสมอ สัตว์ประหลาดบนท้องทะเลไปที่ป่าทึบแล้ว
ทุกคนไม่ได้ใส่ใจ
ยังคิดว่าเด็กน้อยพูดจาเลอะเทอะ
แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร นับตั้งแต่นั้นมา ป่าทึบที่แปลกประหลาดผืนนั้นก็ไม่สงบสุขอีก มักจะเกิดเสียงเหมือนเสียงฟ้าร้องขึ้นตลอดเวลา เวลากลางคืนเสียงร้องตะโกนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
พ่อค้าของหมู่บ้านประมงบริเวณรอบๆชายฝั่งที่ไปๆมาๆ เดินทางผ่านป่าประหลาดผืนนั้น ล้วนหายตัวไปโดยไร้เหตุผล บนพื้นเหลือเพียงคราบเลือดแห้งกรังเป็นแอ่ง
เดิมทีไม่มีคนเอาเรื่องในป่าประหลาดกับคำพูดของเด็กมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จนวันหนึ่งหลังจากนั้น
ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นแข็งแรงไปหาปลาในทะเล
ในตอนเที่ยงที่พายุลมฝนพัดกระหน่ำ สัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนคนขนาดมหึมาผู้หนึ่ง ผุดขึ้นมาจากใต้ท้องเรือของพวกเขา ฝ่ามือหนึ่งลงมาทำให้เรือประมงหักเป็นสองท่อนโดยตรง
อาศัยอยู่ชายทะเล ล้วนว่ายน้ำเก่งเป็นที่สุด
แต่กลุ่มเด็กหนุ่มวัยรุ่นนั่นอยู่ต่อหน้าของสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนคน อ่อนแอจนทำอะไรไม่ได้จริงๆ มีคนถูกจับขึ้นมา จากนั้นถูกยัดเข้าปากของสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนคน กลืนไปทั้งเป็นทันที
คนทั้งเรือ มีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตกลับมา
หลังจากนั้น!
เสียงฟ้าร้องของป่าลึกลับประหลาดก็ยิ่งเสียงดังชัดเจนแล้ว เสียงหนึ่งรับต่ออีกเสียงหนึ่ง ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดสองตัวร้องคำรามด้วยกัน
แต่ที่โชคดีคือ
สัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนคนไม่ได้มาโจมตีหมู่บ้านของพวกเขา แต่คนทำการค้าเกิดเรื่องร้ายอย่างต่อเนื่อง ปลามากมายหลายชนิดที่พวกเขาหาจับได้ไม่มีหนทางจำหน่ายให้กับพ่อค้าได้ การดำรงชีพของพวกก็ยิ่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ
คิดถึงตรงนี้ ผู้ใหญ่บ้านแก่ชราผมขาวโพลน ถึงกับน้ำตาไหลขึ้นมา
แต่ไม่ช้า เสียงอ่อนวัยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ท่านแม่ ท่านดูสิ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด เป็นเรือลำใหญ่ เรือลำใหญ่มากๆนะขอรับ!”
เด็กน้อยไม่รู้เรื่อง ไม่เคยได้พบเห็นสิ่งของยิ่งใหญ่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน ร้องตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
แม่ของเขาอุ้มเขาไว้ในอ้อมอก ปิดปากของเขา ไม่ให้เขาเปล่งเสียงออกมา ทั้งยังกระซิบข้างหูของเขาอีก
“นั่นก็คือสัตว์ประหลาด เรือไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น อีกเดี๋ยวแม่ให้เจ้าวิ่งเจ้าก็วิ่ง วิ่งไปไกลได้เท่าไหร่ก็วิ่งไปไกลเท่านั้น จะต้องไม่หันกลับเด็ดขาด”
การมาถึงของเรือแห่งความสิ้นหวัง
ทำให้บรรดาชาวประมงตกใจขวัญเสีย….