ในเมื่อผู้อาวุโสฮวาและตั่วหมัวมัวไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเป็นครั้งที่สอง แล้วนางทราบได้อย่างไรว่าหญิงสาวที่ไปปรากฏตัวที่ร้านค้าไร้นามคนนั้นคือพระชายาเยี่ยนอ๋อง นี่คือเรื่องที่เจียงซื่อยังหาคำตอบไม่ได้
ผู้อาวุโสฮวาฟังที่เจียงซื่อถาม นางก็เอ่ยตอบราบเรียบ “เหมือนกันกับที่พระชายาไม่ใคร่จะตอบคำถามของข้า คำถามนี้ข้าก็ไม่อยากตอบเช่นกัน”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่บังคับ ผู้อาวุโสฮวากลับจวนอ๋องไปกับข้าก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสฮวายังคงนิ่ง
เจียงซื่อเลิกคิ้ว “หรือว่าผู้อาวุโสฮวาจะให้ข้าเดินทางลงใต้เดี๋ยวนี้เลย”
หญิงชราลังเลชั่วครู่ก่อนจะยกหมวกคลุมศีรษะขึ้นมาสวมปิดช่วงครึ่งบนของใบหน้า ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่านางเป็นใคร
“ไปเถอะ” เสียงของหญิงชราเอ่ยขึ้น
เจียงซื่อหมุนตัวเดินกลับออกไป
เมื่ออาหมานเห็นเจียงซื่อ นางก็ปีติยินดียิ่ง “นายหญิง…”
เจียงซื่อส่ายศีรษะเล็กน้อย “อย่าเพิ่งพูดอะไร กลับไปที่จวนอ๋องก่อนเถิด”
ทันทีที่หลงต้านเห็นผู้อาวุโสฮวา มือของเขาก็คว้าหมับเข้าที่ดาบข้างตัว
“หลงต้าน อย่าทำให้นางต้องลำบากใจ นางจะกลับจวนอ๋องไปกับข้า”
“พระชายา แต่นาง…”
อาหมานกลอกตาใส่หลงต้าน “เอาน่า พระชายาตรัสอะไรก็เอาตามนั้น เจ้าไม่ต้องมาพูดมาก”
หลงต้านลูบจมูกพลางคิดในใจว่า ที่เขาระวังทุกฝีก้าวเพื่อใครกัน สตรีนางนี้นี่ช่างมองไม่เห็นความหวังดีของคนอื่นเอาเสียเลย
ที่ด้านนอก นอกจากคนของหลงต้านแล้วยังมีหลูฉูฉู่ ป้าซิ่วและเด็กหนุ่ม ส่วนคนนำทางกลับไปตั้งแต่ตอนที่มาถึงตีนเขาแล้ว
ฉะนั้นแล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าเรื่องของผู้อาวุโสฮวาจะรั่วไหล
เจียงซื่อหันไปสั่งการ “หลงต้าน ส่งคนหนึ่งไปตามอาเฉี่ยวที่สวนดอกเหมย ส่วนพวกเราก็มุ่งหน้าตรงไปที่จวนอ๋อง”
แม้นางจะรับปากว่าจะเดินทางลงใต้ไปกับผู้อาวุโสฮวา แต่มิใช่ว่าบอกไปก็จะไปเดี๋ยวนี้ นางยังมีธุระมากมายที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน
เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงเมืองหลวง หลูฉูฉู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “พระชายา หม่อมฉันพาป้าซิ่วกลับไปที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงแล้วกันนะเพคะ”
เมื่อเห็นท่าทางอิดโรยของป้าซิ่ว เจียงซื่อก็ยิ่งรู้สึกผิด “ข้าทำให้ป้าซิ่วต้องลำบากแล้ว กลับไปข้าจะส่งองครักษ์สองคนมาเฝ้าที่ร้านเพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
เมื่อร่ำลากันแล้ว เจียงซื่อก็รีบกลับจวนทันที นางสั่งให้อาหมานพาผู้อาวุโสฮวาไปรอที่ห้องรับรอง ส่วนตนเองก็ไปดูบุตรสาว
อาฮวนที่ไม่ได้เห็นหน้ามารดามาครึ่งค่อนวันได้เห็นหน้าเจียงซื่อ ปากน้อยๆ ก็พะเยิบพะยาบทันใด เจียงซื่อเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
อาฮวนในวัยครึ่งปีเริ่มจำได้แล้วว่าใครคือมารดา
เจียงซื่อรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ นางรีบเข้าไปอุ้มบุตรสาวมาจากแม่นม
เมื่ออาฮวนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดมารดา เด็กน้อยซุกไซร้สูดดมกลิ่นคุ้นเคยพลางยิ้มร่า ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป
“พระชายา ให้บ่าวอุ้มจวิ้นจู่ดีไหมเพคะ ช่วงนี้จวิ้นจู่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเพคะ” แม่นมยื่นมือมารับตัวเด็กน้อย
“ไม่ต้อง” เจียงซื่อค่อยๆ วางบุตรสาวลงบนเตียง นางเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง รอจนบุตรสาวหลับสนิทแล้วจึงกลับออกไป
นางเดินออกมาจากห้องข้าง ลมเย็นยะเยือกพัดมาปะทะใบหน้าประหนึ่งคมมีดกรีดเฉือนเข้าเนื้อ
นี่ก็เข้าเดือนสิบสองแล้ว ในช่วงเวลาเหน็บหนาวเช่นนี้ หากนางเดินทางลงใต้ ไม่อยู่ที่จวน อาฮวนจะร้องไห้หานางหรือไม่
หรือว่าถึงตอนที่นางกลับมา อาฮวนอาจลืมมารดาคนนี้ไปแล้วก็ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงซื่อก็ยิ่งรู้สึกปวดใจราวกับมีมีดปักอยู่กลางอก
ผู้อาวุโสฮวารออยู่ที่ห้องรับรอง ในใจของนางว้าวุ่นไม่แพ้กัน
หากอีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำอย่างไร
ในตอนนี้นางอยู่ในช่วงหลบหนี ไม่รู้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะส่งตัวนางให้กับหน่วยองครักษ์จิ่นหลินหรือไม่
ความเสี่ยงมิได้เกิดขึ้นแค่กับเจียงซื่อเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสฮวาด้วย
ในขณะที่ผู้อาวุโสฮวายังคงหวั่นวิตก เจียงซื่อก็ผลักประตูเข้ามา “ขออภัยที่ให้ผู้อาวุโสฮวาคอยนาน”
ผู้อาวุโสฮวายืดตัวขึ้นตอบรับด้วยท่าทีสุภาพ
ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน คอยให้บ่าวรับใช้นำสำรับชามาจัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนถึงได้เริ่มบทสนทนา
“เหตุไฉนพี่รองถึงอยู่ที่อูเหมียว”
“หนึ่งในผู้ถูกคัดเลือกสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกไปข้างนอก และบังเอิญพบกับบุรุษหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ครั้นบุรุษผู้นั้นฟื้น เขาได้บอกสถานะของตัวเอง พวกข้าถึงได้ทราบว่าเขาคือคุณชายรองของจวนตงผิงปั๋ว ซึ่งเป็นพี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋อง”
เจียงซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยบวกกับน้ำเสียงราบเรียบไม่สื่ออารมณ์ยินดีหรือยินร้าย “หากจะกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าอูเหมียวคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพี่รองของข้าอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเพียความบังเอิญเท่านั้น”
เจียงซื่อขบริมฝีปากเก็บซ่อนความเย้ยหยัน
ผู้อาวุโสฮวาหลงเข้าใจว่าคนต้าโจวอย่างนางคงรู้เกี่ยวกับอูเหมียวไม่มากนัก แต่ไม่รู้ว่าเจียงซื่อเคยอาศัยอยู่ที่ดินแดนอูเหมียวมาก่อน
ที่อูเหมียวสตรีเพศถือเป็นใหญ่ หากสตรีคนใดที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ สถานะของนางจะสูงส่งยิ่งขึ้นไป ฉะนั้นนางจึงไม่สามารถออกไปเที่ยวเล่นนอกเผ่า หรือต่อให้ออกไปจริง ก็ไม่สามารถพาบุรุษกลับมาได้ตามอำเภอใจ
คงไม่ใช่ว่าใบหน้าหล่อเหลาของพี่รองชวนให้สตรีผู้นั้นรู้สึกใจเต้นหรอกนะ
แม้จะยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ แต่เจียงซื่อก็ยังคงสงสัยในคำพูดของผู้อาวุโสฮวา
เพียงแต่นางไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถามด้วยความลังเล “แต่ในรายชื่อทหารที่เสียชีวิตของต้าโจวมีชื่อของพี่รองอยู่ด้วย แต่ผู้อาวุโสฮวากลับบอกว่าพี่รองของข้ายังมีชีวิตอยู่ หากจะให้พูดกันตามตรง เหอเปาเพียงใบเดี๋ยวไม่อาจทำให้ข้าเชื่อได้…”
“ยังมีนี่ด้วย” ผู้อาวุโสฮวาหยิบของอีกชิ้นมาวางไว้ตรงหน้าเจียงซื่อ
มันคือรองเท้าข้างหนึ่ง
ประกายขับออกมาทางแววตาของนาง นางถามเสียงหลง “รองเท้าที่ข้าทำให้พี่รองก็อยู่กับเจ้าด้วยหรือนี่”
ผู้อาวุโสฮวาผงะชั่วครู่ก่อนจะคลี่ยิ้ม “พระชายาละเอียดถี่ถ้วนยิ่งนัก รองเท้านี้มอบให้แก่พี่ชายไม่ผิดแน่ เพียงแต่พระชายาไม่ได้เป็นคนทำ คนที่ทำรองเท้านี้คือพี่สาวของพระชายา เรื่องนี้ข้าทราบจากปากของเขาเอง”
เจียงซื่อหัวเราะ “เรื่องสำคัญเช่นนี้ก็ต้องละเอียดถี่ถ้วนเป็นธรรมดา ยามนี้ข้าเชื่อแล้วว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่”
นางกัดฟันพูดในใจว่า หากพี่รองเล่าเรื่องนี้ให้คนพวกนี้ฟังจริง ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ นางคงต้องสั่งสอนพี่รองสักที
แต่ในตอนนี้ นางยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย
นางเป็นคนให้เหอเปา ส่วนพี่ใหญ่เป็นคนทำรองเท้า แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ความลับ แต่ก็มิใช่เรื่องที่จะไปเที่ยวบอกคนนอก
เมื่อผู้อาวุโสฮวาได้ยินเจียงซื่อกล่าวดังนั้น นางก็ยิ้มอย่างเบาใจ
จำต้องยอมรับว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่ง ขนาดนางระมัดระวังในตอนแรกยังเกือบตกหลุมพรางที่นางวางไว้ เกือบจะหลงเชื่อว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มาที่เมืองหลวง โชคดีที่หลังจากนั้น…
ในขณะที่ผู้อาวุโสฮวาตกอยู่ในภวังค์ สีหน้าของหญิงตรงหน้ากลับเย็นชา
เจียงซื่อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพลางเอ่ย “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเชื่อสิ่งที่ผู้อาวุโสฮวาพูด แต่ข้าต้องบอกเรื่องแสลงหูให้เจ้าฟังเสียก่อน”
“เชิญพระชายาพูดได้เลย”
“หากนี่เป็นการหลอกให้ข้าดีใจเล่น ผู้อาวุโสฮวาอย่าได้โทษว่าข้าใจร้ายทำลายเผ่าอูเหมียวก็แล้วกัน…”
“บังอาจ!” ผู้อาวุโสฮวาโพล่งออกมา ใบหน้าของหญิงชราเขียวคล้ำ
ขนาดจักรพรรดิต้าโจวยังไม่กล้าเอ่ยวาจาอาจหาญเช่นนี้ กับแค่พระชายาตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าดีอย่างไรมาขู่นาง!
ในวินาทีนั้น ผู้อาวุโสฮวาเดือดดาลเพราะความโอหังของเจียงซื่อ
แต่เจียงซื่อกลับยิ้มกว้าง “ข้าถึงบอกไงว่ามันแสลงหู ฉะนั้นแล้วเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจะดีกว่า”
ผู้อาวุโสฮวาจดจ้องไปที่สตรีผู้มีใบหน้าเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผิดเพี้ยนด้วยรู้สึกสับสนเต็มประดา
ศึกครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก สุดท้ายแล้วพวกเขาจะได้ในสิ่งที่หวังหรือไม่
เจียงซื่อเฝ้าพินิจอากัปกิริยาของผู้อาวุโสฮวา เมื่อเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางก็รู้โล่งใจ
การเดินทางไปอูเหมียวคราวนี้ เห็นทีไปง่ายแต่กลับยาก คงไม่เหมือนที่อีกฝ่ายว่าไว้อย่างแน่นอน
นางตัดบท “ผู้อาวุโสฮวาพักสักหน่อยเถิด พรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางก็แล้วกัน”